กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 29 หลับใหลไปหลายสิบปี
หมิ่นฉือนิ่งอึ้ง มองดูเกวียนของนางที่จากไปเชื่องช้า
ซ่งชูอีมิได้กลับจวนของเถาติ้ง แต่เข้าไปยังเรือนรับรองตามที่ซ่งจวินตรัสแนะ
ทันทีที่สาวใช้ถอยออกไป จี้ฮ่วนอดไม่ไหวที่จะถาม “ท่านหวยจิน ซ่งจวินตกลงร่วมเป็นพันธมิตรหรือไม่?”
“ตกลง เขามีเหตุผลใดที่จะไม่ตกลง” ซ่งชูอีนั่งคุกเข่าลงที่หน้าโต๊ะเตี้ย รินน้ำถ้วยใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้น “เพียงแต่ต้องใช้เวลาหน่อย”
จี้ฮ่วนนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “ท่านคาดคะเนได้หรือไม่ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด?”
“มากสุดสองวัน” ซ่งชูอีกล่าวอย่างมั่นใจ “ปล่อยให้กองทัพจากรัฐอื่นอยู่ต่อ ผู้น้อยผู้ใหญ่ในรัฐซ่งล้วนจะไม่สบายใจ”
จี้ฮ่วนกังวลใจเล็กน้อย สองวัน…สองวันอาจเกิดเรื่องมากมาย เหล่ากองทัพไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ทั้งบัดนี้กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว อีกทั้งยังตากฝนมาหนึ่งคืน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ถ้าหากรัฐเว่ยคิดจะโจมตีเว่ย์ ด้วยกำลังต้านทานที่รัฐเว่ย์มี เกรงว่าภายในสองวันก็สามารถโจมตีได้สี่ถึงห้าเมือง
ซ่งชูอีเห็นท่าทีเขาเช่นนั้น ถอนหายใจ “วางใจเถอะ สองวันที่ข้าเอ่ยเป็นเพียงการคาดคะเนที่เลวร้ายที่สุด วันนี้ข้าโน้มน้าวให้ซ่งจวินมีการปฏิรูปทางการเมืองต่อหน้าเหล่าขุนนางรัฐซ่ง ถ้าหากเป็นไปตามที่คาด พวกตระกูลเก่าแก่จะต้องพูดกล่อมซ่งจวินก่อนคืนนี้เป็นแน่”
การที่ซ่งชูอีกล่าวเรื่องการปฏิรูปทางการเมือง แท้จริงแล้วมิใช่เพียงเพื่อไม่ต้องการอยู่ที่รัฐซ่งต่อเท่านั้น
เหตุผลที่หมิ่นฉือถามซ่งชูอี เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าตระกูลเก่าแก่เหล่านั้นจะต้องปฏิเสธการปฏิรูปทางการเมืองเป็นแน่ แต่ซ่งชูอีรู้ดีว่าการที่รัฐฉินปฏิรูปในครานั้น ตระกูลเก่าแก่ในรัฐฉินก็ต่อต้านอย่างดุเดือด หลังจากการปฏิรูปแล้วก็ถูกช่วงชิงที่ดิน กรรมสิทธิ์และผลประโยชน์ไปไม่น้อย ด้วยบทเรียนดังกล่าว ตระกูลเก่าแก่แห่งรัฐซ่งจะไม่ปล่อยให้สิ่งนี้บีบคอตัวเองตายอยู่ในเปลอย่างแน่นอน
สิ่งที่พวกเขาทำเป็นอย่างแรก ก็คือหยุดยั้งมิให้ซ่งทีเฉิงจวินได้พบกับซ่งชูอีอีกครั้ง
จี้ฮ่วนตัดสินใจเชื่อนาง ข่มความกังวลในใจเอาไว้ อดทนรอคอย
ซ่งชูอีมีท่าทีสบายๆ เพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่ม ขาดเพียงสาวงามในอ้อมอก
จี้ฮ่วนมองนางดื่มเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าอยู่ข้างๆ ห้ามปรามบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเห็นว่ายิ่งนางดื่มแววตายิ่งแจ่มชัด ก็แอบรู้สึกประหลาดใจ จนกระทั่งนางล้มฟุบไปกับโต๊ะเสียงดังตึงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ก็ตกอกตกใจแล้วรีบพานางกลับไปที่ห้องนอน สั่งให้สาวใช้ต้มน้ำแกงแก้สร่าง กรอกให้นางดื่ม
นางเมาไม่เป็นไร แต่จี้ฮ่วนกับอวิ่นรั่วสูญเสียความเชื่อมั่นไปชั่วขณะ หมุนตัวไปมาอยู่นอกห้องนอนราวกับมดที่ไต่อยู่บนหม้อร้อน
ซ่งชูอีนอนจนพระอาทิตย์ตกดิน จึงเปิดประตูห้องด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิงและแววตาสะลึมสะลือ เห็นจี้ฮ่วนที่เหมือนแก่ลงหลายปีในพริบตา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “โอแม่เจ้า! หรือว่าข้าหลับใหลไปหลายสิบปีงั้นรึ?”
“ท่านหวยจิน” จี้ฮ่วนกระแอมไล่เสียงแหบแห้ง เอ่ยขึ้น “หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ซ่งจวินส่งคนมาเชิญท่านหมิ่นกับท่านไปที่งานเลี้ยง แต่ไม่ว่าข้าปลุกอย่างไรท่านก็ไม่ตื่น ดังนั้นท่านหมิ่นจึงไปเพียงผู้เดียว”
ซ่งชูอีเกาศีรษะยุ่งเหยิง เอามือปิดปากหาว กลับไปนั่งที่หน้าโต๊ะตัวเตี้ยอย่างเกียจคร้าน เอ่ยขึ้น “เขาสมควรไปอยู่แล้ว เขานำสาวงามและอัญมณีมาด้วย พวกเราสองคนมามือเปล่าจะไปทำอันใด?”
จี้ฮ่วนแววตาเป็นประกาย ต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกซ่งชูอีมองด้วยสายตาอันแหลมคม จึงกลืนคำพูดกลับเข้าไปอีกครั้ง
เรื่องที่เหลือจำเป็นต้องใช้สิ่งของมีค่ามาแก้ปัญหา ซ่งชูอีมองออกว่าซ่งทีเฉิงจวินมีความตั้งใจอยากปฏิรูปการเมือง หากไปที่งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ก็จะถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้น เรื่องราวก็จะเปลี่ยนไปมากซึ่งจะส่งผลต่อการเป็นพันธมิตรเยี่ยงไรก็มิอาจรู้ได้
การกระทำที่มากเกินไปนั้นไม่เหมาะสม นางยังไม่อยากตายอยู่ในมือของตระกูลเก่าแก่แห่งรัฐซ่ง ฉะนั้นยังต้องกระทำการภายใต้สายตาของพวกเขา ทุกอย่างจึงจะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ซ่งชูอีเอื้อมมือรินน้ำให้ตัวเอง เอ่ยถาม “เจ้าเห็นสาวงามที่รัฐเว่ย์ส่งมาหรือไม่? หน้าตาเป็นเยี่ยงไร?”
“ข้ามีแต่ความกังวลอยู่ในใจ ไหนเลยจะมีกะใจไปมองพวกนาง” จี้ฮ่วนตอบ
“อืม” ซ่งชูอีดื่มน้ำคำหนึ่ง พยักหน้า “ไหนๆ ก็ส่งมาแล้ว มองมากเพียงใดก็เป็นเพียงบุคคลภายนอก แต่ว่าซ่งจวินจะตอบรับเร็วเพียงใดนั้น เกรงว่าต้องขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ของสาวงามเหล่านั้นแล้ว”
ซ่งทีเฉิงจวินหลงใหลในการสะสมสาวงามจนกลายเป็นการเสพติด ถ้าหากสาวงามครานี้หน้าตาสะสวยและเป็นประเภทที่เขาไม่มีในวังพอดี งานก็ลุล่วงแล้ว
จี้ฮ่วนคิดถึงตอนที่อยู่ในป่า ที่แท้ซ่งชูอีมิได้พูดจาล้อเล่น อีกทั้งยังใช้สาวงามในการทำงานจริงๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยว่าเหตุใดขณะที่สาวงามเดินผ่านประตูไปเมื่อครู่นั้น จึงไม่เดินหน้าสักสองสามก้าวเพื่อมองดูอย่างละเอียดเสียหน่อย
รำลึกอยู่ครู่ใหญ่ จี้ฮ่วนเอ่ย “ข้าเห็นว่ามีสองสามนางที่หน้าตาดี”
ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง มองสำรวจจี้ฮ่วนอยู่หลายรอบ จ้องจนกระทั่งเขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยวิจารณ์ “วิสัยทัศน์สูงทีเดียว”
“ท่านรู้ได้เยี่ยงไร?” อวิ่นรั่วที่นิ่งเงียบตลอดเวลาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย เนื่องด้วยจี้ฮ่วนมีวิสัยทัศน์สูงส่ง รูปร่างของเขาหล่อเหลาแข็งแรง มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่หลงรักเขา แต่เขากลับไม่ชอบใครเลยสักคน
“สาวงามเจ็บสิบนางที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี แต่เขากลับบอกว่ามีเพียงสองสามคนที่หน้าตาดี เกรงว่าวิสัยทัศน์เช่นนี้จะสูงสูงเทียบเท่าซ่งจวินแล้วกระมัง!” ซ่งชูอีเยาะเย้ย
ขณะที่กำลังคุยกัน สาวใช้คนหนึ่งเข้ามาถามว่าต้องการรับประทานอาหารหรือไม่
ซ่งชูอีกำลังหิวพอดี จึงสั่งให้คนจัดแจงอาหารและเครื่องดื่มเต็มโต๊ะ เรียกจี้ฮ่วนและอวิ่นรั่วให้มากินด้วยกัน ทั้งสามคนกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญ ไม่ถึงสองเค่อก็กินอาหารจนเรียบ
หลังมื้ออาหาร ซ่งชูอีหิ้วกระดานหมากรุก พันตัวด้วยผ้าห่มนั่งเล่นอยู่คนเดียวที่ระเบียง สาวใช้สองคนถือตะเกียงยืนอยู่ด้านข้าง ชาในกาดินเผาข้างกายมีควันร้อนลอยกรุ่น
ขณะที่นางกำลังฆ่าตัวเองอย่างมีความสุขอยู่นั้น พบว่ามีเงามืดทอดตัวอยู่บนกระดานหมากรุก ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหมิ่นฉือที่เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง
“เจ้านี่ช่างสบายใจเสียจริง” น้ำเสียงเรียบๆ ของหมิ่นฉือเยือกเย็นเล็กน้อย
ซ่งชูอียังคงคีบหมากสีดำที่ระหว่างนิ้ว โบกมือส่งสัญญาณให้เขายืนเขยิบออกไป “ก็แค่อู้ระหว่างงาน”
“งาน?” หมิ่นฉือทำตามที่นางบอก ยืนหลบไปด้านข้างสองสามก้าว แต่กลับไม่ค่อยพอใจในคำพูดของนาง
ซ่งชูอีเดินหมาก พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ยด้วยคำพูดของเขา “ท่านควรกลับไปที่รัฐเว่ย์ได้แล้วกระมัง หรือว่าท่านก็แอบอู้งานมาดูถูกข้าที่เล่นหมากรุกคนเดียว?”
“ท่านหวยจินมีความรู้สึกเป็นปรปักษ์ต่อข้า” หมิ่นฉือหยิบหมากสีขาวตัวหนึ่งออกมาจากกล่อง วางลงบนกระดานหมากรุกเสียงดังเพี๊ยะ
“ท่านดูออกด้วยหรือ?” ซ่งชูอียิ้มกว้าง ลูบหมากสีดำแล้ววางลง
ทั้งสองคนผลัดกันเดินหมากเป็นสิบครั้ง ก่อนหมิ่นฉือจะเอ่ยถาม “ข้าทำให้ท่านหวยจินไม่พอใจตรงไหนหรือ?”
ซ่งชูอีเงียบ
หมิ่นฉือหลุบตาลงเห็นความอาฆาตอันแรงกล้าบนกระดานหมากรุก ความประหลาดใจวูบผ่านดวงตา หมากสีขาวของเขาถูกบีบจนหมดสิ้นหนทางแล้ว
“ข้ามีสังหรณ์ ว่าพวกเราว่าจะคู่ต่อสู้ที่ไม่เลว” ซ่งชูอีกระชับผ้าห่มรอบตัว ยิ้มเอ่ยพร้อมมองเขา
หมิ่นฉือมองดูแววตาสงบและชัดเจนของนาง “เหตุใดต้องเป็นคู่ต่อสู้?”
“การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ หากไร้คู่ต่อสู้ที่ความสามารถสักหนึ่งหรือสองคน จะไม่ไร้สีสันไปหน่อยหรือ?” ในดวงตาของซ่งชูอีผุดรอยยิ้ม “หากล้มท่านในตอนนี้ ข้าคิดว่ามันคงจะน่าเบื่อมาก ดังนั้นข้าจึงให้โอกาสท่านสักครั้ง”
ซ่งชูอีลุกขึ้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจของหมิ่นฉือ “ฉะนั้น ท่านหมิ่นอย่าทำให้ข้าผิดหวังจะดีกว่า”
ครั้นนึกถึงการประมือกับหมิ่นฉือผู้นั้นในอนาคต เลือดในตัวซ่งชูอีก็เริ่มเดือดพล่าน ความต้องการต่อสู้ในแววตาทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้สึกหวาดกลัว
บัดนี้ แม้นจะฆ่าหมิ่นฉือที่อยู่ตรงหน้าด้วยการใช้ห้าม้าแยกศพก็ยากที่จะคลายโทสะภายในใจของซ่งชูอี ในเมื่อพ่ายแพ้ด้วยยุทธศาสตร์ นางก็จะใช้วิธีนี้เพื่อเอาคืนเป็นเท่าตัว!
…………………………………