กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 239 หมิ่นจื๋อห่วนผู้ยอดเยี่ยม
หมิ่นฉือเข้าไปนั่งในศาลา หันมองอิ๋งสี่ “กระหม่อมต้องการคุยกับท่านซ่งตามลำพัง ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะอำนวยความสะดวกได้หรือไม่?”
บุคลิกสง่างามเพียงนี้ทว่าปากกับใจกลับไม่ตรงกัน แววตาของอิ๋งสี่เจือปนความระวังตัวและรังเกียจโดยไม่รู้ตัว
“องค์หญิงได้โปรดออกไปก่อนเถิด” ซ่งชูอีเอ่ยปาก
อิ๋งสี่ครุ่นคิด แม้ว่าหมิ่นฉือผู้นี้โหดเหี้ยมทว่าก็ยังไม่ถึงขั้นที่ใช้มือสังหาร ไม่มีอันตรายอะไร จึงไว้หน้าซ่งชูอี ลุกขึ้นแล้วออกไปจากศาลา
“ท่านหมิ่นมีธุระใดก็ว่ามาเถิด” ซ่งชูอีเอ่ยเรียบๆ
หมิ่นฉือมองดูเด็กหนุ่มผอมบางที่อยู่ใกล้เพียงคืบ เอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้ายังนึกว่าท่านซ่งมีกลยุทธ์หลักแหลมอะไรเสียอีก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเพียงย้อนกัดข้าน้อยก่อนที่จะได้รับความทุกข์ทรมาน ท่านซ่งคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำร้ายข้าได้เช่นนั้นหรือ?”
หมิ่นฉือกล่าวจบก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย นี่มิใช่จุดประสงค์ในการมาของเขา ทว่าไม่รู้เป็นเพราะอะไร ปากนี้กลับกล่าววาจาอันเป็นศัตรูกันออกมา…ชะตากรรมคงกำหนดให้พวกเขาเป็นได้เพียงศัตรูกันกระมัง
“เหตุใดจึงเรียกว่าหลักแหลมเล่า? สำหรับซ่งหวยจินแล้ว หากประสบความสำเร็จต่างหากจึงจะเรียกว่าหลักแหลม” มือที่อยู่ในแขนเสื้อของซ่งชูอีประสานกัน ลูบคลำนิ้วก้อยข้างซ้ายของตัวเองแผ่วเบา น้ำเสียงเย็นเยียบลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “การเล่นแพร่กระจายข่าวลือเช่นนี้ ข้าแซ่ซ่งไร้ความอดทนที่จะเล่นต่อไปแล้ว อย่างที่ข้ากล่าวในงานประชุมวิชาการ ท่านก็ทำได้เพียงสวามิภักดิ์ต่ององค์จวินเพื่อแลกเปลี่ยนกับชื่อเสียงและผลประโยชน์เท่านั้น บัดนั้นที่ข้ากล่าวกับท่านว่าจะใช้ใต้หล้าเป็นกระดานหมากและเล่นหมากกันสักครั้ง ที่จริงแล้วก็เพราะยกย่องท่าน วันนี้ข้าขอถอนคำพูดนั้นก็แล้วกัน”
สีหน้าของหมิ่นฉือแข็งทื่อเล็กน้อย แววตาที่มองซ่งชูอีมีความอาฆาตเบาบาง กล่าวอย่างเย็นชา “จนป่านนี้แล้วท่านซ่งยังคงสามารถคุยโวโอ้อวดได้ ข้าแซ่หมิ่นชื่นชมแล้ว”
อย่างไรก็ตามความโกรธของเขาถูกตัวเองระงับด้วยเพียงประโยคเดียว
เขามองไปที่ชายเสื้อของนาง ลังเลครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถามออกมา “ได้ยินว่าท่านได้รับบาดเจ็บในรัฐสู่ มีผลต่อดวงตา บัดนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
การลูบคลำนิ้วก้อยของซ่งชูอีชะงักไปเล็กน้อย ประโยคนี้สอดคล้องกับเสียงที่ชัดเจนในความทรงจำของนาง ‘ให้ข้าดูหน่อย ได้ยินว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บขณะเจรจากับรัฐฉิน หายแล้วหรือยัง?’
ทันใดนั้นความอดทนของนางที่มีอยู่เพียงน้อยนิดก็หมดลง “ท่านไม่ต้องเป็นกังวล และก็ไม่จำเป็นต้องสืบข่าวไปทั่ว วิธีของซ่งชูอีนั้นเที่ยงธรรมอย่างแน่นอน! เชิญเถิด!”
เห็นได้ชัดว่านางไล่แขกแล้ว
“เช่นนั้นก็ขอให้เจ้าหายในเร็ววัน! ลาก่อน” หมิ่นฉือเป็นคนที่คนหัวแข็ง ซ่งชูอีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว แม้ว่าเขามีเรื่องที่ต้องการจะพูดก็จะไม่อยู่ต่ออีกอย่างแน่นอน
หมิ่นฉือออกมาจากจวนด้วยความโกรธ พลันหยุดเดินกะทันหันแล้วมองย้อนกลับไปยังประตูใหญ่ที่มืดสนิท แววตาสลับซับซ้อน – นี่เขามาหาเรื่องอับอายใส่ตัวชัดๆ!
นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายไว้อยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องโมโหด้วยเล่า? ที่เขามา ก็เพื่อหยั่งดูท่าทีมิได้มาดูรูปลักษณ์น่าอดสูของซ่งชูอีเสียหน่อย ทว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ตัดสินใจมา!
หมิ่นฉือถอนหายใจยืดยาว ก่อนก้าวเท้ายาวๆ จากไป
ที่ศาลาภายในจวน
อิ๋งสี่หยุดอยู่นอกศาลา มองดูซ่งชูอีที่นั่งอยู่คนเดียว ดูเหมือนเหงาเล็กน้อย ก็เหมือนกับที่นางมองพี่ใหญ่นั่งชมทิวทัศน์เพียงผู้เดียวในป้อมปราการหลายครั้ง
“ท่าน เมื่อคืนข้าได้ยินข่าวดีจากปาสู่อีกแล้ว!” อิ๋งสี่ยิ้มพลางนั่งลงข้างนาง
ซ่งชูอียิ้มด้วยความเหนื่อยล้า “เช่นนั้นรึ น่าจะได้รับชัยชนะในอีกไม่ช้าแล้ว”
“เป็นเพราะความพยายามของท่าน!” เดิมทีอิ๋งสี่ต้องการพูดมากกว่านี้เพื่อคลายทุกข์ของนาง ทว่าเมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางซีดขาวเล็กน้อยจึงทำได้เพียงกล่าวว่า “ท่านคงเหนื่อยแล้ว ข้าประคองท่านไปพักผ่อนดีหรือไม่?”
ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน “จะกล้ารบกวนองค์หญิงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร องค์หญิงทุ่มเทให้หวยจิน หวยจินไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน บัดนี้ก็ไม่เช้าแล้ว องค์หญิงรีบกลับไปพักพระวรกายเถิด”
อิ๋งสี่เห็นว่าซ่งชูอีเกรงใจและทำตัวห่างเหินจากนางทว่าก็มิได้ตำหนิ ขุนนางทั่วไปส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ นางเป็นองค์หญิงโดยสายเลือด ต่อให้ทำดีและสุภาพกับเหล่าขุนนางเพียงใด ก็นับเป็นเพียงพระคุณมิใช่ความรัก หากมีคนใดคิดจะปีนป่ายนางขึ้นสู่ที่สูงจริง นางก็ต้องระวังตัวแล้ว
ชาวหล่งซีตรงไปตรงมา นิสัยของอิ๋งสี่ก็เช่นกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะกลับไปทูลรายงานแล้ว ท่านรักษาตัวด้วย!”
“หวยจินไม่สะดวกส่งองค์หญิง ได้โปรดให้อภัยด้วย” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย
อิ๋งสี่ยิ้มขี้เล่น เอ่ยว่า “ภายภาคหน้าท่านจะเป็นเสาหลักให้กับต้าฉิน อิ๋งสี่จะใช้แรงงานได้เยี่ยงไร? ข้าไปเองก็ได้!”
ซ่งชูอียิ้ม ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของอิ๋งสี่กระโดดเหยงๆ ไกลออกไปก็เดินไปตามทางเดินหินช้าๆ
“ท่านเจ้าคะ” หนิงยารีบเข้ามาประคองนาง
ใกล้พลบค่ำแล้ว ก้อนเมฆสีแดงทางทิศตะวันตกรวมตัวกันเหมือนขนนก รูปร่างเหมือนปีกที่ห้อยลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่ามันได้สะสมพลังที่ไม่อาจคาดเดาและอาจกระพือปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามได้ทุกเมื่อ
การรวมตัวร้อยสำนักนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมาเพื่อกล่าวหาความผิดทว่าก็มาหาความครึกครื้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากเรื่องที่จวงจื่อตัดนิ้วทำให้เกิดความเงียบอย่างน่าประหลาดใจ ความหมายแฝงในคำพูดของซ่งชูอีและอิ๋งซื่อระหว่างงานประชุมวิชาการค่อยๆ กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
หลังจากนั้นหลายวัน มีคนมาสืบข่าวถึงจวนของซ่งชูอีไม่ขาดสายว่าคำพูดที่นางกล่าวในวันนั้นหมายความว่ากระไร มีคนใส่ร้ายนางจริงหรือ? หากมีคนเลวทรามเช่นนี้จริง ทางร้อยสำนักจะขอทวงความยุติธรรมคืนให้นางอย่างแน่นอน
การพูดความจริงไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวเพียงหนึ่งประโยค ทว่านางพิจารณาอยู่หลายครั้ง ในใจคิดว่าการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถทำให้หมิ่นฉือตาย ทว่านางก็ยินดีที่จะทำให้เขาตกที่นั่งลำบากในขณะที่เผยแพร่ชื่อเสียงที่ดีให้กับตัวเอง
บางคราวผู้เคราะห์ร้ายกลับมีจิตใจที่สงบกว่า และยิ่งสามารถดึงดูดนักปราชญ์ร้อยสำนักให้มีศัตรูคนเดียวกันได้ ดังนั้นเมื่อมีผู้เข้ามาสอบถาม ซ่งชูอีมักจะหลีกเลี่ยงที่จะพบโดยอ้างถึงโรคและให้หนิงยาเพียงตอบกลับไปว่า “ข้อพิพาทส่วนตัว ไม่คุ้มที่จะเอ่ย”
ปล่อยให้ผู้อื่นคาดเดา ปล่อยให้ผู้อื่นเดือดร้อน
เมื่อได้รู้ว่าหมิ่นฉือใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุข ซ่งชูอีก็สามารถรักษาตัวได้อย่างสบายใจ ในเวลาว่างก็จะหยอกเล่นกับไป๋เริ่น ตกปลา และค่อยๆ เดินออกมาจากความเศร้าหมอง
จวงจื่อมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ซ่งชูอีจึงไม่กังวลเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่ทุกครั้งที่นึกถึงนิ้วที่ขาด หัวใจของนางก็เจ็บปวด ลมหายใจเศร้าโศกที่ติดอยู่ในใจนั้นไม่สามารถเข้าหรือออกได้
เปี่ยนเชวี่ยรักษาอาการป่วยด้วยความจริงใจ รู้ว่าอารมณ์โกรธของนางยากที่จะบรรเทา จึงทำได้เพียงมาคุยกับนางเรื่องเต๋าทุกวัน โน้มน้าวให้นางแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ก็อย่างละมุนละม่อม อย่างไรก็ดีน่าเสียดายที่แม้ซ่งชูอีจะเป็นคนใจเย็นและมีนิสัยที่ปล่อยวางได้เสมอ ทว่าก็เป็นเรื่องยากที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป โชคดีที่นางสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ขณะหัวเราะและก่นด่าตามปกติจึงไม่เห็นร่องรอยของความเกลียดชังแม้แต่น้อย
กว่าสามเดือนผ่านไป ปลายเดือนสิบ หล่งซีก็เข้าสู่ต้นฤดูหนาวแล้ว
ในที่สุดสงครามแห่งปาสู่ก็ได้ปิดฉากลง! การต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นพายุหมุนลูกใหญ่ ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหกเดือนนับตั้งแต่กองทัพฉินเริ่มเข้าปาสู่ก็สามารถโค่นได้แม้กระทั่งสามรัฐที่มีอำนาจแข็งแกร่งและเพิ่มอาณาเขตของรัฐฉินเป็นสองเท่า!
ทันใดนั้นรัฐฉินก็กลายเป็นรัฐใหญ่ที่มีพื้นที่เทียบเคียงกับรัฐฉู่! และเมื่อเทียบกับรัฐฉู่แล้ว รัฐฉินมีตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ที่เอื้ออำนวย กองทัพเหล็กเกรียงไกรดุจราชสีห์ อีกทั้งยังมีองค์จวินที่หนุ่มและน่าเกรงขาม ในสถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นรัฐที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดามหานครทั้งเจ็ดรัฐไปแล้ว!
หกรัฐในซานตงตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด – มีราชสีห์ดุร้ายเฝ้ารออยู่ข้างเตียง จะนอนหลับสนิทได้เยี่ยงไร?!
ในบรรดาทั้งหกรัฐ รัฐเว่ยตื่นตระหนกมากที่สุด ฉินเว่ยมีความแค้นต่อกัน ฉินยึดที่มั่นด่านในพื้นที่เสี่ยงได้ในขณะที่รัฐเว่ยอยู่ในพื้นที่ราบ หลังจากกองทัพฉินกลับมาจากปาสู่แล้วคิดจะเอาชนะเว่ยก็มิใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ?
โครมคราม!
โต๊ะตัวเล็กที่ทาสีเคลือบเงาอย่างวิจิตรถูกเว่ยอ๋องเตะลอยไปไกลเกือบหนึ่งจั้ง เขาตบโต๊ะอย่างแรง กัดฟันเอ่ย “ซ่งหวยจินผู้นี้! ซ่งหวยจินผู้นี้! กว่าเหรินเกลียดยิ่งนัก!”
“หมิ่นจื๋อห่วน เจ้าบอกมาสิ เจ้าบอกมาว่าต้องใช้วิธีอะไรจึงจะสามารถกำจัดคนนี้ได้! กว่าเหรินต้องการให้เขาตาย! ไม่ได้ก็ใช้มือสังหารเสีย!” เว่ยอ๋องคล้ายบีบเสียงออกมาจากไรฟัน เขาอุตส่าห์นอนหลับสนิทได้ไม่กี่วัน เจอสายฟ้าฟาดกะทันหันในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นนี้จะสามารถสงบนิ่งได้เยี่ยงไร?
“เสด็จพ่อ ไม่ได้นะ!” องค์รัชทายาทเฮ่อรีบปราม “สังหารปราชญ์โดยไร้เหตุผล จะเป็นที่ครหาในใต้หล้านะพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่ก้นของเว่ยอ๋องแตะที่นั่งก็ส่งเสียงหายใจหวีดหวิว เสื้อผ้าไร้ระเบียบ แสดงให้เห็นว่าค่อนข้างอ่อนล้า
“อ๋องของกระหม่อมใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หมิ่นฉือยืดตัวตรง “ท้ายที่สุดแล้วรัฐฉินมีเพียงกองกำลังจำนวนมากเท่านั้น ทันทีที่พวกเขาขยายอาณาเขตก็ต้องกระจายกองกำลังเพื่อรักษาเสถียรภาพของพื้นดินใหม่ ราษฎรปาสู่มีความป่าเถื่อน มิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกันจะสามารถควบคุมได้ง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ? อีกทั้งบัดนี้รัฐฉู่เข้าโจมตีปาสู่และยังยึดครองพื้นที่สิบกว่าลี้ รัฐฉินต้องรับมือกับปาสู่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งก็ต้องรับมือกับฉู่ที่แข็งแกร่ง ต้องมีกองทหารใหญ่ประจำการในปาสู่อย่างแน่นอน…การป้องกันบ้านเกิดเดิมต้องคลายลงเป็นแน่ บางทีพวกเราอาจใช้โอกาสนี้ยึดดินแดนเหอซีกับป้อมหลีสือ ครอบครองพื้นที่เสี่ยงจากธรรมชาติแล้วค่อยฝึกฝนกองกำลังให้แข็งแกร่ง ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสโค่นฉิน!”
เอ๋ยอ๋องนิ่งไปครู่หนึ่ง ปรบมือหัวเราะเสียงดังทันใด “หมิ่นจื๋อห่วนยอดเยี่ยม ประเสริฐนัก!”
เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในการบีบให้ฆ่าซ่งชูอี เว่ยอ๋องจึงโกรธเคืองหมิ่นฉือ แต่หลังจากคำพูดเหล่านี้แล้ว เขาก็รู้ว่าหมิ่นฉือมีความสามารถจริงๆ จึงนึกขึ้นมาได้ว่าจุดเด่นของหมิ่นฉืออยู่ที่กลยุทธ์ทางการทหาร บางทีการให้เขาวางแผนลอบฆ่าคนคนหนึ่งอาจเป็นการใช้งานคนไม่ตรงกับความสามารถ
เพียงคำพูดสั้นๆ เว่ยอ๋องก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในหมิ่นฉืออีกครั้ง
เว่ยอ๋องบุคคลนี้มีความกล้าหาญ อย่างไรก็ดีเขาไม่มีความสามารถในการมองและความคุมความสามารถของคน ยิ่งไม่ถนัดในการแยกแยะและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ แต่เขายังมีข้อดีในการ “ไม่สงสัยในการใช้คน หากสงสัยจะไม่ใช้” คนเยี่ยงเขาเช่นนี้หากพบกับบัณฑิตที่มีความจงรักภักดีตั้งแต่แรก ก็จะเป็นพยัคฆ์ติดปีกอย่างแน่นอน ทว่าเขาถูกคนหลอก ปล่อยโอกาสครั้งใหญ่หลุดมือไปหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุนี้รัฐเว่ยจึงมีแต่เสื่อมถอยในมือของเขา
ต่อมาเว่ยอ๋องอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความสามารถในการปกครองดังในอดีต บวกกับโรคหัวใจหลายชนิด ก็เหมือนกับเสือดาวชราคอตก ไม่สามารถล่าสัตว์ได้อีกต่อไป แต่กรงเล็บอันแหลมคมยังคงอยู่และอาจทำร้ายคนใกล้ชิดได้ทุกเมื่อ
หลังจากหารือเกี่ยวกับนโยบายฉินเรียบร้อยแล้ว เว่ยอ๋องก็ง่วงนอนจนแทบทนไม่ไหว ทุกคนจึงถอยออกจากท้องพระโรง ต่างคนต่างกลับจวนของตัวเอง
“หลางจงฝ่ายขวา”
หมิ่นฉือหยุดเดิน หมุนตัวกลับไปมองก็เห็นชายหนุ่มใบหน้าซื่อตรงในเสื้อคลุมสีน้ำเงินยืนอยู่ที่บันได เขาสดใสดุจแสงจันทร์และสายน้ำ รีบประสานมือคำนับทันที “ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
“ไม่ต้องมากพิธี” องค์รัชทายาทเฮ่อเดินลงบันได “จื๋อห่วนมีความสามารถและกลยุทธ์ที่โดดเด่นมาก ข้าชื่นชมยิ่งนัก!”
“องค์รัชทายาทชมเกินไปแล้ว” หมิ่นฉือกล่าว
องค์รัชทายาทเฮ่อหัวเราะ “ฟ้ายังสว่างอยู่ หากจื๋อห่วนไม่รังเกียจ มาดื่มกันสักสองสามจอกประไร?”
องค์รัชทายาทเฮ่อเป็นรัชทายาทลำดับที่สอง รัชทายาทเซินลำดับแรกพ่ายแพ้สงครามที่หม่าหลิงเต้า ถูกรัฐฉีจับตัวเป็นเชลยและฆ่าตัวตาย ปีต่อมาจึงแต่งตั้งองค์ชายเฮ่อเป็นรัชทายาท หากเทียบกับความฮึกเหิมกับองค์รัชทายาทเซิน นิสัยของเว่ยเฮ่อสงบนิ่งและซื่อสัตย์กว่า เป็นคนที่มั่นคงมากกว่า
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นที่บนบันได “ดื่มสุรางั้นรึ…เพิ่มข้าไปอีกคนคงไม่มากไปกระมัง?”
สีหน้าขององค์รัชทายาทเฮ่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันหลังกลับและมองตามสายตาของหมิ่นฉือ ก็เห็นพระอนุชาเว่ยซื่อยืนมือไพล่หลัง ยิ้มด้วยความสดใส