กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 244 ไม่จากหรือทอดทิ้งกัน
ชูหลี่จี๋กล่าวด้วยความสงสัย “ถูกต้อง หวยจินรู้จักเขาได้เยี่ยงไร?”
“วันนี้ข้าเจอเขาในโรงุสรา” ซ่งชูอีไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดนางจึงไม่รู้ประสบการณ์ในอดีตของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะบอกความจริงแก่ชูหลี่จี๋
ชูหลี่จี๋ได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาด ในโลกนี้ไม่ว่าจะโกหกอย่างระมัดระวังแค่ไหนย่อมมีช่องโหว่ หากต้องโกหกเขาเพื่อขอความช่วยเหลือก็นับว่าเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลาอย่างไม่ต้องสงสัย และด้วยนิสัยของชูหลี่จี๋แล้วต่อให้เขาดูออกก็ไม่มีวันเปิดโปงเป็นอันขาด ซ่งชูอีมิใช่สุภาพบุรุษ แต่ก็ไม่ต้องการเป็นคนร้ายที่น่ารังเกียจต่อหน้าชูหลี่จี๋
“จวนของข้ามีแขกที่ปรึกษาทั้งหมดเพียงสามคน มิกล้ากล่าวว่ามีพรสวรรค์หรือความรู้สูงส่ง ทว่าอุปนิสัยนั้นหาได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน เต๋อเฉิงเป็นบัณฑิตสำนักนิติธรรม เป็นการยากที่เจ้าจะไม่เกลียดสำนักนิติธรรมที่บังคับให้เจ้าตัดนิ้วในศาลาชิงเฟิง” ชูหลี่จี๋มีความสุขมาก เห็นได้ชัดว่าชื่นชมความมีน้ำใจของซ่งชูอี “ข้ากำลังจะแนะนำเขาเข้ารับตำแหน่งในจวนตุลาการ หวยจินมีความเห็นเยี่ยงไร?”
ซ่งชูอีเพียงอยากทำความเข้าใจเท่านั้น ครั้นได้ยินคำพูดของชูหลี่จี๋นางก็วางใจลง “พบหน้าเพียงครั้งเดียว ยากที่จะประเมิน ทว่าข้าเชื่อว่าการมองคนของพี่ใหญ่นั้นไม่มีปัญหา”
“เหตุใดซ่งหวยจินจึงถามถึงเขา?” ชูหลี่จี๋ถาม
“วันนี้ข้ารับปากเขาจะเลี้ยงสุรา ก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญาแล้วกระมัง!” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ไว้ข้าจะเลือกวันนำสุราชั้นดีไปหาเขาที่จวนของพี่ใหญ่”
ชูหลี่จี๋หัวเราะพลางพยักหน้า ในใจคิดว่าซ่งชูอีไม่มีทางเอ่ยถึงบุคคลนี้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หากเพราะต้องการเลี้ยงสุราจริงๆ นางจะส่งคนไปเชิญที่จวนของเขาก็ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องถามหาเขาเป็นพิเศษเลย
ในเมื่อซ่งชูอีไม่พูด เช่นนั้นก็จะต้องเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ ชูหลี่จี๋ก็ไม่ต้องการถามเรื่องส่วนตัว เพียงแค่ให้ความสำคัญกับหลี่ว์เต๋อเฉิงมากขึ้นในภายภาคหน้าเป็นพอ
ชูลี่จี๋เป็นคนที่ได้ยินเสียงเพลงก็รู้ซึ้งถึงความหมาย[1] ซ่งชูอีก็มิได้ตั้งใจจะอ้อมค้อม แต่ระหว่างพวกเขาคำบางคำก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ
ทั้งสองคนคุยกันครู่หนึ่ง ชูหลี่จี๋ก็ขอตัวกลับ
เมื่อความเหนื่อยล้าเข้าจู่โจม ซ่งชูอีนอนอย่บนเตียงไม่ถึงครึ่งถ้วยชาก็ผล็อยหลับไปแล้ว
หลังจากนั้นสองสามวัน เปี่ยนเชวี่ยก็กักขังซ่งชูอีไว้ในจวน ทุกวันจะมาฝังเข็ม ต้มยาและกำหนดปริมาณอาหารบำรุงตามกำหนดเวลาโดยไม่เลินเล่อเลยแม้แต่น้อย คนรับใช้ที่เพิ่งถูกซื้อเข้ามาในจวนถูกเขาเรียกใช้จนหัวหมุนทั้งวัน ในที่สุดหนิงยาก็โล่งใจขึ้นมาบ้าง
ซ่งชูอีอาศัยช่วงที่กำลังพักผ่อน ส่งคนไปชมรมป๋ออี้เพื่อซื้อข่าวเกี่ยวกับจวงจื่อ นางเข้าใจนิสัยของจวงจื่อดีจึงจะไม่ไปหาเขา เพียงแค่ต้องการรู้ว่าเขาชีวิตอยู่อย่างสงบสุขก็เท่านั้น
เก้าวันต่อมา เปี่ยนเชวี่ยฝังเข็มให้ซ่งชูอีเป็นครั้งสุดท้ายในตอนเช้า กล่าวกำชับหลายอย่าง ครั้นพลบค่ำทั้งคนและแม้กระทั่งสัมภาระก็หายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงสูตรยาม้วนหนึ่งบนโต๊ะ ทั้งยังมีตำราพิชัยสงครามสามม้วนนั้นที่ซ่งชูอีเป็นผู้เขียน
จากการแสดงออกของเปี่ยนเชวี่ยในหลายวันนี้ ซ่งชูอีก็รู้แล้วว่าเขาคิดจะจากไป ดังนั้นจึงมอบทรัพย์สินให้เขาตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งยังให้หนิงยาบรรจุสุราบ๊วยสองสามถุงเพื่อมอบให้เขา สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่เปี่ยนเชวี่ยมีต่อนาง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เปี่ยมด้วยความจริงใจ
การได้รู้จักกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ ซ่งชูอียิ่งมีความเคารพและซาบซึ้งต่อเปี่ยนเชวี่ยมากกว่าเดิม นางรู้ดีว่าหากตัดเรื่องความนับถือลัทธิเต๋าที่มีร่วมกันและการที่นางจงใจรักษาความสัมพันธ์ทิ้งไป นางและเปี่ยนเชวี่ยมิใช่คนที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ฉะนั้นจากกันครั้งนี้ก็นับว่าเป็นมิตรภาพของงานเลี้ยงอำลาแล้ว
ในขณะเดียวกันก็ได้ชัยชนะเหนือปาสู่อีกครั้งในที่สุด
นอกจากถูกรัฐฉู่ที่ยึดครองดินแดนเกือบยี่สิบลี้แล้ว รัฐปาและรัฐสู่ก็ตกเป็นของฉินทั้งหมด! ส่วนรัฐจูก็ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกหลังจากการต่อสู้กับรัฐสู่ในสงครามครั้งนั้น ทันทีที่รัฐฉินโจมตีปาสู่สำเร็จ จูโหวก็ส่งหนังสือยอมจำนน จูโหวทำเพื่อปกป้องประชาชนและแสดงความจริงใจของตัวเอง
จางอี๋รีบส่งหนังสือกลับฉินทันที ราชโองการของอิ๋งซื่อถูกส่งออกจากเสียนหยางโดยราชทูตเพียงชั่วข้ามคืนเพื่อสรรเสริญความเมตตาและคุณธรรมของจูโหว แต่งตั้งให้เขาเป็นจวินแห่งรัฐจูและฝังศพตามประเพณีของจวิน
ในขณะเดียวกันอิ๋งซื่อก็นับถือเทพสงครามแห่งรัฐสู่ ถูอู้ลี่ อนุญาตให้ราษฏรชาวสู่บูชาจากรุ่นสู่รุ่น
หลังจากจัดการผู้เสียชีวิตทั้งสองคนอย่างเหมาะสมเพื่อบรรเทาความโกรธของผู้คนในรัฐจูรัฐสู่แล้ว แม้ว่ากองทัพฉินจะได้รับการต่อต้านเมื่อเข้ายึดอำนาจแต่ก็ไม่ได้รุนแรงนัก
สงครามของกองทัพฉินหลายครั้งในปาสู่เรียกได้ว่าน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง ชาวปาเหล่านั้นเพื่อปกป้องมิให้ครอบครัวของตัวเองถูกล่วงละเมิดแล้ว แม้แต่เด็กสตรีและคนชราก็กลายเป็นสัตว์ป่าดุร้าย นับประสาอะไรกับผู้หญิงโสดที่เมื่อเห็นกองทัพฉินแล้วก็ต่างกล้าที่จะต่อสู้โดยไม่ลังเล
นี่จึงทำให้ซือหม่าชั่วเข้าใจว่าเหตุใดกองทัพอันเกรียงไกรของรัฐฉู่เป็นตายอย่างไรก็ไม่สามารถจัดการกับรัฐปาที่แตกสลายได้ เหตุใดทั้งๆ ที่รัฐฉู่สามารถฝ่าพื้นที่เสี่ยงทางธรรมชาติได้แล้ว ทว่าผ่านไปสามสี่เดือนกลับยึดครองได้เพียงสี่นครและดินแดนสิบลี้เท่านั้น
การต่อสู้เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทหารสร้างความหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจของชาวปาที่สิ้นหวังเหล่านั้น
อย่างไรก็ดีรัฐฉินไม่เหมือนกับรัฐฉู่ ชาวฉินล้วนมีนิสัยดุร้าย ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อปกป้องบ้านเกิดที่เสื่อมโทรมแล้ว พวกเขาสวมชุดเกราะแตกหักต่อต้านเหล่าทหารเว่ยที่หุ้มเกราะเหล็ก ถืออาวุธที่ชำรุดทรุดโทรมต่อสู้กับง้าวเหล็กของชาวเว่ย และเป็นเพราะความโหดร้ายอันสิ้นหวังนี้จึงได้สร้างเลือดนักรบที่สู้ไม่ถอยแก่ทหารฉินในสนามรบ บัดนี้เมื่อเผชิญกับชาวปาที่ต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนว่าก็ไม่ถอยเลยแม้แต่ครึ่งก้าว
หลังจากสิบวันของการต่อสู้นองเลือด จางอี๋ก็ทำตามกลยุทธ์ของซ่งชูอีในการสร้างความปั่นป่วนกิจการภายในรัฐปา แพร่กระจายข่าวลือว่าการกลับชาติมาเกิดของจักรพรรดิเหยาตี้แห่งรัฐปาได้ถูกจอมเวทย์ทั้งสิบสองสังหารแล้ว เทพเจ้าจะไม่ปกป้องรัฐปาอีกต่อไป
ปาอ๋องก็เคยกล่าวเช่นนี้เพื่อกำจัดจอมเวทย์ทั้งสิบสองคน ผลปรากฏว่าได้สร้างความปั่นป่วนภายใน ปาอ๋องประชวรหนักและล้มหมอนนอนเสื่อ จากนั้นไม่ว่าจะต่อสู้กับฉู่หรือต่อต้านฉินก็ล้วนมีฮองเฮาปาเป็นผู้ออกคำสั่ง
บัดนี้ข่าวลือแพร่กระจายอีกครั้ง บวกกับหายนะต่างๆ ที่รัฐปาต้องเผชิญหลังจากการตายของจีเหมียน ชาวปาที่ศรัทธาในเทพเจ้าก็เชื่อไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน ซือหม่าชั่วปราบปรามด้วยกำลัง จางอี๋โจมตีทางจิตใจ เมื่อทำงานพร้อมกันทั้งสองทาง ด้วยความพยายามอย่างมากในที่สุดก็สงบการจลาจลส่วนใหญ่ได้ในที่สุด
ห้องบรรทมในพระราชตำหนัก รัฐปา
ฮองเฮาปาที่แต่งตัวเต็มยศช่วยปาอ๋องสวมใส่อาภรณ์หรูหราอันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นจักรพรรดิ บัดนี้ทั้งสองต่างมีอายุมากกว่าห้าสิบแล้ว คนหนึ่งเพราะล้มหมอนนอนเสื่ออีกคนเพราะเหนื่อยล้าเต็มทน ศีรษะจึงขาวโพลน มันขับกับผ้าไหมซาตินสีน้ำเงินเข้ม ดูงดงามเป็นพิเศษ
เมื่อสวมใส่เรียบร้อยแล้ว ฮองเฮาปาก็หยิบมีดสองเล่มขึ้นมาจากโต๊ะ ยื่นเล่มหนึ่งให้กับปาอ๋อง “มีดคู่นี้ต่อสู้ร่วมกับข้าและท่านร่วมสามสิบกว่าปี วันนี้ก็ห่างกายมิได้”
ปาอ๋องราวกับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมามากแล้ว รับมีดมาชั่งๆ น้ำหนักอยู่บนมือ มือหนึ่งถือด้ามดาบไว้ มืออีกข้างที่สั่นเทาเล็กน้อยกุมมือของฮองเฮาปา “ไปกันเถิด”
ผู้สูงอายุสองคนที่เป็นที่นับถือที่สุดในรัฐปา ห้ามมิให้คนรับใช้ติดตาม ต่างคนต่างถือดาบเล่มยาว เดินจูงมือกันไปตามทางเดินที่นำไปสู่ท้องพระโรงหลัก
ชุดกระโปรงดูอ่อนโยนและมีเสน่ห์ในแสงอาทิตย์เจิดจ้า ทั้งสองคนเงียบงันไม่พูดจา ตรงไปยังแท่นที่นั่งสูงในท้องพระโรงหลัก นั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหากัน
“ตาแก่ มือของท่านยังไวอยู่หรือเปล่า” ฮองเฮาปายิ้มถาม
ปาอ๋องยิ้มกว้าง น้ำตาเป็นประกายเลือนลางอยู่ในดวงตา เอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน”
ฮองเฮาปาวางดาบยาวอยู่บนคอของปาอ๋อง มีประกายน้ำตาในดวงตาเช่นกัน นางเป็นคนอารมณ์ร้าย ในชีวิตนี้วางดาบยาวบนคอของปาอ๋องอย่างเช่นครั้งนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับทนไม่ได้ที่จะทำร้ายเขาจริงๆ อย่างไรก็ดีวันนี้กลับต้องลงมือจริงๆ เสียแล้ว
ปาอ๋องก็วางดาบยาวบนคอของฮองเฮาเช่นกัน น้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย “ภรรยาเอ๋ย เป็นเพราะความโง่ของข้าทำให้บ้านเมืองล่มสลาย ข้ากับเจ้าจึงต้องมาตายด้วยกันที่นี่…”
ฮองเฮาปายกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมา จับมือที่ถือมีดของปาอ๋องแน่นไว้ หัวเราะเบาๆ “หากชาติหน้าท่านยังดีต่อข้า ต่อให้ท่านโง่กว่านี้ ข้าก็ไม่รังเกียจ”
พูดจบ ทั้งสองคนก็ยิ้มให้กัน ทันทีที่สองมือของฮองเฮาปาออกแรง ดาบชั้นดีที่คมกริบฝังเข้าไปในคอ ในตอนแรกเลือดไหลลงตามใบมีดเหมือนด้ายเส้นเล็กๆ ไม่ช้ามันก็พุ่งกระฉูดออกมา เลือดผสมเข้าด้วยกันเต็มโต๊ะ ทั้งสองคนหมดแรงแล้วพิงอยู่ด้วยกันช้าๆ
เจ้าอี่โหลวเป็นแม่ทัพแนวหน้านำกำลังทหารบุกเข้าวัง ทันทีที่เปิดประตูท้องพระโรงออกก็เห็นฉากนี้เข้า สายเลือดนั้นงดงามภายใต้แสงสว่างจ้า
ในวินาทีนั้นเอง เขาดูเหมือนจะเข้าใจเหตุผลที่ซ่งชูอีต้องการให้เขาบรรลุเป้าหมาย สิ่งที่นางปรารถนามิใช่ความสำเร็จและชื่อเสียงของเขา แต่หวังว่าจะมีใครสักคนที่จะจับมือกันเดินเคียงบ่าเคียงไหล่บนเส้นทางข้างหน้า เข้าใจซึ่งกันและกัน
เช่นนั้นไม่ว่าจะร่วมเป็นหรือร่วมตาย ก็ไม่เหงาอีกต่อไป
[1] ได้ยินเสียงเพลงก็รู้ซึ้งถึงความหมาย เปรียบเปรยว่าไม่จำเป็นต้องระบุอย่างชัดเจนก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่