กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 45 ไม่มีวันเอ่ยนามอาจารย์
“คือว่า…” เว่ย์โหวนิ่งงัน “เรื่องอันตรายเช่นนี้ ปล่อยให้กว่าเหรินส่งคนอื่นไปทำเถิด!”
ซ่งชูอีเป็นผู้คิดแผนการนี้ หากนางตายไป จะกลายเป็นท่าดีทีเหลวหรือไม่? แม้นเว่ย์โหวรู้สึกว่าซ่งชูอีสามารถคิด
กลยุทธ์เช่นนี้ได้ แต่อย่างไรเสียก็ยังอายุน้อยเกินไป อาจไม่มีความสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ทว่าเขาก็ยังมิอาจปล่อยให้เด็กหนุ่มมีอนาคตผู้นี้เกิดเรื่อง
“ในรัฐเว่ย์ไม่มีผู้ใดรู้จักมักคุ้นกับรัฐฉินและคุ้นเคยกับชาวฉินดีไปกว่ากระหม่อม ในกลอุบายนี้ การยุยงให้รัฐฉินออกทัพคือประเด็นสำคัญ หากเรื่องนี้ล้มเหลว ทุกอย่างก็จะไร้ประโยชน์” ซ่งชูอีมีแผนการอยู่ในใจอยู่แล้ว การเป็นราชทูตที่รัฐฉินในครานี้อาจมีแต่ภยันตรายในสายตาผู้อื่น แต่สำหรับนางแล้ว ถึงอันตรายแต่ก็เป็นโอกาสด้วย
เว่ย์โหวลังเลเล็กน้อย มองหลงกู่ชิ่งพร้อมเอ่ย “ท่านแม่ทัพอาวุโสเห็นเยี่ยงไร?”
หลงกู่ชิ่งเหลือบมองซ่งชูอีแวบหนึ่ง ก่อนหน้ากลยุทธ์นี้ เขามิเคยให้ความสำคัญกับนางอย่างจริงจังเลย เพียงแต่รู้สึกว่าจี๋อวี่วางใจบุคคลนี้มากเกินไป ก็แค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้มีความสามารถก็ยังต้องใช้เวลาในการอบรมปลูกฝัง ทว่าวันนี้เขาพลิกความเห็นของตนเองโดยสิ้นเชิง เด็กวัยรุ่นผู้นี้มีจิตใจและความสามารถของผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์!
“กระหม่อมเห็นว่า เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก จะต้องมั่นใจว่าไร้ข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด” หลงกู่ชิ่งประสานมือคารวะ
“ใช่! ท่านแม่ทัพอาวุโสพูดได้ถูกต้อง!” เว่ย์โหวให้ความสำคัญยิ่งกับผู้มีความสามารถ ตราบใดที่เขาสามารถแก้แค้นได้ ต่อให้ต้องเสียผู้มีความสามารถไปสักคนจะเป็นอะไรไป? ทันทีที่เว่ย์โหวได้สติ ก็เห็นด้วยทันที
ซ่งชูอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงจิบชา
เว่ย์โหวโน้มตัวไปข้างหน้าด้วยความปรีดา เอ่ยถาม “กว่าเหรินจักตระเตรียมสัมภาระให้ท่านทันทีในวันรุ่งขึ้น เพื่อเป็นราชทูตที่รัฐฉิน ไม่ทราบว่าท่านต้องการของมีค่าหรือสาวงาม?”
ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง นั่งตัวตรงพร้อมเอ่ย “ราชทูตลับ ทุกอย่างเรียบง่าย ฝ่าบาทเพียงเตรียมหนังสือรับรองแห่งรัฐฉบับหนึ่ง เป็นพระราชกฤษฎีกาให้กระหม่อมเข้าเฝ้าท่านจวินแห่งรัฐฉินด้วยความราบรื่น”
“เยี่ยม!” ไม่ต้องมีของมีค่าและสาวงาม เว่ย์โหวยิ่งรู้สึกมีความสุข เอ่ยทันที “ท่านแม่ทัพหลงกู่ บัดนี้ข้าแต่งตั้งให้ท่านหวยจินเป็นราชทูตพิเศษแห่งรัฐเว่ย์ เดินทางไปรัฐฉินอย่างลับๆ ท่านแม่ทัพอาวุโสโปรดตระเตรียมสัมภาระแทนข้า รอจน
กว่าเหรินหารือกับเสนาบดีแล้ว พรุ่งนี้จะจัดแจงหนังสือรับรองให้เรียบร้อย แล้วส่งไปที่จวน”
ซ่งชูอีได้ยินเว่ย์โหวกล่าวเช่นนี้ เอ่ยทันควัน “หวยจินยังมีอีกเรื่องอยากร้องขอ”
เว่ย์โหวหุบยิ้ม กล่าว “เรื่องใดรึ?”
“การที่หวยจินเป็นราชทูตไปรัฐฉิน แน่นอนว่าล้อมรอบไปด้วยภยันตราย ดังนั้นจึงทูลขอว่าก่อนที่หวยจินจะไปถึงรัฐฉิน ฝ่าบาทได้โปรดเก็บงำเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อย่าได้แพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้นหากหวยจินถูกลอบสังหารกลางทาง เกรงว่า…” ซ่งชูอีไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงผลลัพธ์ แน่นอนว่ามิใช่เรื่องมงคล
“แม้แต่เเสนาบดีก็หารือมิได้งั้นหรือ?” เว่ย์โหวลำบากใจเล็กน้อย หลายปีมานี้รัฐเว่ย์ไร้พลังต่อต้านศัตรูภายนอก ดังนั้นจึงได้แต่พึ่งพาเสนาบดีกงซุนเจี้ยนไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ทางการทูต และเว่ย์โหวไว้ใจเขาเป็นอย่างมาก
ซ่งชูอีกล่าวด้วยความจริงจัง “คำพูดของคนยากที่จะคาดเดา! เรื่องนี้จะแพร่งพรายมิได้เป็นอันขาด! รัฐเว่ย์สูญเสียดินแดนส่วนใหญ่ครานี้ เคราะห์ดีที่ยังรักษากำลังการต่อสู้ของกองทัพและยังสามารถทำการต่อสู้ได้อยู่ หากพลาดโอกาสครานี้ แล้วเกิดรัฐเว่ย์สูญเสียดินแดนอีก ฝ่าบาทคิดว่ารัฐเว่ย์จะยังมีความเป็นไปได้ในการต่อสู้อีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นรัฐเว่ย์มีพื้นที่ติดกับรัฐเว่ย ประเพณีพื้นบ้านไม่แตกต่างกันมาก สามารถหล่อหลอมเข้ากับรัฐเว่ยได้อย่างง่ายดายยิ่ง ครั้นเวลาผันผ่าน ชาวเว่ย์กลายเป็นชาวเว่ย แม้นมีโอกาสจะนำกลับมาได้ แต่รัฐเว่ย์ต้องใช้เวลาในการรวบรวมนานเท่าใด? ถึงตอนนั้นรัฐเว่ย์ยังจะทนรอได้หรือไม่?”
เมื่อประชาชนทั่วไปคุ้นเคยกับระบบการจัดการของรัฐแล้ว หากต้องการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องใช้เวลาในการให้ความรู้ บางครั้งต้องผ่านถึงหนึ่งหรือสองชั่วอายุคน จึงจะสามารถช่วงชิงแผ่นดินและผู้คนให้กลับสู่บ้านเมืองเดิมได้
“ครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสทองของรัฐเว่ย์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทำให้เรือล่มเมื่อจอดตาบอดเมื่อแก่ ฝ่าบาทไม่รู้สึกเสียดายหรือ?” ซ่งชูอีเห็นว่าเว่ย์โหวสั่นไหวเล็กน้อย จึงพูดต่อ “รอจนหวยจินถึงรัฐฉินอย่างปลอดภัยแล้ว ฝ่าบาทค่อยหารือกับท่านเสนาบดี หวยจินจะรอผลการหารือของฝ่าบาทในรัฐฉิน หากฝ่าบาทไม่คิดแก้แค้น หวยจินก็ไม่มีอะไรจะกล่าว”
“จะต้องแก้แค้นแน่นอน!” เว่ย์โหวได้ยินซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ พยักหน้าเห็นด้วยทันที “เยี่ยมมาก! ก็ทำตามที่ท่านกล่าวเถิด!”
ซ่งชูอีโค้งคำนับ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”
เว่ย์โหวเรียกตัวซ่งชูเข้ามา เดิมทีเป็นเพราะได้ฟังกลยุทธ์นั้นบวกกับการรบเร้าจากหลงกู่ชิ่ง รู้สึกเลือดพุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น ต้องการฟังรายละเอียดของกลยุทธ์ซ่งชูอีก่อน จากนั้นค่อยไปหารือกับเสนาบดีแล้วค่อยตัดสินใจ ทว่าคำพูดของซ่งชูอีมีแรงยุยงมากเกินไป ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ตอบตกลงด้วยความพึงพอใจยิ่งแล้ว
ออกจากพระราชวัง หลงกู่ชิ่งและซ่งชูอีขึ้นเกวียนม้าคันเดียวกัน
สายลมบนถนนไม่แรงนัก เกวียนรถเคลื่อนตัวไม่ช้าไม่เร็วท่ามกลางหิมะตกหนัก
หลงกู่ชิ่งสำรวจซ่งชูอีในระยะใกล้ครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “ท่านมิให้ท่านเสนาบดีรู้ เพราะกลัวว่าจะถูกทหารของศัตรูลอบสังหารกลางทางจริงหรือ?”
“แน่นอน” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ อย่างสงบนิ่ง พ่นเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนออกมาจากปาก ในเมื่อหลงกู่ชิ่งมีข้อสงสัย นางก็ไม่ปิดบัง “แต่ว่าซ่งชูอีไม่เพียงป้องกันไม่ให้ถูกทหารศัตรูลอบสังหาร แต่ป้องกันการถูกลอบสังหารจากเสนาบดีด้วย”
แม้นหลงกู่ชิ่งคาดเดาอยู่ในใจเลือนรางแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำตอบก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากซ่งชูอีเพิ่งมาถึงรัฐเว่ย์ยังไม่ครบสองวันดี เหตุใดจึงล่วงรู้ถึงสถานการณ์ในรัฐเว่ย์?
“ท่านแม่ทัพสงสัยมากหรือ?” ซ่งชูอีมองเขาพร้อมยิ้มตาโก่ง “ที่จริงเรื่องนี้ก็เดาได้ไม่ยาก ข้าได้อ่านบันทึกสองม้วนในห้องหนังสือ หนึ่งในนั้นว่าด้วยเรื่องของท่านเสนาบดีล้วนๆ! อีกทั้งข้าได้ยินพวกอู้เม่ยกล่าวว่า ท่านแม่ทัพกับท่านเสนาบดีถกเถียงกันบ่อยครั้ง กลัวว่าเป็นเพราะแนวคิดด้านสงครามและสันติสุขต่างกันกระมัง?”
นิสัยดื้อรั้นของกงซุนเจี้ยนนั้น ไม่มีทางยอมรับกลยุทธ์เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ อีกทั้งเขาเป็นคนที่คิดว่าตนมีความสำคัญยิ่งยวด คิดว่าหากรัฐเว่ย์ปราศจากเขาก็จะล่มสลายในทันที เขาจะปล่อยให้คนอื่นมีแนวคิดขัดกับเขาได้เยี่ยงไร?
“ท่านอ่านแล้วหรือ? ท่านไม่ได้เล่นหมากลิ่วป๋ออยู่หรอกหรือ?” หลงกู่ชิ่งประหลาดใจ
ซ่งชูอีเบิกตาโพลง แสร้งเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ที่แท้ท่านล่วงรู้ทุกย่างก้าวของพวกข้าเป็นอย่างดี!”
หลงกู่ชิ่งนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็หัวเราะเสียงดัง ตบๆ ไหล่ของนาง “เจ้าเด็กหัวหมอ ถูกท่านหลอกติดกับเสียแล้ว!”
ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “มิกล้า มิกล้า!”
ลายเส้นบนใบหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวล้วนค่อนข้างละเอียดอ่อน ซ่งชูอีกำลังอยู่ในวัยนี้ บวกกับบุคลิกพฤติกรรมของนางที่เหมือนกับเด็กชายและมีความรู้ คนส่วนใหญ่มักไม่คาดคิดว่านางจะเป็นเด็กผู้หญิง
หลงกู่ชิ่งที่ชำเลืองมองเนิ่นนานในระยะใกล้เช่นนี้ก็ไม่มีความสงสัยเลยแม้แต่น้อย เขาคิดเพียงว่าเด็กคนนี้มีอายุไล่เลี่ยกับหลานของเขา มีความคิดปราดเปรียวว่องไว แต่กลับสงบนิ่งและพิถีพิถันไม่สมวัย ทำให้หลงกู่ชิ่งอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความสามารถของเขา ท่าทีที่มีต่อซ่งชูอีก็อ่อนโยนขึ้นมาก “แม้ข้าผู้อาวุโสเป็นนักรบ แต่หนังสือที่เก็บสะสมในจวนก็มีไม่น้อย หากเจ้ามีเวลาว่างก็ให้อี๋ซือขุยพาเจ้าไปที่ห้องหนังสือใหญ่เถิด”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ!” ซ่งชูอีประสานมือคารวะ
หลงกู่ชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เริ่มสอบถามสถานะของซ่งชูอีโดยละเอียด เขาอยากรู้อยากเห็นมากทีเดียวว่าครอบครัวแบบใดที่ให้กำเนิดบุคคลมีความสามารถเช่นนี้
ซ่งชูอีพิจารณาคำตอบอย่างรอบคอบ กล่าวเพียงว่าตนเป็นชาวซ่ง ไร้บิดามารดา จากบ้านเข้าสำนักตั้งแต่ยังเล็ก หลงกูชิ่งก็ถามต่อ “อาจารย์ของหวยจินคือผู้ใด?”
ซ่งชูอีตอบด้วยความเคารพและจริงใจ “ชีวิตนี้ของหวยจินไม่ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ จะไม่มีวันเอ่ยนามอาจารย์”
ในยุคชุนชิวหลายร้อยสำนักแก่งแย่งชิงดี จนกระทั่งยุคจ้านกั๋วหลักคำสอนในสำนักต่างๆ ล้วนเป็นระบบสมบูรณ์แล้ว หลายสำนักมีกฎระเบียบที่แปลกประหลาด ซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ หลงกู่ชิ่งก็ทำได้เพียงคิดว่ามันเป็นกฎของสำนัก หันไปกล่าวว่า “ข้าผู้อาวุโสมีหลานคนหนึ่ง อายุใกล้เคียงกับท่าน แต่ดื้อรั้นซุกซนจนเหลืออด ประสบการณ์ของหวยจินไม่สามัญ หาได้ยากอีกทั้งรอบคอบยิ่ง วันหน้าข้าผู้อาวุโสจะแนะนำให้พวกท่านสองคนได้รู้จัก ช่วยข้าสั่งสอนเจ้าหัวดื้อคนนั้นที!”
……………………………….