กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 327 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (1)
ซ่งชูอีบำรุงร่างกายเป็นเวลาสี่วันก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ตามการคาดเดาของนาง สามคนที่ผลัดเปลี่ยนกันรักษาการณ์หน้าประตูในตอนแรกบัดนี้เหลือเพียงหนึ่งคน ในสถานที่หนาวเหน็บเช่นนี้ นางอยู่สามวันก็จะขึ้นราอยู่แล้ว อาหารก็ยิ่งยากที่จะเก็บรักษา
ตราบใดที่อาหารได้รับความชื้น ตู้เหิงก็จะไม่เก็บคนที่กินทิ้งกินขว้างไว้อย่างแน่นอน
นางถูกขังอยู่ในห้องมืดโดยไม่รู้วันและคืน ทว่าดูจากระดับความหิวของตัวเองบวกกับความถี่ในการส่งข้าวแล้ว ก็พอที่จะสามารถคำนวณได้คร่าวๆ ว่าตนเองถูกขังอยู่ข้างในนี้ประมาณสามเดือน
นครเสียนหยางมีฝนตกเล็กน้อยในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ทันทีที่ฝนตก ภายในสุสานก็จะมีความชื้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ่งชูอีไม่เชื่อว่าตัวเองจะเคราะห์ร้ายและเผชิญหน้ากับความแห้งแล้งเป็นเวลาสามเดือน!
ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามคาดหมาย มีเพียงสิ่งหนึ่งที่ซ่งชูอีไม่ใคร่เข้าใจนัก หลายวันนี้นางกินอิ่มแล้วก็นอน ตื่นขึ้นมาก็กิน ตู้เหิงโผล่มาครั้งหนึ่ง ทว่าก็มิได้บีบบังคับถามนางเกี่ยวกับเรื่องตราทหาร อย่างไรก็ดีนางไม่มีเวลาที่จะเสียแล้ว หลายวันนี้ชายหนุ่มที่เฝ้าหน้าประตูจับไข้เพราะลมหนาว ทุกครั้งที่ซ่งชูอีไปห้องน้ำก็ได้กลิ่นยาหนักหน่วงจากตัวเขา
ในสถานที่เช่นนี้ ต่อให้กินยาแทนข้าวก็ไม่มีประโยชน์
“เด็กๆ” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ” เสียงของผู้ชายที่อยู่หน้าประตูนั้นไร้เรี่ยวแรง
“ข้าจะเข้าห้องน้ำ” ซ่งชูอีเอ่ย
ทหารรักษาการณ์คำนวณไว้ว่าใกล้ได้เวลาพอดีจึงเปิดประตู “ตามข้ามา”
ในตอนแรกห้องสุขาตั้งอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับห้องของตู้เหิงเพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นทว่าครั้งนี้กลับเป็นการเปิดทางสะดวกให้ซ่งชูอี
ข้างในไม่มีไฟ สามารถมองเห็นสถานการณ์ทั่วไปได้อย่างคลุมเครือด้วยแสงจากโคมไฟด้านนอกเท่านั้น ไม่มีสิ่งตกแต่ง มีเพียงแผ่นพื้นหินไม่กี่แผ่นที่ถูกงัดออกตรงมุมกำแพง หลังจากดินโคลนโผล่ออกมาก็ขุดหลุมหลุมหนึ่งและมีแผ่นหินสำหรับเหยียบสองแผ่นวางอยู่หน้าหลุม
เดิมทีแผ่นหินเหยียบถูกฝังลึกลงไปในดิน ซ่งชูอีใช้มือขุดอยู่หลายวันก่อนที่จะสามารถทำให้ดินโดยรอบหลวมได้
เหตุผลที่นางเลือกทำเช่นนี้ในตอนนี้ เพราะนางพบว่าตู้เหิงไม่ใช้ตะเกียงเวลาที่เข้าห้องน้ำอีกแล้ว
ตู้เหิงเกิดในครอบครัวมั่งคั่ง เคยชินกับการใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่ สถานที่แห่งนี้ลำบากเหลือเกินทั้งยังอาบน้ำก็ไม่ได้ ในความคิดของเขาการจุดไฟที่ห้องน้ำเป็นสิ่งจำเป็น บวกกับตอนนั้นเพิ่งเข้ามาในสุสานยังไม่เคยชินกับความมืด ด้วยเหตุนี้น้ำมันตะเกียงจึงหมดลงอย่างรวดเร็ว
ซ่งชูอีขุดหลุมแล้วเติมกลับไปด้วยกองสน ขอเพียงไม่มีแสงสว่างก็จะไม่พบว่าพื้นดินมีอะไรเปลี่ยนแปลง
นางหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วถือมั่นไว้ในมือ
จะแพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับการกระทำนี้แล้ว
“อ๊า!” ซ่งชูอีร้องเสียงต่ำแล้วรีบวิ่งไปหลังประตูทันที กลั้นหายใจ
“เป็นอะไรไป?” ทหารคุ้มกันถาม
เมื่อผ่านไปเนิ่นนานไม่ได้ยินเสียงตอบ ทหารคุ้มกันก็รีบเปิดประตู
ซ่งชูอีเห็นเงาของคนเข้ามาก็กระแทกหินไปที่ด้านหลังศีรษะของเขาอย่างแรง
ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ดังขึ้น
ซ่งชูอีรู้สึกว่าที่พื้นยังมีความเคลื่อนไหว ก็รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองมิได้ทำให้เขาหมดสติโดยสมบูรณ์ ทว่าหินได้หลุดมือไปแล้ว จะให้หาอีกรอบก็ไม่มีเวลาแล้ว!
นางรีบวิ่งออกไปทันทีแล้วปิดประตูด้วยหลังมือ วิ่งตรงไปยังตะเกียงไฟอมตะอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งสองข้างของท้องพระโรงพระราชวังเสียนหยางล้วนมีประตู ในพระราชวังเสียนหยางของจริงนั้นสามารถมองเห็นได้ในแวบแรก แต่บังเอิญว่าที่นี่ถูกตะเกียงไฟอมตะขนาดใหญ่สองดวงนั้นบดบังเอาไว้
ภายในห้องตู้เหิงและสาวใช้สองนางกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกัน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเตะประตูดังสนั่น พวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวทันที
หนึ่งในสาวใช้รีบรัดสายคาดเอวแล้วรุดออกมาก่อน
จากนั้นตู้เหิงกับสาวใช้อีกคนก็สวมเสื้อผ้าแล้ววิ่งตามออกมา พบกับทหารคุ้มกันกำลังพุ่งออกมาจากห้องสุขาพร้อมศีรษะเปื้อนเลือด
“นางหนีไปไม่ได้หรอก แยกย้ายกันตามหา!” ตู้เหิงกล่าว
สามคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกันทันที ต่างคนต่างแยกย้ายกันตามหา
สายตาของตู้เหิงหยุดอยุ่ที่ผ้าม่านเบาบางในห้องโถง ก้าวเท้าเดินไปตรงนั้น แม้ว่าเขาไม่เคยเข้าไปในพระราชวังเสียนหยางมาก่อน ทว่ากลับคุ้นเคยโครงสร้างภายในเป็นอย่างดี ย่อมรู้ว่าด้านหลังตะเกียงอมตะนั้นมีประตูบานพับสองบาน
โครงสร้างของสุสานแห่งนี้ซับซ้อนมาก แม้จะมีแผนที่แล้วก็ยังต้องเดินอย่างระมัดระวัง ตู้เหิงมั่นใจว่าซ่งชูอียังไม่สามารถหนีออกไปได้ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้จึงไม่รีบร้อน
เขาสำรวจอยู่ภายใต้แสงไฟของตะเกียงอมตะอย่างถี่ถ้วน สามารถมองเห็นรอยเท้าจางๆ อยู่บนพื้นตามคาด
เพียงแต่เขายืนอยู่หน้าประตูด้วยความลังเลเล็กน้อย ดูจากแผนที่แล้ว เส้นทางนี้นำไปสู่ “ตำหนักหลัง” และ “วังหลัง” ซึ่งก็หมายความว่าหลังจากผ่านเส้นทางนี้ไปแล้ว เป้าหมายสุดท้ายที่จะไปถึงก็คือสุสานของเซี่ยวกงและกั๋วโฮ่ว
คนที่ขายแผนที่นี้ให้กับเขาก็กลัวศีลธรรมจะแปดเปื้อน ดังนั้นจึงให้เพียงแผนที่โดยละเอียดของห้องโถงด้านหน้าแต่ทำลายอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ
ทางนั้นมีกลไกมากมายมิใช่หรือ?
หลังจากผ่านไปประมาณสองถ้วยชา ทหารคุ้มกันกับสาวใช้ทั้งสองก็กลับมา เห็นว่าตู้เหิงจ้องตรงไปยังประตูมืดมิดด้านข้างห้องโถงใหญ่อย่างไม่ละสายตา ก็หวาดกลัวขึ้นมาฉับพลันพร้อมมองตู้เหิงอย่างไม่สบายใจ
พวกเขาเป็นทหารพลีชีพ ไม่ห่วงเรื่องชีวิตและความตายทว่าก็มีความเกรงกลัวต่อบรรพบุรุษเข้ากระดูก แค่อยู่ในท้องพระโรงของสุสานก็เพียงพอแล้ว แต่หากต้องเข้าไปในสถานที่ฝังบรรพบุรุษของราชวงศ์ฉินจริงๆ พวกเขาหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ไม่ต้องตามแล้ว” ตู้เหิงเอ่ย “ไปปิดตายช่องระบายอากาศและทางเข้าออกทั้งหมด”
ทั้งสามคนถอนหายใจโล่งอกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทุกคนใช้ชีวิตในนี้มากว่าสามเดือน ต่างรู้สึกว่าความตายเป็นการบรรเทาทุกข์อย่างหนึ่ง
ตู้เหิงกลับไปยังทางออก มองดูแสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดเข้ามาทางช่องระบายอากาศขนาดเท่าฝ่ามือ นำนกพิราบออกจากกรง ใส่ข้อความที่เขียนเสร็จแล้วลงในกระบอกไม้ไผ่ที่เท้าของนกพิราบแล้วปล่อยมันบินออกจากรู
เขามองตามเงาของนกพิราบไป เต็มไปด้วยความโหยหา
เขามีความเด็ดเดี่ยวไม่กลัวตาย นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่เสียเปรียบในแง่ของธุรกิจ เขาเป็นคนที่ไม่ใส่ใจชีวิตและความตายมาโดยตลอดและไม่เคยกลัวการตายอย่างน่าอนาถ ทว่าบัดนี้เขากลับอิจฉานกพิราบที่สามารถบินออกไปจากที่นี่ได้
ภายในอุโมงค์อันมืดมิด
ซ่งชูอีทรุดตัวลงพิงกำแพงเย็นๆ รู้สึดเสียดท้อง นางพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมการหายใจ ตั้งใจฟังดูว่าด้านหลังมีใครไล่ตามนางอยู่หรือไม่
ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากห้องเล็กๆ ที่นางถูกกักขัง กำแพงเย็นเยียบ ยื่นมือออกมาก็มองไม่เห็นห้านิ้ว มองไม่เห็นเส้นทางและยิ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ซ่งชูอีสงบลมหายใจ ความคิดภายในสมองค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ตู้เหิงและคนอื่นๆ อยู่ที่ห้องโถงด้านหน้ามาโดยตลอด หลังจากที่นางวิ่งเข้ามาแล้วก็ไม่มีใครตามมา แสดงว่ายังไม่ก้าวก่ายมาถึงส่วนลึกของสุสาน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทางออกก็น่าจะยังอยู่รอบๆ ห้องโถง
ซ่งชูอีพักอยู่ที่มุมกำแพง พักผ่อนอย่างสงบ จนกระทั่งกำลังวังชากลับมาเล็กน้อย จึงคุกเข่าลงบนพื้นกราบสามครั้งคำนับเก้าครั้งโดยหันหน้าไปยังส่วนลึกของอุโมงค์
ปัจจุบันสำนักคิดต่างๆ มีมุมมองเกี่ยวกับผีและเทพเจ้าที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นสำนักขงจื้อที่กล่าวว่า “ขงจื่อไม่พูดถึงความลี้ลับ ความกล้าหาญ กบฎและภูตผี” สำนักนิติธรรมสนับสนุนกฎหมายในการปกครองบ้านเมือง ไม่เชื่อเรื่องผีสางและเทพเจ้า สำนักม่อเชื่อเรื่อง “ผีและเทพเจ้า” ยอมรับการมีอยู่ของผีและเทพเจ้า ทั้งยังเชื่อในเรื่องผีและเทพเจ้า…ทว่าจวงจื่อแห่งสำนักเต๋าไม่เพียงยอมรับผีและเทพเจ้า แต่ยังผสานทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน คิดว่ามันผูกพันกับ “เต๋า” ของพวกเขา
จวงจื่อกล่าวไว้ว่า: วิถีเต๋า มีความรัก มีความเชื่อ ไร้ตัวตน ไร้รูปร่าง ผีและเทพเจ้า จักรพรรดิ กำเนิดฟ้า กำเนิดดิน
ซ่งชูอีได้รับอิทธิพลจากสำนักเต๋าอย่างล้ำลึก ตัวเองก็เคยตายแล้วมาเกิดใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อในผีและเทพเจ้า ทว่านางมิใช่ผู้ที่ยึดติดกับกฎเกณฑ์
เมื่อไร้จิตสำนึกอันเลวร้ายก็ไม่จำเป็นต้องกลัวผีและเทพเจ้า การที่นางหมอบคำนับเพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำให้เซี่ยวกงขุ่นเคือง
ไม่รู้ว่าใช้เวลาอยู่ในความมืดนานเพียงใด ซ่งชูอีรู้สึกหิวจนทนไม่ไหวก็ลูบไล้ไปตามร่างกาย นำเนื้อแห้งออกจากแขนเสื้อแล้วใส่เข้าปากเคี้ยว
นี่คือชิ้นส่วนเล็กๆ ที่นางแอบซ่อนไว้ขณะกินข้าวโดยจะหยิบออกมาเคี้ยวทีละน้อยๆ เป็นระยะๆ เพื่อป้องกันมิให้ตัวเองหิวจนหมดสติ
ไร้ซึ่งผ้านวม ความหนาวเหน็บเสียดแทงไปทั่วร่างกาย
หลังจากนั้นไม่นาน ซ่งชูอีก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความเย็นทั่วร่างกายเหมือนจะกระจุกตัวอยู่ในช่องท้องส่วนล่าง และความรู้สึกปูนนูนนั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ