กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 223 มีใจอยู่ในทั่วหล้า
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ซ่งชูอีก็ไล่เจ้าอี่โหลวให้กลับไปพักผ่อน
ผ่านไปเจ็ดวัน เจ้าอี่โหลวมาหาซ่งชูอีคืนก่อนที่จะออกเดินทางสู่สมรภูมิรบของรัฐปา ทว่าครั้นมาถึงห้องของนางแล้วก็พบว่ามันว่างเปล่า บนโต๊ะมีเพียงแผ่นไม้ไผ่ม้วนหนึ่ง
ด้านบนมีเพียงตัวอักษรงดงามไม่กี่คำ ‘เป็นลูกผู้ชาย ต้องมีใจอยู่ในทั่วหล้า’
ประโยคเดียวทำให้จิตใจของเจ้าอี่โหลวรู้สึกสลับซับซ้อน
เขาเจ้าอี่โหลวเป็นคนขวางโลก เป็นประมุขก็ไม่ต้องการอำนาจนับพันปี เป็นแม่ทัพก็ไม่ต้องการกวาดล้างสนามรบ…ไม่ว่าจะเป็นการสละบัลลังก์หรือเข้าร่วมกองทัพ ก็เพื่อต้องการไขว่คว้าความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจในชีวิต
อย่างไรก็ตามคนที่เขาห่วงใยไม่ใช่คนธรรมดา และสิ่งที่นางต้องการก็ไม่มีวันเป็นเพียงมุมหนึ่งที่ทำให้สบายใจ
เจ้าอี่โหลวนั่งถือใบไผ่อยู่บนธรณีประตูทั้งคืน ท้องฟ้าสีขาวปรากฎขึ้นที่ฝั่งตะวันออกแล้ว เขาเก็บม้วนไม้ไผ่ไว้ในหน้าอก กลับห้องสวมชุดเกราะ พกจวี้ชางแล้วรีบไปที่สนามรบพร้อมกับกองทัพของเขา
มีเพียงเจ้าอี่โหลวที่เข้าใจว่านั่นคือคำขอโทษของซ่งชูอีและก็เป็นคำปลอบประโลมจากนางด้วย
ซ่งชูอีไม่เคยผูกมัดใคร นางเคยช่วยจี๋อวี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยร้องขอให้ตอบแทนบุญคุณ อย่างไรก็ดีในวันนั้นนางกลับหวั่นไหวเพราะเจ้าอี่โหลวตกอยู่ในอันตราย นางกำลังบอกเจ้าอี่โหลวว่านางไม่ควรตำหนิเขามากเกินไป และกำลังบอกเขาว่าชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ไม่ควรที่จะตายแทนใครง่ายๆ
ในแสงยามเช้า เด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำที่กำลังวิ่งตามสายลมบนหลังม้าลูบคลำแผ่นไผ่ที่อยู่ในกระเป๋า มองลงไปเงียบๆ
หวยจิน หากเป็นความปรารถนาของเจ้า ข้าก็จะไปทำ
……
เดือนเจ็ดร้อนดั่งเปลวเพลิง
ภายในพระราชวังเสียนหยาง อิ๋งซื่อเพิ่งตื่นจากงีบช่วงบ่าย ขันทีปรนนิบัติเขาชำระล้างร่างกายอย่างง่ายๆ
“ฝ่าบาท พบเบาะแสของหมอเทวดาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ยามว่างของอิ๋งซื่อมีน้อยมาก ขันทีจึงถือโอกาสแจ้งข่าวดีกับเขา
อิ๋งซื่อชะงักงันไปชั่วขณะ ตอบรับว่าอืมเสียงหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกให้เขาพูดต่อ
ขันทีที่ได้ปรนนิบัติเขามานานแล้วจึงเข้าใจโดยธรรมชาติ “หมอเทวดาอยู่ในรัฐฉิน เห็นว่ากำลังเป็นแพทย์รุ่นหนึ่งของชูหลี่”
อิ๋งซื่อลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปในห้อง
ผู้เชี่ยวชาญมีนิสัยใจคอบางอย่างที่คนธรรมดาแทบไม่สามารถคาดเดาได้ หมอเปี่ยนเชวี่ยยิ่งทำทุกอย่างด้วยอารมณ์เท่านั้น นิสัยประหลาดของเขายังไม่ปรากฏชัดเจนในช่วงปีแรกๆ ครั้นอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีมือของเขาก็ไม่เหมือนในอดีต เกณฑ์ทางการแพทย์ก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
“ไปเชิญอิ๋งจี๋” อิ๋งซื่อกล่าว
อิ๋งจี๋ก็คือชูหลี่จี๋ บัดนั้นเขารับราชการอยู่ที่ชูหลี่ ดังนั้นทุกคนจึงเรียกเขาว่าชูหลี่จี๋ บัดนี้กลับมารับราชการในเสียนหยางแล้ว การเรียกขานจึงเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีค้อมตัวถอยออกไป
จนกระทั่งอิ๋งซื่อทรงงานเล็กๆ น้อยๆ เสวยพระกระยาหารว่างแล้ว ชูหลี่จี๋ก็เข้ามาอย่างรีบร้อน
“ฝ่าบาท” ชูหลี่จี๋ค้อมคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถิด” อิ๋งซื่อรับผ้าเช็ดหน้ามาจากขันทีแล้วเช็ดๆ มือ
อิ๋งซื่อโบกมือสั่งให้ขันทีในห้องถอยออกไปให้หมด ครั้นชูหลี่จี๋นั่งลงก็ลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าเขา สะบัดแขนเสื้อแล้วโค้งคำนับ
ชูหลี่จี๋ตกตะลึง อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรีบลุกขึ้นคำนับกลับ “ฝ่าบาทนี่เพราะเหตุใด?”
“ซ่งหวยจินบาดเจ็บระหว่างที่สู้รบกับปาสู่ บัดนี้สายตามองไม่เห็น ข้าได้รับข่าวของหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ย ต้องการไปขอการรักษาที่ชูหลี่ด้วยตัวเอง ฝากน้องชายดูแลงานในราชสำนักด้วย” อิ๋งซื่อกล่าวด้วยความจริงจัง
“ไม่ได้เด็ดขาด!” สีหน้าชูจี๋หลี่เด็ดเดี่ยว “ฝ่าบาท บัดนี้ภายในพระราชสำนักเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าผู้คนที่เพิ่งรับตำแหน่งมีความสามารถเยี่ยงไรบ้าง จะจงรักภักดีหรือเป็นกบฏ ฝ่าบาทจะวางงานชิ้นใหญ่นี้ลงได้เยี่ยงไร!”
ทันใดนั้นสีหน้าเย็นชาของอิ๋งซื่อผุดรอยยิ้ม จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดัง “ที่ข้าตามหาเจ้า เพราะรู้ว่าเจ้าเอาอยู่”
“แต่ว่า…” ชูหลี่จี๋กังวลใจ ตลอดเวลามานี้ จักรพรรดิหลายพระองค์กลัวพี่น้องยึดอำนาจมากที่สุด นอกจากนี้หลายร้อยปีแห่งความโกลาหลของรัฐฉินในอดีตล้วนเป็นญาติทางสายเลือดที่แก่งแย่งชิงดีกันและได้รับบทเรียนจากความผิดพลาดมาก่อน ไม่รู้ว่าอิ๋งซื่อจะใช้โอกาสนี้ทดสอบเขาหรือว่าใจกว้างจริงๆ?
“กว่าเหรินจะมอบสิทธิ์ขาดแห่งชีวิตและความตายให้เจ้า” อิ๋งซื่อยกมือขึ้นตบๆ ไหล่ของเขา ถอนหายใจเอ่ย “เจ้าก็รู้ว่าดวงตาของซ่งชูอีคู่นี้เกี่ยวข้องกับรากฐานอันมั่นคงของต้าฉินเป็นอย่างมาก ผู้ที่สามารถสนับสนุนต้าฉินของข้าได้ บัดนี้…เห็นทีข้าคงจะเชื่อใจน้องชายเช่นเจ้าได้เท่านั้น”
ชูหลี่จี๋ทั้งประหลาดใจทั้งซาบซึ้ง ประหลาดใจที่อิ๋งซื่อให้ความสำคัญต่อซ่งชูอีมากเพียงนี้ ซาบซึ้งที่อิ๋งซื่อเชื่อใจเขาเพียงนี้
“ฝ่าบาทเห็นข้าเป็นพี่น้อง ข้าจะต้องไม่ทำลายความเชื่อใจของฝ่าบาทอย่างแน่นอน” ชูหลี่จี๋ประสานมือ
มุมปากของอิ๋งซื่อยกยิ้ม น้ำเสียงกลับหดหู่เล็กน้อย “พูดอะไรเหลวไหล เจ้าคือน้องชายของข้าอยู่แล้ว น้องชายโดยสายเลือด”
ชูหลี่จี๋ยิ้มเอ่ยอย่างละอาย “อิ๋งจี๋เผลอหลุดปากไป”
ตกกลางคืน
ประตูด้านข้างของเสียนหยางเปิดออกเงียบๆ ทหารม้าในชุดเกราะกลุ่มหนึ่งออกจากนครด้วยความรวดเร็วปานสายลม เร่งรีบไปยังชูหลี่ท่ามกลางราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ชูหลี่จี๋ยืนอยู่บนกำแพงเมือง มองดูเงานั้นที่หายลับไปในราตรีด้วยความรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะแหงนศีรษะขึ้นมองดวงดาราเต็มท้องนภา
ดวงดาวแขวนอยู่บนพื้นที่ไร้ขอบเขต ทางช้างเผือกลัดเลาะข้ามขอบฟ้า จักรวาลไม่มีที่สิ้นสุดซ่อนงำความลับที่ชั่วชีวิตนี้ยากที่จะสัมผัสและไขว่คว้าได้เพียงหยิบมือ นับตั้งแต่ที่เสด็จพ่อเสด็จสวรรคต เขาก็ลืมเลือนไปแล้วว่าตนคือนักดูดาวคนหนึ่ง อิ๋งซื่อเป็นคนที่ไม่เชื่อปรากฏการณ์บนท้องฟ้า นับประสาอะไรกับการทำสิ่งต่างๆ ตามเส้นทางแห่งดวงดาวเล่า
อิ๋งซื่อมิใช่ผู้ที่ฝักใฝ่ในอิสระเสรี ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันตั้งแต่เมื่อใด…
ชูหลี่จี๋มองดูดวงดาวที่ตกลงมาราวกับฝนตกในท้องฟ้ายามค่ำคืน มือจับกำแพงที่หนาวเย็นแน่น แสงเยือกเย็นของดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเจือปนสีแดงซึ่งเป็นเชิงสัญลักษณ์แห่งการเข่นฆ่าจางๆ มีดาวบางดวงในหมู่พวกมันที่เปล่งแสงสุกใสทางท้องฟ้าทิศบูรพา
หลังจากฝนดาวตกได้ผ่านพ้นไปแล้ว ชูหลี่จี๋ถอนหายใจช้าๆ หมุนตัวเดินลงไปจากหอคอยเมือง
เพื่อไม่ให้เกิดการเข่นฆ่า บัดนี้จึงต้องมีการเข่นฆ่า
ไม่จำเป็นต้องมองไปที่ปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เพียงหลับตาและร่ายรำดาบในมือก็เพียงพอแล้ว
ไม่รู้ว่ามีกี่แห่งที่อาบไปด้วยเปลวเพลิงของสงคราม อย่างน้อยในคืนนี้ทุกอย่างในเสียนหยางก็ยังอยู่กันอย่างสันติสุข
ทันทีที่ประตูเมืองเปิดในเช้าวันรุ่งขึ้น เงาสีขาวก็สว่างวาบในแสงสลัว ทหารรักษาประตูเมืองดวงตาเป็นประกาย นึกว่าตัวเองตาลายไปแล้ว
ไป๋เริ่นหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนของจู้ซย่าสื่ออย่างไร้ซุ่มเสียง
ซ่งชูอีก้าวไปข้างหน้าเพื่อสัมผัสกับที่เคาะประตู แล้วใช้มือเคาะๆ อย่างแรง
“มาแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว!” ครู่หนึ่งก็มีเสียงชัดเจนของเด็กสาวดังมาจากประตู
ประตูด้านข้างเปิดออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด หญิงสาวที่มีเสน่ห์โผล่ศีรษะออกมาจากประตู เมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างผอมบางคาดผ้าปิดตาสีดำยืนอยู่หน้าประตู นางก็แสดงสีหน้างงงวย ครั้นเห็นไปเห็นไป๋เริ่นก็อดไม่ได้ที่จะมองเด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างถี่ถ้วนทันที ใบหน้าเลือนรางนั้นคุ้นเคยยิ่ง
หญิงสาวลองเอ่ยเรียก “ท่าน?”
“หนิงยา” ซ่งชูอียิ้มเอ่ยน้อยๆ
“ใช่ท่านจริงๆ ด้วย!” หนิงยากระโดดออกจากประตูด้วยความยินดี เมื่อเห็นผ้าสีดำบนตาของซ่งชูอีก็ถามขึ้น “ดวงตาของท่านเป็นอะไรไป?”
ซ่งชูอีไม่ต้องการอธิบายให้มากความ จึงกล่าวอย่างผ่อนคลาย “บาดเจ็บเล็กน้อย อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว มิใช่เรื่องใหญ่”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี!” หนิงยาพูดถึงตรงนี้ก็กล่าวเสียงดัง “เจียน เจียน รีบเปิดประตูเร็วเข้า! ท่านกลับมาแล้ว!”
ครั้นได้ยินเสียงสดใสดุจนกขมิ้น รอยยิ้มของซ่งชูอีก็ยังไม่จางหายไปไหน เห็นได้ชัดว่าหนิงยามีชีวิตชีวาและฉลาดกว่าตอนที่นางจากไปมาก ทันใดนั้นก็ทำให้นางรู้สึกเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง
ประตูใหญ่เปิดออกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เสียงแตกหนุ่มของเด็กชายดังขึ้น “ท่าน”
“เจียน” ซ่งชูอีอารมณ์ดีมาก
หนิงยายื่นมือออกมาประคองนางเข้าประตูไป “ท่านระวังธรณีประตูเจ้าค่ะ”
“อืม” ซ่งชูอีตอบ
หนิงยาจำได้ว่าตอนที่ซ่งชูอีจากไปก็ยังโกรธนางเรื่องของจื๋อหย่าอยู่ บัดนี้ราวกับว่ามิได้นำมาใส่ใจแล้วก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงพูดคุยเจื้อยแจ้วเรื่องอื่นๆ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นเมื่อวานนี้หญิงม่ายที่อาศัยอยู่ข้างบ้านทำไก่หายไปหนึ่งตัวและมาถามหาที่จวนของพวกเขาเสียวุ่นวาย ทว่าซ่งชูอีกลับตั้งใจฟัง ไม่รู้รำคาญเลยแม้แต่น้อย
“ท่านคงหิวแล้วกระมัง บ่าวจะหุงอาหารให้ท่าน”
หนิงยารีบไปตระเตรียมอาหาร รอจนซ่งชูอีกินข้าวเสร็จแล้วก็ถามขึ้น “ท่านคงเหนื่อยแล้วกระมัง บ่าวจะไปเตรียมน้ำอาบให้ท่านได้พักผ่อน”
“เยี่ยม” ซ่งชูอีคิดว่าการมองเห็นของตัวเองไม่สะดวก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องหาคนมาปรนนิบัติ หนิงยาเป็นสาวใช้ที่ตนซื้อมาเองกับมือ สามารถควบคุมได้ แม้เคยทำงานผิดพลาด ทว่าก็เป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้นางก็เคยปรนนิบัติตนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกเหนือจากนางก็ไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้ว
หนิงยาประคองซ่งชูอีไปยังห้องอาบน้ำ
ซ่งชูอีคุกเข่าลงบนที่นั่ง คลายผ้าปิดตาสีดำด้วยตัวเองแล้วก็ถอดเสื้อผ้า
หนิงยาตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำ ทันทีที่เทน้ำร้อนลงในอ่างหันกลับมาก็เห็นซ่งชูอีเปลือยเปล่า ตกใจจนแทบจะทำถังไม้ในมือลื่นหลุดตกพื้น
“ทะ ท่าน?” สีหน้าหนิงยาแดงระเรื่อ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“ตกใจอะไร?” น้ำเสียงของซ่งชูอีนิ่งเรียบ
“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” หนิงยาหน้าแดง เข้ามาช่วยซ่งชูอีลงไปในอ่าง
เมื่อมองไม่เห็นร่างเปลือยเปล่าของซ่งชูอี หนิงยาก็กลับคืนสู่ปกติ ขณะที่รดน้ำบนตัวของนางก็กล่าวว่า “ท่านอ่อนแอเกินไปแล้ว ต่อไปต้องทานเยอะๆ หน่อย”
ซ่งชูอีลูบๆ ที่เป้า คงไม่มีอะไรงอกออกมากระมัง? หรือว่าหนิงยารู้ว่านางเป็นผู้หญิงนานแล้ว? หรือไม่เคยเห็นว่าผู้ชายมีร่างกายเป็นเยี่ยงไร?
“หนิงยา เจ้าไม่รู้สึกว่าร่างกายของข้ากับเจ้าต่างกันหรือ?” ซ่งชูอีลองถาม
ใบหน้าของหนิงยาแดงก่ำทันที กล่าวด้วยความเขินอาย “จะ จะเหมือนกันได้เยี่ยงไรเจ้าคะ?”
“อ๋อ?” ซ่งชูอีเลิกคิ้ว “ต่างกันตรงไหน?”
หนิงยาแทบรอไม่ไหวที่จะแทรกแผ่นดินหนี ก้มศีรษะต่ำถึงหน้าอก “หน้าอกของบ่าวกับหน้าอกของท่านไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ”
“บ้าเอ๊ย!” ซ่งชูอีอดที่จะเงยหน้าแล้วถอนหายใจยาวมิได้ ที่แท้ความไร้เดียงสาก็สามารถทำร้ายคนที่มองไม่เห็นได้เช่นกัน
“ท่านเจ้าคะ บ่าวพูดอะไรผิดไปหรือ?” หนิงยาทำท่าจะร้องไห้
“เปล่า ต่อไปไม่ว่าจะเวลาไหน ห้ามพูดเรื่องของข้าให้คนนอกฟังเป็นอันขาด” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยาคุกเข่าลงเสียงดัง ยกมือขึ้น “ท่านเจ้าคะ นับตั้งแต่คราวก่อน บ่าวก็สำนึกผิดแล้ว บ่าวสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะจงรักภักดีต่อท่าน ไม่มีทางปันใจเป็นอันขาด หากผิดคำสาบาน บ่าวยินดีที่จะถูกฟ้าผ่าตาย”
ซ่งชูอีพยักหน้า “ลุกขึ้นเถิด ข้าเชื่อเจ้า”
หนิงยามีสีหน้ายินดี นางก็เคยกล่าวโทษมารดาแท้ๆ ตอนที่นางเพิ่งจะจากไป ทว่าหลังจากอยู่กับซ่งชูอีสักพักหนึ่ง นางก็ใช้ชีวิตอย่างดีมาก ไม่จำเป็นต้องอกสั่นขวัญแขวน มีเสื้อผ้าใส่มีอาหารให้กิน อีกทั้งยังไม่เคยโดนดุหรือโดนโบยเลย นางเคยเห็นเด็กที่ผ่านความยากลำบากมาก่อน รู้ดีว่านางโชคดีกว่าทาสทั้งหมดในโลกใบนี้ นางก็มิใช่คนที่ไร้คุณธรรมจึงได้ตัดสินใจแล้วที่จะมีซ่งชูอีเป็นนายเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต ตอนนั้นที่ถูกจื๋อหย่าร่ายมนตร์และทำผิดพลาด ในใจก็รู้สึกเสียใจและกังวลอยู่เสมอ บัดนี้นางรู้แล้วว่าควรจะทำเยี่ยงไรเพื่อให้ซ่งชูอีพึงพอใจ อีกทั้งยังได้รับการอภัย หัวใจจึงสดใสขึ้นในทันที
“ช่วงนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า?” ซ่งชูอีนอนอยู่บนอ่างอาบน้ำ เอ่ยถาม
หนิงยาครุ่นคิด “ท่านจากไปเกือบปี คนข้างนอกต่างกล่าวว่าท่านทรยศรัฐฉิน บ่าวได้ยินว่าเหล่าขุนนางมากมายต้องการจับตัวท่านมารับผิด ทว่าฝ่าบาทไม่เพียงไม่ฟังพวกเขาเท่านั้นทว่ายังยืนกรานที่จะเก็บจวนว่าการหลังนี้ไว้ให้ท่าน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้านินทาว่าร้ายที่จวนอีกแล้ว”
อิ๋งซื่อไม่สามารถยืดหยัดที่จะหักล้างข่าวลือของนางได้ หลังจากทำให้ผู้คนคาดเดาไปต่างๆ นานาแล้วก็ค่อยๆ สงบข่าวลือลง
“ข้าไม่อยู่ ต้องทำให้พวกเจ้าลำบากแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยาส่ายหน้า “บ่าวไม่ลำบากเจ้าค่ะ ทว่าท่านเจินดูแก่ลงสิบกว่าปีภายในพริบตา พุงกลมๆ ก็หายไปหมดแล้ว บ่าวได้ยินว่าที่บ้านของเขามีคนก่อเรื่อง แต่ว่าท่านเจินยุ่งขนาดนี้ก็ยังส่งข้าวส่งน้ำมาให้บ่าวกับเจียนมาโดยตลอด”
“อืม อีกประเดี๋ยวเจ้าก็ไปบอกเขาว่าข้ากลับมาแล้ว” ซ่งชูอีกล่าว
“เจ้าค่ะ!” หนิงยาตอบรับชัดเจน
ซ่งชูอีสวมเสื้อคลุมแขนกว้างตัวใหญ่ของหนึ่งปีก่อน บัดนั้นเสื้อหลวมเล็กน้อยทว่าบัดนี้กลับพอดีตัว
“ท่าน” เจียนหมอบอยู่บนพื้น
“ในจวนยังมีเนื้อหรือไม่?” ซ่งชูอีถาม
เจียนตอบด้วยความนอบน้อม “มีขอรับ เป็นเนื้อหมูสดที่ท่านเจินนำมาเมื่อหลายวันก่อน”
“ตุ๋นให้ไป๋เริ่นเถิด ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็จะไม่ขาดแคลนเนื้ออีก” ซ่งชูอีเอ่ย
เจียนตอบรับ “ขอรับ”
เจียนเป็นคนพูดน้อยเสมอมา ท่าทีที่เขามีต่อซ่งชูอีนั้นนอบน้อมมาก โดยปกติแล้วก็ไม่เป็นที่สนใจของผู้อื่นราวกับอากาศธาตุ
“เจ้าลุกขึ้นแล้วมาหาข้า” ซ่งชูอีเอ่ย
เจียนลุกขึ้นมาจากพื้น ค้อมตัวเดินเข้าไปหาซ่งชูอี
ซ่งชูอีเอื้อมมือจับใบหน้าของเขา จากนั้นก็ลูบจากใบหน้ามาที่ไหล่และหน้าอก ยกกำปั้นขึ้นทุบๆ ก็ได้ยินเสียงดังตุ้บๆ นางยิ้มกว้างพร้อมเอ่ย “หุ่นดีทีเดียว ไว้ข้ามีเวลาจะหานักรบมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้เจ้า”
ความซาบซึ้งรั่วไหลออกมาจากใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเหมือนไม้กระดานของเจียน เขาหมอบลงกับพื้นทันที “ขอบคุณท่านขอรับ!”
“วันนี้ข้าจะให้รางวัลเจ้ากับหนิงยาในการใช้สกุลของข้า สกุลซ่ง” ซ่งชูอีแซ่จื่อสกุลซ่ง หากย้อนกลับไปดูบรรพบุรุษก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับจื่อเฉาและจื๋อหย่าอยู่บ้าง ทว่านางเอ่ยถึงแซ่ของนางน้อยมาก
เจียนกับหนิงยารู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยกับขนมชิ้นใหญ่นี้ หลังจากนั้นเนิ่นนานทั้งคู่จึงคุกเข่ากับพื้นกราบสามครั้งคำนับเก้าครั้งเพื่อขอบคุณพระคุณอันยิ่งใหญ่ของซ่งชูอี
บรรดาบ่าวไพร่มีแซ่ทว่าไม่มีสกุล หากมีสกุลก็นับว่าเป็นผู้สูงศักดิ์แล้ว ในเมื่อซ่งชูอีมอบสกุลให้ก็เท่ากับว่าต้องการฟื้นฟูสถานะของพวกเขาเสมือนสามัญชน
ซ่งชูอีมอบสกุลให้เป็นของขวัญก็เท่ากับนำเจียนและหนิงยาเขาสู่ตระกูลของตน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับสกุลซ่งมีเพียงนางเป็นตัวเชื่อมต่อเท่านั้น หากสองคนนี้ทรยศนางก็เท่ากับทรยศต่อตระกูล แม้ต้องกลายเป็นบ่าวไพร่ที่ไร้หัวนอนปลายเท้าอีกครั้ง ผู้ที่บรรพบุรุษทอดทิ้งก็จะยิ่งถูกใต้หล้าปฏิเสธ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการให้พรอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์เท่านั้นแต่ยังเป็นการมอบพันธะที่ทำลายไม่ได้อีกด้วย
ทุกสิ่งมีข้อดีข้อเสีย ไม่มีอาหารที่ได้มาเปล่าๆ ในโลกใบนี้
“ข้าจะไปพักผ่อนสักครู่ ไว้ท่านเจินมาแล้ว หนิงยามาเรียกข้าก็พอ” ซ่งชูอีกล่าว
“อ้อ! ข้าก็ตากผ้าห่มให้ท่านทุกวันนะเจ้าคะ” หนิงยาลุกขึ้นประคองซ่งชูอีกลับไปที่ห้องนอน ปรนนิบัตินางให้นอนลง แล้วเดินออกไปอย่างนุ่มนวล
เมื่อคิดว่าตนมีสกุลแล้ว หนิงยาก็อยู่ในความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นางถือชายกระโปรงวิ่งออกจากจวนอย่างมีความสุข
เงาของดวงอาทิตย์ขยับมุม
เจินจวิ้นรีบวิ่งไปที่จวนซ่งท่ามกลางแสงแดดยามเที่ยงวันอย่างบ้าคลั่ง เขามีเหงื่อท่วมตัวแต่กลับไม่สามารถปกปิดความปรีดาบนใบหน้าได้ นับตั้งแต่มีข่าวว่าซ่งชูอีทรยศต่อรัฐฉิน เหล่าผู้อาวุโสในสกุลเจินที่มีเจตนาร้ายแอบแฝงก็ถือโอกาสนี้ก่อกวนและตั้งข้อสงสัยในการตัดสินใจของเขาครั้งนั้น เจินจวิ้นจนปัญญา ทว่าเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของตนจึงทำได้เพียงกัดฟันอดทน จดหมายที่ส่งไปยังรัฐสู่ก็เปรียบเสมือนก้อนหินที่จมลงไปในทะเลและทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมาน
เจินจวิ้นเป็นผู้ที่มีอำนาจและมือสะอาด ตระกูลเจินแตกแยก แม้ว่าจะปกป้องกำลังส่วนใหญ่ของตัวเองไว้ได้ ทว่าในใจของเขาเป็นกังวลตลอดมา และเคยสงสัยว่าตัวเองมองคนผิดไปจริงๆ หรือเปล่า บัดนี้ซ่งชูอีกลับมาแล้วจะไม่ให้เขาดีใจจนแทบคลั่งได้เยี่ยงไร!
เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองยังสายตาแหลมคมเช่นในอดีต เจินจวิ้นก็อดที่จะเยาะเย้ยในใจมิได้ ดูซิว่าข้าจะจัดการกับพวกอาวุโสพวกนั้นเยี่ยงไร!
“ท่านเจินซับเหงื่อก่อนเจ้าค่ะ” ยื่นผ้าเช็ดหน้าเปียกให้เจินจวิ้น “บ่าวจะไปเรียกท่าน”
“ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องเรียก ข้ารอได้” เจินจวิ้นรีบพูด
เจินจวิ้นเป็นคนมีความกรุณามาก หนิงยากับเขาสนิทสนมกันเสมอมา หัวเราะเอ่ย “ท่านสั่งไว้แล้วเจ้าค่ะ”