กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 302 ที่รักตัวน้อย
“เจ้าค่ะ!” หนิงยารีบรับคำแล้วหมุนตัวจากไป
ซ่งชูอีรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีเวลาพูดจาอ่อนหวาน “ฝ่าบาทให้เจ้าปรนนิบัติในห้องนอนหรือไม่?”
หมี่จีตัวแข็งทื่อ รีบค้อมตัวเอ่ย “เปล่าเจ้าค่ะ บ่าวไม่รู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงเรียกให้บ่าวปรนนิบัติอาบน้ำ แต่เพียงแค่ปรนนิบัติเท่านั้น จากนั้นก็เดินหมากกันครู่หนึ่ง ฝ่าบาทก็จากไป”
“เอ๋! เห็นหญิงงามทว่าไม่หวั่นไหว ช่างพิลึกพิลั่นแท้!” ซ่งชูอีโบกมือๆ “เอาเถิด เจ้าไปทำงานของเจ้าเสีย ข้าก็แค่ถามดู หากฝ่าบาทเอารัดเอาเปรียบเจ้า ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
หมี่จีถอนหายใจโล่งอก ในใจไร้ความคิดเห็นต่อคำพูดของซ่งชูอี ต่อให้ฝ่าบาทจะให้นางปรนนิบัติบนเตียงจริง ก็จะกล่าวว่าฝ่าบาทเอารัดเอาเปรียบนางไม่ได้กระมัง!
“เอ๊ะ จริงสิ” ซ่งชูอีเดินออกไปไกลหนึ่งจั้งแล้ว จู่ๆ ก็หันมาเย้าเล่น “ฝ่าบาทรูปงามใช่ไหม!”
ใบหน้าของหมี่จีแดงระเรื่อ
ผู้คนมักเกรงขามองค์จวิน ตอนนั้นนางไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นอกเสียจากว่าองค์จวินจะออกคำสั่งให้นางมองตรงมาที่เขา ไม่เช่นนั้นนางจะเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างไร?
ในวินาทีที่สายตาพบกับใบหน้าของเขานั้น นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางนึกว่าองค์จวินหากไม่ใช่ชายพุงพลุ้ยก็เป็นชายชราวัยเจ็ดแปดสิบเสียอีก คิดไม่ถึงว่าฉินจวินจะอ่อนเยาว์และหล่อเหลาถึงเพียงนี้! เพียงแต่สายตาคู่นั้นราวกับยอดเขาหิมะ สูงลิ่วและเหน็บหนาว ชวนให้ไม่กล้าเข้าใกล้
หมี่จีมีปฏิสัมพันธ์กับซ่งชูอีน้อยมาก ทว่าก็เคยได้ยินเรื่องอารมณ์ของนางมาบ้าง สิ่งที่ทุกคนพูดนั้นล้วนแตกต่างกัน แต่คนส่วนมากต่างกล่าวว่านางเป็นคนง่ายๆ อย่างไรก็ดีแม้หมี่จีรู้สึกว่านางดูสบายๆ แต่กลับมีความสง่าผ่าเผยอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าแสดงอาการกำเริบเสิบสานเวลาที่นางเย้าเล่น
ความน่าเกรงขามประเภทนี้เป็นสิ่งที่หมี่จีอยากเรียนรู้ทว่าก็ทำไม่ได้เสียที
บัดนี้ดอกไม้ที่อื่นร่วงโรยไปแล้ว ทว่าเพราะจวนของซ่งชูอีมีบ่อน้ำร้อน ใบบัวในบ่อจึงอุดมสมบูรณ์ ดอกบัวอยู่ในสภาพหลากหลาย มีทั้งดอกตูมที่กำลังจะบาน นอกจากนี้ยังมีดอกบัวที่บานสะพรั่ง ทั้งยังมีดอกลักษณะฟูเป็นชั้นๆ สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางมวลแมกไม้นี้ เจ้าอี่โหลวสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีขาวแขนกว้าง ผมดำขลับที่เปียกชื้นเล็กน้อยปล่อยสยาย เขากำลังพิงอยู่บนราวในขณะที่ถือเนื้อกวางแหย่ไป๋เริ่น
ซ่งชูอีมองอยู่ครู่หนึ่ง เดินไปตามทางหินรอบสระบัว หยุดยืนอยู่ด้านนอกศาลา “เจ้าบอกว่าจะกลับจวนของตัวเองไม่ใช่รึ?”
เจ้าอี่โหลวมองค้อนนาง “ข้าอยากกลับที่ไหนก็กลับที่นั่น!”
เดิมทีเขาตั้งใจที่จะกลับจวนของตัวเองจริงๆ ทว่าเมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ไม่รู้ว่าซ่งชูอีเจอกับอะไรบ้างในขณะที่ไม่อยู่ในหลีสือหลายวัน ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดี จึงมิได้โกรธนางอีก
ซ่งชูอีเดินเข้าไปในศาลา ไอแห้งทีหนึ่ง “คือว่า…ข้าผิดเองที่ปกปิดเจ้าเรื่องออกไปข้างนอก ทว่าข้าก็กลัวว่าเจ้าจะเป็นห่วงนี่นา”
“ไม่พูดข้าก็ไม่เป็นห่วงงั้นสิ? เจ้าเห็นว่าข้าหูหนวกหรือว่าตาบอดเล่า?” เขาในฐานะท่านแม่ทัพ มีเรื่องใดบ้างที่สามารถรอดพ้นสายตาของเขาไปได้?
เจ้าอี่โหลวไม่รู้จริงๆ ว่าซ่งชูอีไปไหน แต่รู้ว่านางไปจากหลีสือสิบกว่าวัน เขารู้จักนางเป็นอย่างดี นางจะไม่มีทางประมาทเลินเล่อในขณะที่กระทำเรื่องสำคัญเป็นอันขาด ดังนั้นข้ออ้างที่บอกว่า “ไปส่งกุ่ยกู๋จื่อ” นั้นอาจหลอกคนอื่นได้ ทว่าทันทีที่เขาได้ยินก็รู้แล้วว่ามันเหลวไหล!
“ข้าจะไม่ทำอีก” ซ่งชูอีกล่าวคำสัญญาอย่างเคร่งขรึม
เจ้าอี่โหลวส่งเสียงหึ โยนเนื้อเข้าปากไป๋เริ่น หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือ “ข้าก็คิดได้แล้ว เจ้าไปทำธุระบางอย่างข้างนอก จะไปที่ใดย่อมมีเหตุผล ข้าไม่ห้ามเจ้าและก็ห้ามเจ้าไม่ได้ด้วย หากวันใดเจ้าโชคร้ายตายไปจริงๆ ข้าเพียงติดตามเจ้าไปก็เท่านั้น”
ซ่งชูอีซาบซึ้ง เอื้อมมือกอดเขา “สมกับเป็นที่รักตัวน้อยๆ ของข้าจริงๆ!”
เจ้าอี่โหลวหน้าแดงก่ำ ผลักนาง “ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าเรียกข้าเช่นนี้! เจ้าไปเรียนรู้คำน่าขยะแขยงเช่นนี้มาจากไหนกัน!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ก็เรียกเช่นนี้ ข้าเห็นว่าแม่นางพวกนั้นก็ชอบใจกัน เจ้าไม่ชอบรึ?” ซ่งชูอีขยำขนบนหัวของไป๋เริ่นอย่างแรง “เจ้าสัตว์ป่าตัวน้อย ตอนนี้เห็นข้าก็ไม่แม้แต่ชายตามองแล้วรึ! เจ้าเนรคุณ!”
“ข้าไม่ใช่แม่นางเสียหน่อย!” เจ้าอี่โหลวดึงไป๋เริ่นเข้ามาแล้วลูบขนให้มัน “ไป๋เริ่นถูกเจ้าฝึกจนไม่เหลือความเป็นสัตว์ป่าแล้ว ขี้เกียจแม้กระทั่งยื่นหัวมาคาบเนื้อด้วยซ้ำ ต่อไปเมื่อมีเวลาข้าจะพามันไปล่าเหยื่อ สร้างความกระหายเลือด เจ้าอยู่ห่างๆ มันหน่อย”
ซ่งชูอีชอบแหย่ไป๋เริ่นด้วยเนื้อสัตว์ตั้งแต่มันยังเล็ก ในตอนแรกไป๋เริ่นก็จะตะครุบเหมือนกับหมาป่าธรรมดา แต่ซ่งชูอี
กลับไม่ปล่อยให้มันทำสำเร็จ ต่อมามันรู้สึกว่าไม่ว่าจะตะครุบหรือไม่สุดท้ายเนื้อชิ้นนี้ก็จะต้องเข้ามาอยู่ในปากอยู่ดี ดังนั้นจึงเพียงเงยหน้าเพื่อรอให้ชิ้นเนื้อหล่นลงมา
“เฮ้อ!” ซ่งชูอีพิงอยู่บนราว เหยียดสองแขนขึ้นบนราว เงยหน้าขึ้นและหลับตาลงพลางสูดกลิ่นหอมของดอกบัว
เจ้าอี่โหลวไม่ได้ยินเสียงสักพักจึงหันไปมองก็พบว่านางเหมือนหลับไปแล้ว ท่าทางนั้นดูสบายๆ โครงร่างที่อยู่ในชุดสีดำผอมเพรียว หน้าตาธรรมดานั้นไม่เคยถูกเติมแต่ง หน้าผากอวบอิ่ม สันจมูกตั้งตรง ริมฝีปากจืดชืด ผมดกดำถูกมัดเป็นมวยหลวมๆ สายลมพัดปรอยผมของนางปรกหน้า
เจ้าอี่โหลวยื่นมือออกไปลูบขมับที่มีผมขาวแซมของนางแผ่วเบา โน้มตัวจุมพิตที่แก้มนาง ประคองนางให้พิงไหล่ของตน
ไป๋เริ่นกำลังง่วนอยู่กับการเอื้อมอุ้งเท้าเพื่อค้นหาปลาคาร์ฟในสระบัว ใบหน้าของหมาป่าถูกราวบีบจนเปลี่ยนรูปร่าง อุ้งเท้าเพิ่งจะสัมผัสผิวน้ำ มันใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะยอมแพ้
เมื่อมันหันไปเห็นทั้งสองคนนอนพิงอยู่ด้วยกันก็หมอบลงข้างเท้าของพวกเขา ร่างกายขนาดมหึมาบดบังร่างของทั้งสองเสียครึ่งหนึ่ง หางของมันห้อยลงมาจากช่องว่างระหว่างราวลงไปในน้ำ ดึงดูดให้ปลาเข้ามาเล่นโดยไม่รู้ตัว
หนิงยาหยุดอยู่หน้าศาลา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถอยออกไปเงียบๆ สั่งให้ทุกคนในลานออกไปให้หมด
หลังเที่ยงวันเมฆหนาค่อยๆ รวมตัวกันบนท้องฟ้า ต่อมาไม่นานฝนในฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มตก
ภายในพระราชวังเสียนหยาง ม่านไม้ไผ่และเสื่อไผ่ในหอคอยยังคงเป็นสิ่งของสำหรับฤดูร้อน
“แค่ก!” เสียงไอของอิ๋งซื่อดังขึ้น
ขันทีเถาค้อมตัวถามเสียงเบา “ฝ่าบาท แพ้อากาศเย็นในตอนกลางคืนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อิ๋งซื่อตอบรับว่าอืมเสียงเบา
ขันทีเถารีบถอยออกไป สั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างนอกว่า “ไปเชิญหมอหลวงมา แล้วไปต้มน้ำขิงเข้มข้นมาชามหนึ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วถอยออกไป
ขันทีเถายังสั่งให้คนเข้าไปในที่ห้องพระคลังส่วนตัวขององค์จวินเพื่อนำขนจิ้งจอกที่รัฐเยียนส่งมาให้
“ฝ่าบาท” ขันทีเถาถือขนจิ้งจอกสีดำเข้ามาด้วยความระมัดระวัง
อิ๋งซื่อเหลือบมองเขา “เพิ่งจะต้นฤดูใบไม้ร่วง เอาของแบบนี้ออกมาทำไม?”
“ได้เวลาเตรียมตัวแล้ว จะรอให้เวลาจวนตัวได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ! นี่คือของกำนัลที่รัฐเยียนถวายให้ฝ่าบาท ได้ยินมาว่ามันเป็นสุนัขจิ้งจอกพันธุ์หนึ่งที่เติบโตในเขตหนาวสุดขั้วของทางเหนือ ในฤดูร้อนขนจะเป็นสีดำ ในฤดูหนาวขนจะเป็นสีขาวหิมะ ขนหนาแน่นกว่าขนสุนัขจิ้งจอกปกติ ก็ใช้สิ่งนี้ตัดเป็นเสื้อคลุมต้าฉ่างให้ฝ่าบาทเถิด!” ขันทีเถาถวายขนให้อิ๋งซื่อด้วยสองมือ “ได้ยินท่านราชทูตท่านนั้นกล่าวว่า แม้ว่าสุนัขจิ้งจอกพันธุ์หนาวนี้จะมีสีดำและสีเทาในฤดูร้อน ทว่าตัวนี้มีสีดำหมึกไม่มีสีอื่นผสม เกรงว่าจะมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
อิ๋งซื่อเหลือบมอง ขนเรียงตัวแน่นเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเมื่อต้องแสงไฟก็กลายเป็นสีฟ้าจางๆ เลอค่าเป็นที่สุด “ตัดเป็นเสื้อให้กั๋วโฮ่วเถิด”
ขันทีเถาเอ่ย “กั๋วโฮ่วตั้งครรภ์รัชทายาทแห่งต้าฉิน แน่นอนว่าสำคัญกว่าทุกอย่าง บัดนี้กระหม่อมได้ถวายขนจิ้งจอกสีแดงไปให้แล้ว โดยกล่าวว่าเป็นของขวัญจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการเถิด” อิ๋งซื่อไม่มีความอดทนที่จะจัดการกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ส่วนมากก็จะมอบให้ขันทีเถาจัดการ
.ขันทีเถาทำให้เขาปราศจากความกังวล สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างคลอบคลุมและเรียบร้อยยิ่ง
“อีกอย่าง…” ขันทีเถาลอบมองสีหน้าของอิ๋งซื่อ เห็นว่าเขายังมีความอดทนอยู่จึงรีบเอ่ยว่า “ขุนนางในราชสำนักรัชกาลก่อนต่างกล่าวว่าฝ่าบาทมีทายาทน้อยเกินไป วังหลังว่างเปล่าเกินไป โปรดให้ฝ่าบาทพาเด็กสาวเข้าวังเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”
อิ๋งซื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง เหลือบมองเขาและพูดเบาๆ “ช่วงนี้กั๋วโฮ่วไม่เหมาะที่จะทำงานหนัก หากมีความจำเป็นก็ให้ฮูหยินอื่นสักสองสามคนทำงานแทนก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถามีเหงื่อซึมที่ฝ่ามือ เมื่อครู่องค์จวินตั้งใจมองมาที่เขา! โดยปกติแล้วแม้ว่าเขาจะพูดมากและยุ่งไม่เข้าเรื่องแต่ก็ไม่เคยเป็นเยี่ยงนี้เลย ด้วยนิสัยของฝ่าบาท จะไม่แสดงท่าทางใดๆ เพิ่มเติม…
เขาหวนนึกถึงคำพูดของตัวเองเมื่อครู่ ครุ่นคิดวนเวียนไปมาหลายรอบก็พลันตื่นตระหนก…เกรงว่าฝ่าบาทคงเกรงกลัวว่าขันทีสนิทสนมกับขุนนางในรัชกาลก่อนมากไปกระมัง!
“ฝ่าบาท กั๋วโฮ่วขอพบพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้รายงานอยู่ข้างนอก
อิ๋งซื่อกล่าว “เข้ามา”
ม่านไผ่ถูกเลิกขึ้น เว่ยหว่านพยุงเอวเดินเข้ามาข้างในภายใต้การประคองของบ่าวสาวใช้ บัดนี้นางตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนกว่าแล้ว หน้าท้องของนางที่ยื่นออกมาใหญ่กว่าครรภ์ห้าเดือนทั่วไปเสียอีก อาการแพ้ท้องของนางร้ายแรงเป็นอย่างมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ ขากรรไกรเรียวแหลม ผอมจนดูไม่ได้
“ฝ่าบาท”
เว่ยหว่านกำลังจะคำนับ อิ๋งซื่อก็เอ่ยว่า “ไม่ต้อง นั่ง”
ทว่าเว่ยหว่านกลับไม่นั่ง เดินไปยังหน้าต่างมองออกไปข้างนอก หันมายิ้มให้อิ๋งซื่อ “ตรงนี้กว้างใหญ่ไพศาลดีจริงๆ ไม่น่าเล่าฝ่าบาทถึงโปรดปรานการมาที่นี่”
คิ้วของอิ๋งซื่อค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน “กั๋วโฮ่วมีธุระ?”
“ฝ่าบาทยุ่งกับเรื่องปกครองบ้านเมือง บัดนี้หม่อมฉันมิได้พบฝ่าบาทมาครึ่งเดือนแล้ว รู้สึกคิดถึงเพคะ” ใบหน้าของเว่ยหว่านแดงระเรื่อ ทำให้ใบหน้างดงามสดใสยิ่งขึ้น
ขันทีเถารู้สึกได้ว่าการแสดงออกของอิ๋งซื่อคล้ายความสงบก่อนที่พายุฝนจะมา รีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “กั๋วโฮ่วตั้งครรภ์รัชทายาท หักโหมไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ กั๋วโฮ่วรีบนั่งเถิด”
เว่ยหว่านนั่งลงตามคำพูดของเขา
อิ๋งซื่อเอ่ยด้วยความเย็นชา “กว่าเหรินเคยกล่าวกับกั๋วโฮ่วแล้ว ว่ากำลังท้องกำลังไส้อย่าเดินไปทั่ว แต่ว่ากั๋วโฮ่วกับฮูหยินหวานสมกับเป็นพี่สาวน้องสาวกันจริงๆ แม้แต่สั่งสอนไม่จำก็เหมือนกันทุกประการ!”
“ฝ่าบาท” นางรับใช้ในวังที่อยู่ข้างหลังเว่ยหว่านก้าวออกมาหมอบกับพื้น เอ่ยสะอื้น “ฝ่าบาทไม่ได้ไปหากั๋วโฮ่วครึ่งเดือนแล้ว กั๋วโฮ่วคิดถึงโหยหา อาหารก็ยากจะกลืนลง ไม่ว่าบ่าวเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ครั้งนี้บ่าวจึงบังอาจเกลี้ยกล่อมให้กั๋วโฮ่วลองมาดู ทั้งหมดเป็นความผิดของบ่าวเอง!”
อิ๋งซื่อพิงพนัก ยกมือขึ้นนวดคลึงขมับ “ขันทีเถา เจ้าจัดการเรื่องนี้เถิด”
ขันทีเถาติดตามอิ๋งซื่อมาหลายปีนี้ ก็พอจะเข้าใจความคิดของเขาในขณะนี้ได้ แต่กลัวว่าเพราะกั๋วโฮ่วตั้งครรภ์จะรับความตื่นตกใจไม่ไหว จึงเอ่ยว่า “เด็กๆ รีบลากบ่าวที่ขัดราชโองการผู้นี้ออกไปเสีย”
“ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…” ปลายนิ้วของเว่ยหว่านเย็นเฉียบ นางไม่อยากจะเชื่อว่าชายผู้ที่เคยเอ็นดูและเคารพนางก่อนหน้านี้ เพียงพริบตาเดียวจะเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นเหลือเกิน!
นางก็แค่มาที่หอคอยบ่อยขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องใดให้เขาขุ่นเคือง หรือว่าคำทำนายจะกลายเป็นจริง เขาตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่งจริงหรือ?! ไม่ใช่เพียงเล่นๆ แต่เป็นความรัก…
ทว่าต่อให้มันมาถึงขั้นนี้ นางก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดโปงเรื่องนี้
“เช่นนั้นหม่อมฉันไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว หม่อมฉันทูลลา” เว่ยหว่านเอ่ย
เมื่อผู้หญิงตกหลุมรักพวกนางก็เริ่มไม่มีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“เจ้าไปกล่อมนางเถิด” อิ๋งซื่อหมดเรี่ยวแรง เว่ยหว่านจะเป็นเยี่ยงไรเขาไม่สน ทว่าลูกของเขาจะทนทุกข์ทรมานไม่ได้
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาถอยออกไป
อิ๋งซื่อยกมือขึ้นข้างหนึ่งเท้าศีรษะ เตรียมที่จะงีบสักครู่ ก่อนที่จะหลับตาก็มองผ่านม่านไม้ไผ่ไปยังห้องใต้หลังคาอันไกลโพ้นโดยไม่รู้ตัว
ผู้หญิงเฉลียวฉลาดผู้นั้น หากตกหลุมรักใครแล้วจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลเช่นนี้หรือเปล่า?
ครั้นนึกถึงวาจาของเจ้าอี่โหลวที่แสดงความเป็นปรปักษ์ต่อเขาเมื่อเช้านี้ทว่านางกลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย มุมปากก็อดที่จะยกยิ้มขึ้นไม่ได้
นางไม่เป็นเช่นนี้แน่