กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 36 จื๋อหย่าแห่งสกุลกงซุน
“พิลึก” ซ่งชูอียิ้มจางๆ หันตัวกลับเข้าห้อง
เตียงสบายมาก หลับสนิทตลอดคืน
วันรุ่งขึ้นท้องฟ้าส่องแสงรำไร สาวชาวเว่ยก็มาเรียกซ่งชูอีที่หน้าประตู “นายท่าน ได้เวลาตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีสะลึมสะลือ เดิมทีไม่ต้องการสนใจ ตั้งแต่นางออกจากสำนักแล้วก็เคยชินกับการตื่นนอนเมื่อเห็นตะวัน หากวันไหนท้องฟ้ามืดมน นางก็สามารถนอนงัวเงียได้ถึงหนึ่งวันสองคืน
ทว่าสาวชาวเว่ยผู้นั้นมีความอดทนสูงมาก เงียบไปชั่วอึดใจก็เอ่ยขึ้นอีก “นายท่าน ได้เวลาตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
เรียกเช่นนี้อยู่กว่าสิบครั้ง แต่กลับไม่มีท่าทีจะหยุด ซ่งชูอีได้ยินเสียงลมพัดคำรามอยู่ด้านนอก จึงห่อตัวด้วยผ้านวมเดินไปยังหน้าประตูกึ่งหลับกึ่งตื่น ครั้นประตูเปิดออก ลมแรงหอบเอาเกล็ดหิมะเม็ดโตเท่าขนห่านโจมตีเข้ามาอย่างเย็นยะเยือก ซ่งชูอีตื่นตัวทันใด
สาวชาวเว่ยผู้นั้นยังคงสวมเสื้อคลุมที่ซ่งชูอีมอบให้นางในตี้ชิว สั่นสะท้านอยู่ในสายลม สายตาของซ่งชูอีมองผ่านนางไป กลับเห็นชายในชุดธรรมดาผู้หนึ่งยืนอยู่ที่เฉลียงฝั่งตรงข้าม รูปร่างผอมบางแต่ไม่อ่อนโยน ไหล่และคอพาดด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีแดง เนื่องจากยืนอยู่ในที่กำบังลม ผมดกดำลื่นไหลลงมาจากด้านหลังเงียบๆ กั้นขวางหิมะหนาแต่ละเกล็ด สง่างามโดดเด่นดุจกิ่งโซ่วเหมยในฤดูหนาว[1] เขาก็คือผู้นั้นที่ดีดพิณเมื่อคืน
ซ่งชูอีรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าหากเขาไม่แสดงสีหน้าน่ารังเกียจ บุคลิกก็จะดูดีขึ้นอีกมาก
“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีเบี่ยงตัวหลบ ปล่อยให้สาวชาวเว่ยเข้ามาในห้อง จากนั้นก็โยนผ้านวม โค้งคำนับให้ผู้ที่อยู่ตรงข้าม กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้าน้อยซ่งชูอี ชื่อรองหวยจิน ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
ผู้นั้นมองนางอย่างเฉยเมย หมุนตัวก้าวสู่พื้นหิมะ
ซ่งชูอีหันมาด้วยสีหน้าเปี่ยมความงงงวย เห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านของสาวชาวเว่ย ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าเหตุใดผู้นั้นแสดงท่าทีสง่างามแต่กลับไม่พอใจนางเป็นอย่างยิ่ง ที่แท้เขาก็มองสาวงามมาโดยตลอด!
“ฮ่า น่าสนใจ” แม้นซ่งชูอีถูกดูแคลน แต่กลับรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นั้นมีนิสัยเป็นเอกลักษณ์โดยแท้
ภายในห้อง เห็นได้ชัดว่าสาวชาวเว่ยเคอะเขินเล็กน้อย อายุของนางไม่ต่างจากซ่งชูอีเท่าใดนัก แต่นางกลับรู้สึกได้ถึงลมหายใจอันเป็นผู้ใหญ่ที่มาจากตัวของซ่งชูอี
“ในสัมภาระตรงนั้นมีเสื้อผ้าสตรีสองสามตัว เจ้าเอาไปเถิด” ซ่งชูอีพันตัวด้วยผ้านวม นั่งลงหน้าโต๊ะตัวเตี้ย เพยิดคางขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงให้สาวชาวเว่ยหยิบสัมภาระบนตู้ที่มุมห้อง
สาวชาวเว่ยตอบรับเสียงหนึ่ง เดินไปเข้าไปอุ้มสัมภาระไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินกลับมา เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีไม่มีท่าทีจะสวมเสื้อ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงเบา “ต้องการให้บ่าวเปลี่ยนเสื้อให้ท่านหรือไม่?”
ซ่งชูอีมิได้ตอบ หันไปถาม “แม่นางมีนามว่ากระไร?”
สาวชาวเว่ยก้มหน้าต่ำกว่าเดิม “เรียนนายท่าน ข้านามว่าหย่า พี่สาวข้านามว่าเฉา”
สาวชาวเว่ยผู้นี้ไม่เพียงมีกิริยาสุภาพ อีกทั้งค่อนข้างมีความละอายใจ โดยมากน่าจะมาจากตระกูลขุนนาง มีนามไพเราะเช่นนี้ ซ่งชูอีไม่แปลกใจเลยสักนิด “นามไพเราะดี แซ่สกุลใดรึ?”
“ต่อหน้านายท่าน มิกล้าเอ่ยถึงแซ่สกุล” หย่าค้อมตัวกล่าว
“พูดเถิดอย่าได้กังวล ข้าช่วยพวกเจ้า มิได้มีเจตนาให้พวกเจ้าสองพี่น้องเป็นทาส” ซ่งชูอีพิงอยู่ข้างโต๊ะตัวเตี้ย ท่าทางเกียจคร้านเล็กน้อย น้ำเสียงไม่ใคร่ใส่ใจนัก ทว่าเนื้อหาในคำพูดกลับทำให้หย่าอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบดูซ่งชูอีแวบหนึ่งเหมือนอยากมั่นใจว่านางจริงใจหรือหลอกลวง
ไม่ช้า หย่าก็เอ่ยตอบ “บ่าวแซ่จื่อ สกุลกงซุน”
ซ่งชูอียืดตัวตรงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าหญิงสองคนที่นางรับมาโดยไม่ตั้งใจนั้นจะเป็นบุตรีแห่งราชสำนัก
หย่ามีแซ่จื่อ สกุลกงซุน สามารถเรียกว่าจื๋อหย่าหรือกงซุนหย่าก็ได้ หรือแม้แต่เรียกด้วยกันกับแซ่สกุลเป็นนามเต็มว่ากงซุนจื๋อหย่า หากยังมีชื่อรอง เช่นนั้นก็จะเรียกได้หลากหลายยิ่งขึ้น
ซ่งชูอีจำได้ว่า จื๋อหย่ากล่าวว่าบิดาของนางถูกคนชั่วให้ร้าย ทั้งตระกูลถูกตีตราเป็นทาส สันนิษฐานว่าทั้งตระกูลคงไม่อยู่แล้ว
ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะถูๆ มือ ชีวิตในชาติที่แล้วช่างน่าสมเพศเหลือเกิน แต่ชาตินี้สวรรค์ทรงปฏิบัติต่อเธออย่างดีเยี่ยม เพียงเริ่มต้นก็ส่งสองบุตรีแห่งราชสำนักที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมาให้ หน้าตางามชดช้อย สถานะสูงศักดิ์แต่ตกระกำมาเป็นทาส ทว่าสิ่งนี้แข็งแกร่งกว่ารูปลักษณ์ภายนอกมากนัก
ผู้ที่มีสกุลกงซุนนั้นหมายความว่ามาจากราชสำนัก เมื่อถูกเรียกว่าราชสำนักก็หมายถึงตระกูลของจูโหว (เจ้ารัฐ) นี่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลของนางเป็นผู้ปกครองรัฐใดรัฐหนึ่ง แต่อาจเป็นแซ่สกุลที่ใช้สืบทอดกันมา อย่างไรก็ดีตระกูลของนางเคยมีจูโหวมาก่อน
ในยุคสมัยชุนชิวมีจูโหวถึงแปดร้อยองค์ แตกเป็นรัฐเล็กๆ แม้นบัดนี้จะมอดม้วยไปเสียส่วนใหญ่แล้ว แต่ผู้ที่มีสกุลกงซุนก็มีไม่น้อยอย่างแน่นอน
ซ่งชูอีครุ่นคิดว่าในโลกใบนี้ ชื่อรัฐที่สามารถนับได้มีเพียงรัฐซ่งที่ใช้ “จื่อ” เป็นแซ่ประจำรัฐ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนแซ่จื่อทุกคนจะเป็นราชสำนักแห่งรัฐซ่ง ซ่งชูอีแอบจดจำไว้ในใจแล้ว นางมิได้มีนิสัยเชื่อคนง่าย แต่ไม่ว่าดีเลวอย่างไร เมื่อมาอยู่ในมือของซ่งชูอีเช่นนางแล้วก็มิอาจปล่อยเฉยโดยไม่ใช้ประโยชน์
ซ่งชูอีไม่รู้ว่าการสืบเชื้อสายในโลกนี้มีการแบ่งชั้นสูงต่ำหรือไม่ แต่ว่าบุตรีที่เกิดในราชสำนักจะต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่แตกต่างจากบุตรีในตระกูลขุนนางทั่วไปอย่างแน่นอน นี่ส่งผลให้พวกนางมีลักษณะสูงส่งเป็นธรรมดา
“อายุเท่าใด?” ซ่งชูอียับยั้งความคิด ถามต่อ
จื๋อหย่าเอ่ย “ปีนี้บ่าวสิบห้า พี่สาวสิบหก ย่างสิบเจ็ดแล้ว”
ซ่งชูอีพยักหน้า “เงยหน้าขึ้นมองข้า”
จื๋อหย่าลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเงยหน้าเชื่อฟัง และมองซ่งชูอีโดยตรง แม้นจื๋อหย่าพยายามอย่างหนักมาโดยตลอดในการเป็นทาสผู้ต่ำต้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ทาสจริงๆ ในแววตาไร้ซึ่งความขลาดกลัว
“ดี” ซ่งชูอีชื่นชมเสียงหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยทีละคำอย่างเชื่องช้า “ตระกูลถูกใส่ร้าย หย่าเคยคิดจะแก้แค้นดับความเกลียดชังหรือไม่?”
“คิดเจ้าค่ะ” ฉากต่างๆ วูบผ่านในสมองของจื๋อหย่าชั่วอึดใจหนึ่ง บิดาของนางเลือดกระเด็นไกลสามฉื่อ มารดาผู้สูงศักดิ์กลับถูกย่ำยีอย่างอนาจ ความเกลียดชังพุ่งออกมาในชั่วขณะหนึ่งแต่ก็ลดลงอีกครั้ง น้ำตาไหลอาบใบหน้าที่เรียบเนียนราวกับเขื่อนกั้นน้ำที่พังทลาย นางทรุดลงบนหน้าตักพร้อมร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด “แต่ว่าหย่าไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่มัด เห็นศัตรูเสวยสุขและมิอาจลงมือ”
ซ่งชูอีจ้องไหล่ของนางที่อ่อนแอและสั่นเทิ้ม เอ่ยขึ้น “เจ้าทำได้ ขอเพียงเจ้ามีความกล้า การทำลายคนหนึ่งจะยากสักเพียงใดเชียว? บางครารอยยิ้มและน้ำตาของหญิงงามน่ากลัวว่าพลังของคมมีดเสียอีก รอยยิ้มของเปาซื่อเคยทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย แต่เจ้าเคยเห็นนักรบผู้กล้าคนใดเล่าที่สามารถเอาชนะพันทหารหมื่นม้าได้ด้วยแรงเดียว?”
แน่นอนว่าหน้าตาดีเพียงอย่างเดียวใช่ว่าจะมีประโยชน์มากนัก ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะห่วยแตกเหมือนโจวโยวอ๋อง ดังนั้นจึงต้องวางแผน
จื๋อหย่าหยุดร้องไห้ มองซ่งชูอีทั้งน้ำตา “นายท่านชี้แนะข้าด้วย!”
สิ้นวาจา ก็หมอบกราบตรงหน้านาง
“ข้าช่วยเจ้าได้ แต่ข้ามิเคยช่วยคนอื่นเปล่าๆ เจ้าก็ต้องช่วยข้าเช่นกัน” ซ่งชูอีเอ่ยตรงไปตรงมา
“ต่อให้กระดูกแตกสลายเป็นผุยผงก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด” ความหมายในคำกล่าวนี้ ไม่ว่าซ่งชูอีจะเสนอเงื่อนไขอันใด นางล้วนรับปาก
“พี่สาวของเจ้า…”
ซ่งชูอีกล่าวเพียงสี่คำ จื๋อหย่าก็เอ่ยอย่างร้อนรน “นายท่าน หย๋าจะช่วยท่านเยี่ยงไรย่อมได้ แต่พี่สาวนาง…ร่างกายของพี่สาวอ่อนแอหลายโรครุมเร้า จิตใจอ่อนโยน ไม่อาจทนต่อความเหน็ดหนื่อยในการแก้แค้น นายท่านได้โปรดให้นางใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขด้วยเจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีเคยเห็นจื่อเฉามาก่อน หน้าตาสวยจับใจ แม้จะเจ็บป่วยก็ชวนให้ผู้คนสงสาร แต่ด้วยทรวดทรงองเอวของนาง
ซ่งชูอีสามารถใช้หนึ่งคำเพื่ออธิบายเท่านั้นคือสวยงามจนต้องตะลึง เมื่อเทียบกันแล้ว จื๋อหย่าด้อยกว่าพี่สาวมาก
“ในใจของเจ้ามีความเกลียดชัง จะรู้ได้เยี่ยงไรว่านางไม่มี? หากสามารถคลายปมในใจได้ก็แล้วไป มิฉะนั้นการมีเพียงใบหน้าที่งดงามแต่มิอาจแก้แค้นก็เท่ากับเป็นการทนมานอย่างหนึ่ง” ซ่งชูอีกระชับผ้านวม ทอดถอนใจ “ด้วยใบหน้าของเฉา หากไร้ที่พึ่งพิง ไม่ว่าจะไปที่ใดก็เหมือนจอกแหนที่ไร้ราก”
นี่ก็คือขนบประเพณีในปัจจุบัน สาวงามที่ไร้ตำแหน่งสถานะก็เปรียบดังสินค้าชิ้นหนึ่ง
“นายท่านต้องใจรูปลักษณ์ของพี่สาวข้าหรือเจ้าคะ?” แววตาจื๋อหย่าส่องประกาย
ซ่งชูอีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางกล้าพูดได้เลยว่าเด็กคนนี้ไตร่ตรองไว้แล้วว่าจะมอบพี่สาวของตนให้นาง!
“ข้าไม่ขอให้นายท่านตบแต่งพี่สาวหรือจะเป็นนางบำเรอก็ช่าง ขอเพียงนายท่านปกป้องพี่สาวของข้าให้ปลอดภัยตลอดชีวิต” สิ่งเดียวที่จื๋อหย่ามิอาจวางใจได้ก็คือพี่สาวของตน แม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือเจ้านายของนาง นางก็ต้องขอที่พึ่งพิงให้กับพี่สาว
ซ่งชูอียกมือขึ้นกุมหน้าผาก เอ่ยอย่างจนปัญญา “ข้าขอคิดดูก่อน”
แม้ว่าจื๋อหย่าทั้งกล้าหาญและฉลาด แต่ว่าวิธีคิดกลับไร้เดียงสาเกินไป แม้นหากซ่งชูอีคือผู้ชายจริงๆ ในฐานะนางบำเรอของเขา จะรู้ได้เยี่ยงไรว่าวันดีคืนดีเขาจะไม่ยกจื่อเฉาให้กับขุนนางชั้นสูง? แม้นซ่งชูอีหลงรักจนหัวปักหัวปำ ถ้าหากมีขุนนางชั้นสูงมาบีบบังคับ นางจะทำเยี่ยงไรได้?
จื๋อหย่าคิดว่าซ่งชูอีชอบรูปลักษณ์ของจื่อเฉา ต้องการจะเอ่ยต่อ แต่กลับเห็นนางยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้เงียบเสียง
ท่ามกลางลมหิมะนั้น มีเสียงฝีเท้าเร่งรุดเข้ามา
…………………………….
[1] กิ่งโซ่วเหมยในฤดูหนาว เมื่อหิมะร่วงหล่นบนต้นเหมยแห้งเหี่ยวในฤดูหนาว จะเห็นสีขาวของหิมะตัดกับกิ่งสีดำชัดเจน