กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 266 อาการป่วยของอิ๋งซื่อ
กลยุทธ์ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่รัฐฉิน ก้าวแรกคือการขยายอาณาเขต เพิ่มพูนราษฎร บัดนี้ยึดครองปาสู่ได้ สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ข้อสองคือ “ปรับทั้งนอกและใน” ใช้นโยบายอ่อนโยนต่อภายนอกเป็นการชั่วคราว ไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ทางการทูต สำหรับภายในจำต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับสงครามได้ทุกเมื่อ จัดการสองภารกิจในเวลาเดียวกัน
บทความด้านการยึดครองในส่วนที่สองยาวที่สุด คำบรรยายละเอียดที่สุด
อิ๋งซื่อความจำเป็นเลิศ แม้ได้อ่านเพียงไม่กี่รอบ เมื่อหลับตาลงก็สามารถจำได้ขึ้นใจ
บนหอคอย สายลมปลายเดือนห้าพัดเอาความอบอุ่นของต้นฤดูร้อนเข้ามา ม่านไผ่แผ่นบางๆ สั่นไหวไปตามลม เอกสารบนโต๊ะกองสุมดุจกองภูเขาขนาดเล็ก บุคคลหนึ่งเอามือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ หลับตางีบ เพียงแค่คิ้วนั้นขมวดแน่น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ไม่มีความสบายในการผ่อนคลายยามบ่ายเลย
ชุดชวีจวีของกลุ่มนางกำนัลสีแดงอิฐบนทางเดินเผยให้เห็นเส้นโค้งเว้าที่นุ่มนวล หญิงงามที่เดินนำหน้าเห็นว่าคนที่อยู่ข้างในหลับไปแล้ว จึงยื่นกล่องอาหารในมือให้แก่สาวใช้ด้านข้าง เดินย่องเข้าไปแผ่วเบา
นางคุกเข่าลงหน้าโต๊ะเพื่อมองดูเขาให้ชัดๆ
ใบหน้าของเขาหล่อเหลามากจริงๆ ความเป็นชายในตัวที่อยู่ระหว่างความหยาบกระด้างและความสง่างามนั้น ไม่ได้อ่อนโยนและสุภาพเหมือนกับเหล่าผู้ชายที่เล่าเรียนตำราขงจื้อที่นางเคยเห็นก่อนหน้านี้ ลมหายใจของเขาก้าวร้าวดุดัน การอยู่ข้างเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความกดขี่ ทว่ามันกลับทำให้นางหลงใหลอย่างแปลกประหลาด
“ไม่เคยนอนกลางวันรึ?” อิ๋งซื่อกล่าวโดยไม่ลืมตา
เว่ยหว่านสะดุ้งโหยง จากนั้นก็เอ่ยว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าช่วงนี้ฝ่าบาทไม่เจริญอาหาร จึงได้ทำโจ๊กอ่อนและกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ โดยใช้ผลซานจา[1]เพื่อเรียกน้ำย่อย ฝ่าบาทลองชิมหรือไม่เพคะ?”
อิ๋งซื่อลืมตาขึ้น มองนางแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
ใบหน้าดุจดอกชบาของเว่ยหว่านมีรอยยิ้ม รีบสั่งให้คนยกน้ำเข้ามาทันทีเพื่อปรนนิบัติอิ๋งซื่อในการล้างหน้าล้างตาด้วยตัวเอง
อิ๋งซื่อไม่เคยปฏิเสธท่าทีเช่นนี้ของนางแต่ก็ไม่เคยแสดงความชอบอกชอบใจ เว่ยหว่านเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง แม้ว่ามิได้เกิดจากฮองเฮาแห่งเว่ยอ๋อง ทว่ามารดาก็มีสถานะสูงศักดิ์ แน่นอนว่ามือของนางไม่เคยสัมผัสงานบ้าน เมื่อปรนนิบัติอิ๋งซื่อเป็นครั้งแรกเช่นนี้ก็ค่อนข้างเก้ๆ กังๆ ทว่าเขาก็ไม่เคยรังเกียจเลย
ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน อิ๋งซื่อก็ปฏิบัติต่อนางด้วยความใจกว้างเป็นพิเศษ ดังนั้นเว่ยหว่านจึงเริ่มคิดว่าอิ๋งซื่อเป็นคนเย็นชาโดยธรรมชาติ หัวเราะและโมโหไม่เป็น
หลายครั้งที่เว่ยหว่านก็ต้องการออดอ้อนเขา ทว่าด้วยบุคลิกที่น่าเกรงขามของเขา ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง
“ฝ่าบาท…” ขันทีเถามองดูของว่างที่ถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะ อดที่จะเอ่ยห้ามมิได้ แต่เพราะว่าฮองเฮาเป็นคนทำเอง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดพูด “ของว่างซานจานี้…”
เว่ยหว่านเงยหน้ามองขันทีเถา “มีสิ่งใดไม่เหมาะสมรึ?”
ขันทีเถามองดูอิ๋งซื่อที่กินของว่างเรียกน้ำย่อยในจานใบเล็กด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ตาปริบๆ ทำได้เพียงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นกลับลงไป “เปล่าพ่ะย่ะค่ะ บ่าวปากมาก กั๋วโฮ่ว (ฮองเฮา) โปรดให้อภัย”
ของว่างจานหนึ่ง โจ๊กชามหนึ่ง ผักใบขมร้อนๆ จานหนึ่ง อิ๋งซื่อกินหมดไม่เหลือ
เว่ยหว่านสั่งให้คนเก็บจานชาม ยังต้องการจะพูดคุยกับอิ๋งซื่ออีกสักหน่อย เห็นว่าหลังจากเขาบ้วนปากแล้วก็หยิบเอกสารขึ้นมาอีกครั้ง จึงทำได้เพียงถอยออกไปด้วยความขมขื่น
ขันทีเถาเหลือบมองอิ๋งซื่อ แล้วถอยออกไปเงียบๆ
“กั๋วโฮ่วช้าก่อน” ขันทีเถาเอ่ย
เว่ยหว่านได้ยินเสียงของขันทีเถาก็นึกว่าอิ๋งซื่อฝากข้อความมา รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง “มีอะไรรึ?”
ขันทีเถาก้มตัวจนเกือบถึงพื้น นี่เป็นมารยาทที่ใหญ่ที่สุดนอกเหนือจากการหมอบคลาน ขันทีเถาในฐานขันทีคนสนิทของอิ๋งซื่อ ไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพเช่นนี้
“ขันทีเถาทำอะไรน่ะ รีบลุกขึ้น” เว่ยหว่านตกใจเล็กน้อย
“ได้โปรดให้อภัยที่บ่าวโผงผาง” ขันทีเถายังคงค้อมตัว น้ำเสียงไม่รีบร้อน “ช่วงนี้ท้องไส้ของฝ่าบาทไม่ค่อยดี มักจะปวดอยู่เสมอ หมอหลวงกำชับว่าให้เสวยของอ่อนๆ พ่ะย่ะค่ะ”
การนำซานจามาทำเป็นของว่างแม้จะเปรี้ยวหวานมีรสอร่อย ทว่าไม่ดีต่อการบำรุงกระเพาะอาหาร หากกินหมดจะต้องไม่สบายเป็นแน่ เว่ยหว่านรู้เรื่องนี้ดี มีหรือที่อิ๋งซื่อจะไม่รู้?
เว่ยหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย ประการแรกเป็นเพราะรู้สึกขายหน้า ประการที่สองนางก็เคยสืบถามสภาพร่างกายของอิ๋งซื่อ หมอหลวงกล่าวเพียงเขาพักผ่อนไม่เพียงพอ “คงไม่ได้หลอกข้ากระมัง?”
“บ่าวมิกล้า” ขันทีเถาเอ่ยด้วยความตื่นตกใจ
“เช่นนั้น…เหตุใดฝ่าบาทยังเสวยจานนั้นจนหมด?” เว่ยหว่านคิดในใจ หากเสวยสิ่งนี้ไม่ได้ เสวยเพียงคำสองคำก็ได้นี่นา?
หน้าผากของขันทีเถามีเหงื่อซึมเล็กน้อย อิ๋งซื่อพเนจรข้างนอกนับแรมปี เป็นเจ้านายที่ไม่เคยเลือกกินและกินไม่เหลือ ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่ แม้แต่น้ำแกงก็ไม่เหลือด้วยซ้ำ
พิจารณาครู่หนึ่ง เขาเอ่ยว่า “เพราะว่ากั๋วโฮ่วลงมือทำด้วยตัวเอง ฝ่าบาทไม่ต้องการให้กั๋วโฮ่วเสียน้ำใจกระมัง”
หัวใจของเว่ยหวานทั้งปวดร้าวทั้งหวานชื่น อดที่จะโทษตัวเองไม่ได้ กล่าวกับขันทีเถาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่ง “ร่างกายฝ่าบาทไม่แข็งแรง ท่านต้องรายงานข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาตอบรับด้วยความนอบน้อม
หากตัดเรื่องความรักทิ้งไป อิ๋งซื่อคือสามีที่ดีอย่างแท้จริง มาตุภูมิส่งกองทัพโจมตีฉินหลังจากนางแต่งเข้ามาได้ไม่ถึงสองเดือน หากไม่ใช่เพราะอิ๋งซื่อดีกับนางเป็นพิเศษ ก็คงไม่มีความสุขเช่นวันนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ หัวใจของเว่ยหว่านจึงเอนเอียงไปทางรัฐฉินนานแล้ว
ขันทีเถาจากไป เว่ยหว่านมองดูหอคอยเนิ่นนาน ก่อนที่จะเดินกลับตำหนักไปตามทางเดิน
ตอนที่หักเลี้ยวก็เจอกับสองคน คนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย ผู้ชายที่สูงกว่าสวมเครื่องกวนสูงเข็มขัดกว้าง เขาคือชูหลี่จี๋ คนที่เตี้ยและผอมกว่าเครื่องแต่งกายสีดำแขนเสื้อแคบ หน้าตาสามัญธรรมดา มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ชัดเจน
“ถวายบังคมกั๋วโฮ่ว” หลังจากทั้งสองคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันก็ถอยไปด้านข้าง
“ท่านมหาเสนาบดีมากพิธีแล้ว ท่านนี้คือ?” เว่ยหว่านเอ่ยถาม
ชูหลี่จี๋กล่าว “นี่คือกั๋วเว่ยซ่งจื่อ”
“ชื่อเสียงของกั๋วเว่ยเลื่องลือ เสียมารยาทแล้ว” เว่ยหว่านพยักหน้าคำนับคืน
นางอยู่ในวังได้ยินเพียงแค่ซ่งหวยจินอายุน้อย ในใจคิดว่าอย่างน้อยก็คงอายุไล่เลี่ยกับจางอี๋ อายุสามสิบกว่าทว่ามีชื่อเสียงเพียงนี้ก็นับว่าอายุน้อยแล้ว ใครจะคิดว่าอายุประมาณยี่สิบเท่านั้น
“ซ่งหวยจินถวายบังคมกั๋วโฮ่ว” ซ่งชูอีลอบสำรวจเว่ยหว่านแวบหนึ่ง รู้สึกว่าการฝืนใจก็ไม่นับว่าเป็นการทำลายอิ๋งซื่อ
เว่ยหว่านเห็นว่าเมื่อครู่ทั้งสองคนกำลังรีบร้อน หลังจากคำนับกันแล้วก็พาคนจากไป
ซ่งชูอีและชูหลี่จี๋มาถึงด้านล่างหอคอย รอทหารองครักษ์ทูลรายงานแล้ว ก็เดินเข้าไปในแทบจะทันที
ทั้งสองคนขึ้นบันไดไม้สนมาถึงชั้นสอง ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าอิ๋งซื่อสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก
ยังไม่ทันคำนับ ชูหลี่จี๋ก็รีบถาม “ฝ่าบาทเป็นอะไรไป?”
ชูหลี่จี๋เป็นพี่น้องแท้ๆ ของอิ๋งซื่อ อีกทั้งยังเป็นทหาเสนาบดี ทำเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นการเสียมารยาท ในเมื่อเขาเปิดประเด็นแล้ว ซ่งชูอีก็คงไม่สามารถถวายการคำนับอย่างจืดชืดได้ “ฝ่าบาทเรียกหมอหลวงแล้วหรือยัง?”
“ไม่เป็นไร นั่งเถิด” อิ๋งซื่อเอ่ย
ชูหลี่จี๋ไม่วางใจ ถามขันทีเถาที่อยู่ด้านข้าง “เมื่อครู่ข้าเห็นสาวใช้ที่ตามหลังกั๋วโฮ่วถือกล่องอาหาร…ฝ่าบาทเริ่มไม่สบายตั้งแต่เมื่อใด?”
ขันทีเถาลำบากใจยิ่ง คงจะไม่สามารถพูดได้ว่าฝ่าบาทกินอาหารส่งเดชกระมัง? เขาได้แต่บอกความจริง “ก่อนเสวยก็รู้สึกไม่สบายอยู่ก่อนแล้ว หลังเสวยก็ยิ่งหนักกว่าเดิม”
“โปรดอนุญาตให้กระหม่อมจับชีพจรให้ฝ่าบาทเถิด” ชูหลี่จี๋อดที่จะคิดมากไม่ได้ กั๋วโฮ่วผู้นั้นเป็นองค์หญิงเว่ย หากปลงพระชนม์ฝ่าบาทเพื่อมาตุภูมิเล่า?
อิ๋งซื่อพยักหน้า ยื่นมือออกมา
การตรวจจับชีพจรไม่ใช่จุดแข็งของชูหลี่จี๋ แต่ก็ดีกว่าแพทย์ทั่วไปเล็กน้อย
“ยังดีที่เป็นเพียงโรคเก่ากำเริบ วันนี้ฝ่าบาทได้กินของที่ระคายเคืองต่อกระเพาะใช่หรือไม่?” ชูหลี่จี๋เอ่ยถาม
[1] ซานจา เป็นผลไม้ประเภทเบอร์รี่ชนิดหนึ่ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hawthorn Berry มักจะนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแยมผลไม้ เจลลี่ น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดต่างๆ เป็นต้น