กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 240 เห็นท้องฟ้างามดุจหยกใส
องค์ชายซื่อมีหน้าตาละม้ายกับองค์รัชทายาทเซินผู้ล่วงลับยิ่ง ดูหล่อเหลากล้าหาญ ความฮึกเหิมนั้นก็เหมือนกันเสียสองถึงสามส่วน
แม้นว่าสุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทเซินพ่ายแพ้ถูกจับไปเป็นเชลย ทว่าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งรัฐ เขาก็นับว่ามีความฮึกเหิมมากที่ฆ่าตัวตายเพื่อบ้านเมือง รักษาศักดิ์ศรีของรัฐเว่ย ไม่ปล่อยให้รัฐฉีใช้เขาเพื่อหักหลังรัฐเว่ยได้ บางทีอาจเป็นเพราะเว่ยอ๋องปวดใจและคิดถึงองค์รัชทายาทเซินมาก จึงปฏิบัติต่อองค์ชายซื่อไม่ต่างกัน
หมิ่นฉือเงยหน้ามองท้องฟ้า “กระหม่อมดูจากท้องฟ้าแล้ว คืนนี้ไม่เหมาะสม องค์รัชทายาทกับองค์ชายรีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้กระหม่อมจะจัดงานเลี้ยงสุราเพื่อขอขมาท่านทั้งสอง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่บังคับ” องค์รัชทายาทเฮ่อไม่ชอบองค์ชายซื่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงรีบทำตามหมิ่นฉือลงบันไดไปแล้ว
“โธ่…” องค์ชายซื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เอ่ยตำหนิ “ไม่เหมาะสมเช่นนั้นหรือ…ราตรีอันยาวนานช่างรู้สึกเหงาจริงๆ…”
พูดพลาง เอื้อมมือโอบกระชับเสื้อคลุม มองดูองค์รัชทายาทเฮ่อกับหมิ่นฉือที่ต่างคนต่างจากไปแล้วจึงเดินลงบันไดเชื่องช้า
สายลมตะวันตกเย็นสบายตลอดคืนและมีน้ำค้างแข็งในหล่งซี
ชั้นน้ำค้างแข็งหนาทึบปกคลุมนครเสียนหยางภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับหิมะเพิ่งตกหนัก มันสะท้อนกับท้องฟ้าคล้ายหยกใส ดูสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
ในลานแห่งหนึ่งของจวนซ่ง หนิงยาในเสื้อคลุมหนังแกะตัวสั้นกำลังกวาดน้ำค้างแข็ง ไป๋เริ่นกระโดดโหยงเหยงไปมาตามด้ามไม้กวาดเหมือนลูกแมวตัวใหญ่ ในไม่ช้าก็ทำเอาดอกไม้และพืชล้ำค่าที่ปลูกไว้ในลานบ้านหมอบราบไปกับพื้น เคราะห์ดีที่หนิงยาก็ไม่รู้จักของดี รู้สึกเพียงว่ามันคือดอกไม้ใบหญ้าสองสามชนิดที่ร่วงโรยเท่านั้น จึงจัดการถอนรากถอนโคนแล้ว
นี่ทำให้เปี่ยนเชวี่ยที่นั่งเฝ้าเตายาอยู่บนทางเดินมองดูด้วยความรู้สึกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
เหล่านกส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว แสงอาทิตย์ยิ่งส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ มันส่องผ่านลายฉลุของหน้าต่าง ทิ้งจุดแสงกระดำกระด่างไว้บนพื้นห้องนอน
ซ่งชูอีขยับเปลือกตา ลืมตาเบาๆ
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเหมือนลำแสงสีน้ำตาลอมเหลือง นางอึ้งไปครู่หนึ่ง ลืมตาขึ้นทันใดและแสงก็สาดเข้ามา ทำให้ดวงตาที่มิได้เห็นแสงสว่างมาเป็นเวลานานระคายเคืองไปชั่วขณะ หลังจากที่ปรับตัวได้สักพักแล้วนางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองเห็นการตกแต่งภายในห้องเลือนลาง ผ้าม่านสีเทาอมเขียว ม้วนใบไผ่ที่วางซ้อนกันบนโต๊ะยาวเคลือบเงาสวยงาม กระถางธูปสำริดแกะสลัก ที่นั่งหนังแกะ…
“ฮ่า!” นั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ซ่งชูอีก็หัวเราะร่วน ลุกพรวดจากเตียง วิ่งเท้าเปล่าออกไปเสียงดังด้วยความร้อนรน
ครั้นผลักประตูห้องเปิด แสงอาทิตย์ก็ห้อมล้อมตัวนางทันใด หลังจากแสงสีขาวปรากฏตรงหน้าแล้วสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ซ่งชูอีเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เหมือนหยกใส อดที่จะหัวเราะเสียงดังมิได้
เมื่อสูญเสีย นางสามารถโน้มน้าวตัวเองให้ยอมรับความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว แต่ท้ายที่สุดแล้วการอยู่ในความมืดทำให้ชีวิตของนางไม่สะดวกนัก บัดนี้แสงสว่างกลับมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ก็ยากที่จะปกปิดความสุขที่ได้กลับคืนมา!
“ท่าน!” หนิงยาตกใจกับการกระทำของซ่งชูอี ขณะที่ดึงสติดกลับมาก็รีบทิ้งไม้กวาด วิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็วเพื่อหยิบเสื้อคลุมออกมาสวมใส่ให้นาง “ท่านเป็นอะไรไป? รีบกลับไปสวมเสื้อเถิดเจ้าค่ะ”
ทางเดินตรงข้าม เปี่ยนเชวี่ยลุกขึ้นยืน จ้องมองซ่งชูที่เปลือยเท้าอยู่นาน สายตาจ้องมองมาที่ดวงตาคู่นั้นของนางซึ่งสะท้อนให้เห็นท้องฟ้าสดใส คิ้วที่ขมวดกันก็ค่อยๆ ย้อมด้วยความสุข “ประเสริฐแท้!”
เปี่ยนเชวี่ยเข้ารักษาโรคของซ่งชูอีเป็นเวลาสามเดือนแล้ว แม้จะบอกว่าการที่จุดชี่ไห่กลับเข้ามารวมตัวอีกครั้งเป็นเรื่องยาก ทว่าหลังจากได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังจากเขาแล้ว อย่างน้อยทุกวันขณะที่เลือดลมเข้าสู่จุดชี่ไห่ นางก็ควรจะมองเห็นแสงอยู่สักพักหนึ่ง ทว่าซ่งชูอีกลับไม่มีสัญญาณของการฟื้นตัวใดเลย จนเปี่ยนเชวี่ยแทบจะไม่มั่นใจในทักษะการแพทย์ของตัวเองแล้ว ระยะหลังมานี้ก็จะเหม่อลอยอยู่หน้าแผนผังเส้นชีพจรที่ตัวเองสร้างขึ้นทุกวัน เป็นกังวลไปเสียทุกเรื่อง คิดไม่ถึงว่าเช้าวันนี้จะได้รับข่าวดี!
“หวยจิน! มองเห็นแล้วรึ?” เปี่ยนเชวี่ยโยนพัดทิ้ง เดินก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป
“ท่านอาวุโส” ซ่งชูอียืดตัวตรงโค้งคำนับให้เปี่ยนเชวี่ย “หวยจินขอบคุณท่านอาวุโส!”
ทั้งสองคุยกันเรื่องลัทธิเต๋าทุกวันในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา รู้สึกคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีมองเห็นเปี่ยนเชวี่ย ทว่ากลับไม่รู้สึกแปลกหน้าเลย
“ดวงตาของท่านหายแล้ว!” หนิงยาร้องด้วยความประหลาดใจ
ซ่งชูอีหันไปก็เห็นแม่นางตัวน้อยอายุประมาณสิบสามสิบสี่อยู่ข้างๆ สวมเสื้อคลุมหนังแกะตัวสั้น ผมเปียดกดำห้อยอยู่ด้านข้าง หน้ารูปไข่ห่านแดงระเรื่อ จมูกเล็กๆ กลมและโด่ง ดวงตากลมโตคู่หนึ่งเปี่ยมด้วยความยินดี หนิงยาที่ผอมแห้งในตอนแรกได้เติบโตกลายเป็นสาวน้อยแสนสวยแล้ว!
ซ่งชูอีอดที่จะภาคภูมิใจในการมองหญิงงามของตัวเองมิได้ ยื่นมือออกลูบผมเปียของหนิงยา “อืม หายแล้ว!”
“ตอนนี้การมองเห็นน่าจะยังพร่ามัว รอจนจุดชี่ไห่เติมเต็มแล้วอาการประเภทนี้ก็จะหายไป” ในที่สุดเปี่ยนเชวี่ยก็ผ่อนคลายลงเสียที ในที่สุดเขาก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองด่างพร้อย
ใบหน้าของหนิงยาเต็มไปด้วยความสุข มีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น นางปรนนิบัติซ่งชูอีอาบน้ำกินข้าวแล้วทำความสะอาดจวนทั้งด้านในและด้านนอกอีกรอบ หลังจากเปี่ยนเชวี่ยฝังเข็มให้ซ่งชูอีแล้ว นางจึงจะมีเวลาว่าง ไป๋เริ่นทำดอกไม้ใบหญ้าทั้งหมดเกลื่อนทั่วลานอย่างไม่ใส่ใจอีกครั้งแล้ววิ่งเข้ามาราวกับหมอกควัน โน้มตัวเข้าหาแขนเสื้อของซ่งชูอี กรงเล็บขนาดใหญ่ค้นหาเนื้อแห้งจากข้างในอย่างซุกซน
ซ่งชูอีอารมณ์ดียิ่ง ปล่อยให้ไป๋เริ่นมุดเข้าไปในแขนเสื้อ หลังจากฝังเข็มและกินยาเสร็จแล้ว ครุ่นคิดว่าทุกวันกว่าชูหลี่จี๋จะมีเวลามาเยี่ยมนางก็พลบค่ำแล้ว จึงสั่งให้คนเตรียมรถม้าออกไปชมบริเวณรอบๆ
ในที่สุดเปี่ยนเชวี่ยกังวลใจอยู่หลายเดือนก็โล่งใจขึ้นมาได้เสียที จึงตัดสินใจพักผ่อนอย่างเต็มที่อยู่ในบ้าน
ก่อนที่ซ่งชูอีจะออกจากบ้าน พลันนึกขึ้นได้ว่าเจินอวี๋ที่อยู่หลังบ้านไม่มีความเคลื่อนไหวมาสองสามเดือนแล้ว ก็รู้สึกตกอกตกใจ คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอกกระมัง “หนิงยา ระยะหลังนี้น้องสาวเจินทำอะไรบ้าง?”
หนิงยากล่าวด้วยความกังวลใจ “ก่อนหน้านี้ท่านหมอกล่าวว่าเลือดลมขอท่านยุ่งเหยิง ไม่ให้บ่าวเพิ่มความวิตกให้กับท่าน…เจียวเจียวร้องไห้ทุกวัน นางผอมลงไปมาก องค์เอวบอบบางเหลือเกิน”
ซ่งชูอีเกาศีรษะ นึกถึงเมื่อเร็วๆ นี้นางอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก วันเกิดครบสิบห้าปีของเจินอวี๋ นางขอให้ชูหลี่จี๋ค้นหา “บทกวี” หายากสักสองสามม้วนเพื่อนำกลับมาเป็นของขวัญ ทว่ามิได้ฉลองให้นาง และเนื่องจากชูหลี่จี๋เคยเอ่ยเรื่องการแต่งงาน กลัวว่าแม่นางตัวน้อยเห็นหน้าเขาแล้วจะอึดอัดใจ จึงส่งเพียงของขวัญมาเท่านั้น
นึกถึงตอนที่เจินจวิ้นจากไป นางผู้แซ่ซ่งตบหน้าอกตัวเองพร้อมให้คำมั่นสัญญากับเขาว่าจะดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี…
แม้ว่าทั้งคู่ล้วนมีแผนการ แม้ว่าซ่งชูอีไม่สามารถจัดการวันจี๋จีให้กับเจินอวี๋ด้วยมือตัวเอง แม้ว่านางจะไม่ใช่คนที่บอกว่าจะทำตามที่พูด ทว่า…ก็ไม่สามารถปล่อยให้เจินจวิ้นกลับมาแล้วเห็นน้องสาวคนหนึ่งที่สุขสบายดีผอมกว่าดอกเบญจมาศกระมัง!
“ไปดูกันเถิด” ซ่งชูอีนำหนิงยาเดินไปยังลานหลังบ้าน
จวนที่อิ๋งซื่อมอบเป็นรางวัลให้ซ่งชูอีแห่งนี้มีบ่อน้ำร้อน ห้องอาบน้ำห้องอื่นล้วนดึงน้ำมาจากน้ำพุร้อน แต่เพราะว่าอยู่ไกล กำลังน้ำจึงอ่อนมากและอุณหภูมิต่ำ มีเพียงลานหลังบ้านเท่านั้นที่มีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่
หากจะไปที่บ่อน้ำร้อนจำต้องผ่านลานหลังบ้าน ด้วยเหตุนี้เจินอวี๋จึงใช้สอยลานที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดสองแห่งเพียงผู้เดียว ในทางกลับกันซ่งชูอีกับเปี่ยนเชวี่ยราวกับเป็นคนนอกที่อาศัยอยู่ในลานเล็กสำหรับแขกอย่างไรอย่างนั้น
เจินอวี๋พาสาวใช้มาจากบ้านสิบกว่านาง หากรวมพ่อครัว ทาสแรงงาน คนเฝ้าสวน ทั้งหมดก็มีสี่ถึงห้าสิบคน ตามปกติแล้วแม้แต่อาหารการกินของซ่งชูอีและเปี่ยนเชวี่ยล้วนมีนางเป็นผู้ดูแล
ขณะที่เดินไปยังลานหลังบ้าน ซ่งชูอีพลางโน้มน้าวตัวเองว่า “ที่จริงเจินอวี๋ก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง” พลางรู้สึกว่าบ้านของตนนั้นจำต้องมีคนเพิ่มขึ้นจริงๆ
เมื่อผ่านประตูที่สองไป ก็มีสาวใช้ในชุดชวีจวีสีเทาคนหนึ่งเห็นซ่งชูอี รีบคำนับด้วยความเคารพ “คารวะท่าน”
“ลุกขึ้นเถิด เจียวเจียวของพวกเจ้าล่ะ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
สาวใช้ค้อมตัวเอ่ย “เจียวเจียวอยู่ในลานเจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างในโดยให้สาวใช้ผู้นั้นนำทาง เห็นเจินอวี๋ยืนอยู่ใกล้ต้นไห่ถังต้นหนึ่ง รูปร่างผอมบางเช่นนั้นดูย่ำแย่ยิ่งกว่าซงชูอีที่ป่วยมาหลายเดือนเสียอีก หากจะกล่าวว่าซ่งชูอีเป็นต้นไผ่ผอม นางก็เป็นใบไม้ที่พร้อมจะปลิวไปกับสายลมได้ทุกเมื่อ
ครั้นเห็นว่าอีกไม่กี่วันเจินจวิ้นก็จะกลับมาแล้ว ซ่งชูอีคิดว่าต้องรีบชดเชยให้นางเสียแล้ว!
“เด็ดกลีบดอกไม้ไปทำอะไร?” ซ่งชูอีเข้าไปใกล้
เจินจวิ้นคิดไม่ถึงว่าจะมีคนอื่นเข้ามาในลาน ยังไม่ทันจะตอบสนองจึงเอ่ยไปอย่างลวกๆ “ไว้ทำถุงหอมเจ้าค่ะ”
“ถุงหอม? มันคืออะไร?” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจินอวี๋ตัวแข็งทื่อ หันไปมองซ่งชูอี ใบหน้าแดงก่ำ แอบเกลียดตัวเองที่ปากไวไปชั่วขณะ
หนิงยาเห็นว่าเจินอวี๋อ้ำอึ้งจึงตอบแทนนาง “เป็นห่อถุงเล็กๆ ที่ยัดใส่ไว้ในเสื้อเจ้าค่ะ ทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม เด็กสาวในวัยจี๋จีส่วนใหญ่จะใช้ของพวกนี้”
คราวนี้ หูของเจินอวี๋แดงเถือก
ซ่งชูอีดมๆ กลิ่นหอมของไห่ถังแล้วโน้มตัวเข้าใกล้เจินอวี๋เพื่อดมกลิ่น กล่าวประเมินอย่างตรงไปตรงมา “กลิ่นหอมนี้ไม่เหมาะกับเข้า กลิ่นกล้วยหอมดีกว่า”
เจินอวี๋อายจนแทบอยากจะร้องไห้ ฝังใบหน้าลงบนหน้าอก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองซ่งชูอี
ซ่งชูอีทำเป็นมองไม่เห็น เอ่ยอย่างอ่อนโยน “หลายวันก่อนข้าเจอเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย วันจี๋จีของน้องสาวก็ไม่ได้จัดให้ดี วันนี้ต้องการจะออกไปข้างนอกเพื่อชดเชยให้เจ้า อยากออกไปด้วยกันหรือไม่?”
เจินอวี๋อยู่ใกล้กับซ่งชูอีมาก สามารถได้กลิ่นหอมของต้นไห่ถังผสมกับกลิ่นคล้ายหญ้าเขียว และยังมีกลิ่นยาเจือจาง มันเป็นกลิ่นบนตัวของซ่งชูอีอย่างไม่ต้องสงสัย นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองคางของซ่งชูอี “ไปที่ใดเจ้าคะ?”
“น้องสาวอยากไปที่ใดก็ไปที่นั่น” ซ่งชูอีก็ไม่มีสถานที่ที่อยากไปเป็นพิเศษ เพียงแค่ออกไปพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น ระยะหลังนี้มัวแต่อยู่ในบ้านอุดอู้จนแทบจะขึ้นราอยู่แล้ว
เจินอวี๋กล่าวว่า “ข้าไม่คุ้นเคยกับเสียนหยาง”
“เช่นนั้นก็ไปกินข้าวกันสักมื้อ เพื่อความครื้นเครง” ซ่งชูอีกินอาหารฝีมือสกุลเจินทุกวัน ที่จริงมันมิได้ด้อยไปกว่าโรงเตี๊ยมเลย จึงต้องกล่าวไปว่าไปหาความครื้นเครง
เจินอวี๋ได้ยินว่าซ่งชูอีไม่รังเกียจตนจึงอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย อีกทั้งเมื่อเห็นว่านางดูไม่รุนแรงเหมือนในความทรงจำก็พยักหน้า ตามสาวใช้กลับห้องไปแต่งตัว
แต่งตัวครั้งนี้ทำให้ซ่งชูอีรอจนคอยาว!
เวลาที่นางออกไปข้างนอกก็เพียงล้างหน้า หวีผมให้เรียบร้อย จากนั้นก็สวมชุดที่เหมาะสม ต่อให้อาบน้ำ นานที่สุดก็ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งหรือสองเค่อ…แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว รู้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่อาจจะใช้เวลาแต่งตัวนานสักหน่อย ทว่าคิดไม่ถึงว่ามันจะนานเพียงนี้!
ซ่งชูอีซุกตัวกับไป๋เริ่นเป็นลูกกลมๆ อยู่ในศาลา บัดนี้เปี่ยนเชวี่ยนตื่นจากการงีบหลับแล้ว เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “หวยจินกลับมาเร็วจังเลย?”
“เฮ้อ!” ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง กึ่งพิงอยู่บนตัวไป๋เริ่น เอามือหนุนศีรษะ เอ่ยด้วยความเกียจคร้าน “ข้ายังไม่ได้ออกไปเลย”
“รู้เช่นนี้ข้าออกไปเที่ยวก่อนรอบหนึ่งค่อยกลับมารับนางดีกว่า” ซ่งชูอีบ่นพึมพำ
ใกล้ยามเที่ยง ซ่งชูอีจึงเห็นหญิงงามในชุดหรูหราสีฟ้าเดินเข้ามาผ่านดอกไม้และต้นหลิว บุคลิกดั้งเดิมที่สวยงามหกถึงเจ็ดส่วนอยู่แล้ว หลังจากผ่านการแต่งเติมก็ยิ่งสวยจนไม่อาจละสายตาได้! โดยเฉพาะซ่งชูอีที่บัดนี้การมองเห็นพร่ามัว เมื่อเห็นสาวงามเช่นนี้ก็ราวกับเห็นเทพธิดาเดินอยู่บนก้อนเมฆก็มิปาน
เนื่องจากยังไม่ผ่านพิธีจี๋จี เจินอวี๋จึงยังไว้ผมเปียทั้งสองข้าง ในความสง่างามนั้นยังคงมีชีวิตชีวาเล็กน้อย
“ท่านมองจนไม่ละสายตาเลยนะเจ้าคะ!” สาวใช้ข้างกายเจินอวี๋ป้องปากเอ่ยเงียบๆ
“อย่าพูดเหลวไหล เขาเป็นพี่ชายของข้า” เจินอวี๋พูดจบก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาหายแล้ว?
สาวใช้รีบเงียบปาก ก้มหน้าลง เดินตามนางไปยังศาลา
เจินอวี๋ต้องการจะเรียกว่า “พี่ใหญ่” เหลือเกิน ทว่าที่จริงแล้วนางกลัวซ่งชูอีเล็กน้อย คำที่อยู่ข้างปากจึงกลายเป็น “อาการป่วยของท่านหายดีแล้วหรือ?”
“อืม มีหมอเทวดาอยู่ จะไม่หายได้เยี่ยงไร? ไปกันเถิด” ซ่งชูอีหาว เข้าใกล้นางพร้อมมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน พยักหน้าเอ่ย “ไม่เสียแรงเปล่า เช่นนี้สวยดี”
“ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าค่ะ” เจินอวี๋เม้มปากยิ้ม ตามนางออกไปจากจวนอย่างว่าง่าย