การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 629-2 ส่งเสริมการลงทุน (2)
บทที่ 629 ส่งเสริมการลงทุน (2)
หลังจากที่จิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยทานอาหารเสร็จเรียบร้อย แขกคนอื่น ๆ ก็ทานกันจนเสร็จแล้วเช่นกัน และนอกเหนือจากผู้อาวุโสที่จะต้องดื่มน้ำชาในอีกสักพัก แขกส่วนใหญ่ต่างพากันกลับไปหมดแล้ว
ขณะนี้เองอวี๋มินและเมิ่งผิงก็เดินเข้ามา พวกเธอทั้งสองคนให้คนที่อยู่ในงานดื่มซุปแก้เมาคนละถ้วย หลังจากนั้นก็รอให้บ่าวสาวยกน้ำชา
เริ่มจากคุณชายจิงและคุณนายจิงก่อน หลังจากนั้นจึงถึงตาผู้อาวุโสท่านอื่น ๆ แต่ละท่านจะให้อั่งเปาจำนวนมากแก่คู่บ่าวสาว เมื่อยกน้ำชาเสร็จสิ้นแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธีงานแต่ง
ถังหลานเห็นว่าพิธีแต่งงานเสร็จสิ้น เธอและจิงเจ้อหรงก็รีบพาฟักทองน้อยและฟักขาวน้อยกลับบ้าน เพราะเด็กน้อยทั้งสองต่างก็เริ่มสัปหงกกันแล้ว
โม่เจ๋อหยวนเพิ่งจะได้มีเวลาพูดคุยกับถังซวง เขาจึงหันไปถามเธอทันที “ซวงเอ๋อร์ เดี๋ยวสักพักพวกเราไปไหนกันต่อ จะกลับบ้านเลยหรือว่าจะไปเดินเล่นต่อที่อื่น?”
“กลับบ้านเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวค่อยออกไปข้างนอกก็ได้ ยังไงพรุ่งนี้กับวันมะรืนก็เป็นวันสุดสัปดาห์พอดี”
โม่เจ๋อหยวนได้ยินก็พยักหน้า
เฟิงเยี่ยหานเดินมาหาถังเซวี่ยและเอ่ยถามเสียงเบา “เหนื่อยไหม?”
ถังเซวี่ยส่ายหน้า “ไม่เหนื่อยหรอก แต่ว่างานแต่งมีหลายเรื่องมากเลย ฉันเห็นพี่รองวุ่นตั้งแต่เช้ามืดกระทั่งถึงตอนนี้เลย”
เฟิงเยี่ยหานได้ยินก็รีบกล่าว “พอถึงงานวันแต่งงานของเรา เดี๋ยวผมจะจัดการทุกอย่างเอง แล้วให้คุณนั่งนิ่ง ๆ สวย ๆ ก็พอ”
ถังเซวี่ยหรี่ตามองเฟิงเยี่ยหานอย่างอดไม่ได้และกล่าวว่า “พวกเราเพิ่งจะหมั้นกันไปเองนะ อีกตั้งนานกว่าจะแต่ง”
เฟิงเยี่ยหานอยากจะแต่งงานเร็ว ๆ จนแทบแย่ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้ดีว่าอีกนานกว่าจะถึงวันแต่งงานของพวกเขา ดังนั้นจึงกล่าวออกมายิ้ม ๆ “ก็ได้ ๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ วันนี้ตื่นมาทำโน่นทำนี่ตั้งแต่เช้าแล้ว กลับไปพักผ่อนสักหน่อยดีกว่า”
เมื่อถังซวงและคนอื่น ๆ กลับถึงบ้านก็ได้พักผ่อนกันสักพักหนึ่ง พอถึงตอนเย็น ทุกคนในครอบครัวก็รวมตัวกันทานอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึงถังซวงและโม่เจ๋อหยวนก็ออกไปเดินเล่นซื้อของ ส่วนถังเซวี่ยก็ตามเฟิงเยี่ยหานไปดูการตกแต่งในบ้านใหม่ว่าเป็นอย่างไร
แม้ถังชุนหยานจะรู้สึกอิจฉานิด ๆ เมื่อเห็นทุกคนอยู่กันเป็นคู่ ๆ แต่ว่าตอนนี้เธอต้องการทำงานเก็บเงินมากกว่า เธอจึงรีบออกไปทำงานที่ร้าน
หลังจากที่จิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยแต่งงานกันได้สามวัน ตระกูลจิงก็ได้เชิญครอบครัวของจูรุ่ยมาทานอาหารร่วมกัน และแขกที่มาก็ล้วนเป็นญาติฝั่งแม่ของจูรุ่ยทั้งสิ้น ทั้งสองครอบครัวนั่งพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
แต่ถึงอย่างนั้น ชายวัยกลางคนท่านหนึ่งดูจะมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก เขาคือคุณลุงแท้ ๆ ของจูรุ่ย ที่ในขณะนี้กำลังพูดกับจูรุ่ยอยู่ตรงมุมห้อง
“หลานโอนย้ายกิจการมาที่จีนทั้งหมดไม่เหลือไว้ที่ก่างเฉิงแม้แต่ที่เดียว หลานไม่คิดบ้างหรือ ถ้ากิจการที่จีนมันไปไม่รอด ต่อไปหลานก็จะหมดหนทางนะ”
จูรุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณลุงคะ ก่อนที่หนูจะตัดสินใจฉันได้พิจารณารอบคอบดีแล้ว หนูเชื่อว่าในอนาคตอย่างไรที่นี่ก็จะเจริญแน่นอนค่ะ คุณลุงเองก็น่าจะได้ยินเรื่องที่เมืองเผิงมาบ้าง ที่นั่นพัฒนาไปไวมาก หนูโอนย้ายอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ของจูกรุ๊ปไปที่นั่น ยังไงก็ไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ”
“ได้ ในเมื่อหลานคิดมาแล้ว งั้นลุงก็ไม่มีอะไรจะพูด”
จูรุ่ยพูดกับคุณลุงของตนด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุณลุงคะ คุณลุงเชื่อหนูเถอะค่ะ หนูได้ยินมาว่าคุณซ่างเองก็โอนย้ายกิจการครึ่งหนึ่งของตระกูลซ่างมาด้วยเช่นกัน ขนาดเขายังตัดสินใจทำแบบนี้ ยังไงหนูก็ไม่น่าพลาดหรอกค่ะ”
“นั่นก็เป็นเพราะว่าภรรยาของซ่างสยงเยี่ยก็อยู่ที่เมืองปักกิ่งด้วย นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าสุดท้ายพวกเธอทั้งสองคนจะย้ายมาอยู่กันที่เมืองปักกิ่ง”
“ก็เพราะเมืองปักกิ่งเป็นเมืองที่ดียังไงล่ะคะ”
ลุงหลานคุยกันได้สักพัก จนได้เวลาทานอาหารก็รีบกลับไปนั่งที่ และทั้งสองครอบครัวก็ทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากที่ทานเสร็จและกำลังจะกลับ จิงเหวินรุ่ยทนไม่ไหวที่จะเอ่ยถาม “เสี่ยวรุ่ย คุณลุงพูดอะไรกับเธอหรือ ฉันเห็นสีหน้าเขาเหมือนจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่พูดเรื่องธุรกิจกับฉันนิดหน่อยน่ะ”
จิงเหวินรุ่ยได้ยินก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
การตัดสินใจในครั้งนี้ของจูรุ่ยถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กิจการของจูกรุ๊ปได้โอนย้ายมาที่จีนทั้งหมด ไม่นานก็จะกลายเป็นกลุ่มเดียวกับจีน แบบนี้จึงไม่สามารถเรียกว่าการส่งเสริมการลงทุนได้แล้ว นี่คือการนำกลุ่มของก่างเฉิงให้กลายเป็นกลุ่มของจีนอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นตระกูลจิงก็จะถูกสรรเสริญ และคนที่จะถูกชื่นชมสรรเสริญก็คือครอบครัวของจิงซิวหรง
ส่วนซ่างสยงเยี่ย เขาไม่ได้ย้ายโอนกิจการทั้งหมดมาที่นี่โดยทันที แต่เขามอบหมายให้คนที่ไว้ใจได้ดูแลกิจการของทางก่างเฉิงเอาไว้ทั้งหมด ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ของเขาก็จะอยู่กับภรรยาในปักกิ่ง
เมื่อเวลาผ่านไปซ่างสยงเยี่ยก็มองเห็นศักยภาพในการพัฒนาของเมืองเผิง ซึ่งทำให้เขาต้องคิดมากยิ่งขึ้น และแม้แต่เริ่มคิดถึงแผนการในอนาคตด้วย
แต่ถึงอย่างไรทุกเรื่องก็ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ในตอนนี้ซ่างสยงเยี่ยกำลังติดคำอวยพรวันปีใหม่อยู่กับเกอชิงเหม่ย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็จะเข้าปีใหม่อีกครั้งแล้ว
อีกด้านหนึ่ง บ้านตระกูลจิงครึกครื้นเป็นอย่างมาก ถังซวงและคนอื่น ๆ ก็กำลังติดคำอวยพรเช่นกัน และจิงเหวินรุ่ยกับจูรุ่ยก็อยู่ด้วย
“พี่สาวซวง คําอวยพรอันนี้ติดตรงนี้ใช่ไหมคะ”
ถังซวงหันกลับไปมอง และบอกจูรุ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่” เอ่ยจบเธอก็กล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พี่สะใภ้รอง พี่เรียกแค่ชื่อฉันก็พอค่ะ”
จิงเหวินรุ่ยอดไม่ได้ที่จะหันไปกล่าวกับจูรุ่ย “จริงด้วย เสี่ยวรุ่ย ซวงเอ๋อร์เป็นน้องสาวของพวกเรานะ เธอเรียกแค่ชื่อก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียกพี่หรอก” ได้ยินภรรยาของตัวเองเรียกถังซวงว่าพี่ซวง ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นน้องชายของถังซวงซะอย่างนั้น
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว”
จูรุ่ยตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังติดเรียกว่าพี่สาวซวงอยู่ดี ถังซวงจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ขณะที่กำลังติดคำอวยพร หลายคนก็กำลังล้อมวงกันห่อเกี๊ยว คุณนายจิงเห็นคนในครอบครัวยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็รู้สึกดีใจมาก ด้วยเหตุนี้คืนส่งท้ายปีเก่า เธอจึงแจกอั่งเปาจำนวนมากให้ทุกคน
“ขอบคุณค่ะคุณย่า สุขสันต์วันส่งท้ายปีเก่านะคะ”
ถังซวงรับอั่งเปาด้วยรอยยิ้มกว้าง และคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเอ่ยคำอวยพรด้วยรอยยิ้ม
“จ้า พวกหลานก็มีความสุขเหมือนกันนะ”
หลังจากที่คุณชายจิงแจกอั่งเปาแล้ว คนสูงอายุทั้งสองอยู่จนถึงเวลาสี่ทุ่ม แล้วจึงกลับไปนอน จิงเจ้อหรงกับถังหลานเองก็พาเด็กน้อยทั้งสองไปนอนก่อนแล้ว ส่วนอวี๋มินและเมิ่งผิงก็กลับไปพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน และสุดท้ายก็เหลือเพียงถังซวงและพวกเด็กวัยรุ่นกำลังโต้รุ่งในคืนส่งท้ายปีเก่า
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งยังคงลงมือทำอาหารมื้อดึกกันอยู่ แล้วก็จุดประทัด
“สุขสันต์วันปีใหม่!”
หลังเอ่ยแสดงความยินดีกันเสร็จ แต่ละคนก็กลับไปพักผ่อน