กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 46 เป็นคนสบายๆ โดยแท้
ซ่งชูอีไม่ใคร่เข้าใจนิสัยของหลงกู่ชิ่งนัก แต่รู้สึกได้เลือนรางว่าเขาไม่ชอบการเสแสร้ง จึงเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยรับคำสั่ง”
ในใจของหลงกู่ชิ่งกำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง จึงมิได้พูดจาอีก การกระทำของซ่งชูอีในวันนี้ทำให้เขาค่อนข้างตกตะลึงโดยแท้ กลยุทธ์นับเป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งก็คือ นางอ่านบันทึกเพียงน้อยนิด พลันตัดสินว่าจะต้องระวังตัวจากเสนาบดีกงซุน ที่จริงแล้วมิใช่เรื่องธรรมดาเลย
หลงกู่ชิ่งรู้ดีว่าการที่รัฐเว่ย์มีคนเยี่ยงกงซุนเจี้ยนอยู่ ซ่งชูอีจะไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ แผนการครั้งนี้จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ! เขาจำต้องดึงเหล่านักรบหลักมาต่อกรกับกงซุนเจี้ยน รอจนกระทั่งรัฐทั้งหมดอยู่ในภาวะสงคราม จนกระทั่งเมื่อลูกศรต้องยิงออกจากเกาทัณฑ์ เว่ย์โหวจะได้ต้องไม่เสียใจในภายหลัง
ครั้นกลับถึงจวน หลงกู่ชิ่งก็ออกไปพบสหายโดยพลัน
ซ่งชูอีมองดูท่าทางของหลงกู่ชิ่งที่เปี่ยมไปด้วยพลังงาน อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ผู้เฒ่าคนนี้เป็นคนใจร้อนเสียจริง บอกว่าจะทำอะไรก็รีบลงมือทำทันที
ซ่งชูอีได้อธิบายถึงผลดีและผลเสียอย่างชัดเจนแล้ว นางเชื่อว่าหลงกู่ชิ่งจะไม่เปิดโปงส่งเดช เพราะด้วยเหตุนี้จะไม่สามารถป้องกันการแพร่งพรายของข่าวลือได้
ภายในลานเงียบสงัด ไม่มีลม หิมะเท่าขนห่านโปรยปรายโดยไร้ซุ่มเสียง ซ่งชูอียืนมองอยู่ตรงเฉลียงครู่หนึ่ง
จื๋อหย่าออกมาจากในห้อง เห็นว่ามีคนยืนอยู่ตรงเฉลียงก็สะดุ้งโหยง ครั้นมองให้ถี่ถ้วนเห็นเป็นซ่งชูอี รีบค้อมตัวกล่าว “นายท่าน”
ซ่งชูอีถามโดยไม่หันกลับมา “อาการป่วยของจื่อเฉาเป็นเยี่ยงไร?”
“เมื่อเช้าท่านพ่อบ้านเชิญหมอมาตรวจดูพี่สาวแล้ว ให้ยาไว้ต้มแกงสองสามชุด บอกว่าบัดนี้ไข้ของพี่สาวทุเลาแล้ว เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอ ต้องบำรุง” จื๋อหย่าตอบ
“ชีวิตของพวกเจ้าเป็นของข้า ในฐานะสาวใช้ ต้องช่วยข้าดูแลทุกอย่างให้ดีตามหน้าที่ หากต้องการอะไรก็ต้องบอกข้า” ซ่งชูอีพูดพลางหมุนตัวมองนาง
จื๋อหย่าสวมเสื้อตัวใหม่ ใบหน้าสวยสะอาดและสดชื่น เทียบกับจื่อเฉาแล้ว นางมิได้ทำให้ผู้คนตกตะลึงทันทีที่พบเห็น แต่ความดื้อรั้นที่เผยให้เห็นระหว่างคิ้วตานั้น เพิ่มสีสันให้นางไม่น้อย แม้นอยู่ในหมู่สาวงามก็ไม่อาจถูกบดบังจนหมดสิ้น
“เจ้าค่ะ!” จื๋อหย่าเข้าใจ ซ่งชูอีบอกว่าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกนางเยี่ยงสาวรับใช้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะประคบประหงมดังของมีค่า จำต้องแยกแยะสถานะนายบ่าว การได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ นางควรซาบซึ้งต่อซ่งชูอีจนน้ำตาไหลพรากด้วยซ้ำ
“นายท่านต้องการไปเยี่ยมพี่สาวหรือไม่?” จื๋อหย่าถามเสียงเบา
“ฮ่า!” ซ่งชูอีหัวเราะพร้อมมองดูนางด้วยความสงสัย นางยังจำได้ว่าจื๋อหย่าต้องการยกจื่อเฉาให้ตน จะให้นางไปเยี่ยมรึ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าพยายามให้นางหมกมุ่นอยู่กับความงามของจื่อเฉาจนไม่อาจทำใจที่จะยกให้ผู้อื่นเสียมากกว่า
ในชั่วขณะหนึ่งจื๋อหย่ามีความรู้สึกละอายที่แผนการน้อยๆ ถูกเปิดเผย อดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะด้วยความกระวนกระวายใจ
“จื๋อหย่า ที่จริงหากเมื่อครู่เจ้าพูดว่า ‘ท่านหมอกล่าวว่าไม่เป็นไร แต่จื่อเฉายังคงไม่ได้สติ ทำให้อดเป็นห่วงมิได้’ ข้าก็มีโอกาสจะไปเยี่ยมสูง” ซ่งชูอีชี้แนะด้วยความจริงใจ
จื๋อหย่าใจไม่ดี คุกเข่าลงไปกับพื้นเสียงดังสนั่น “นายท่าน หย่าผิดไปแล้ว ได้โปรดลงโทษด้วย”
“อืม สมควรลงโทษ” ซ่งชูอีพยักหน้า ยิ้มยิงฟัน “แผนการเงอะงะเกินไป! ยากที่จะบรรลุเป้าหมาย”
จื๋อหย่าตะลึงงันครู่หนึ่ง ซ่งชูอีกล่าวว่าจะลงโทษ ดูเหมือนไม่ใช่เพราะนางคิดแผนการน้อยๆ แต่เป็นเพราะแผนการนี้โจ่งแจ้งเกินไปงั้นหรือ?
ซ่งชูอีโน้มตัว ยื่นมือตบๆ ไหล่ของนาง ปลอบโยนด้วยใจจริง “คนส่วนใหญ่มิอาจมีทักษะและเป็นธรรมชาติในช่วงแรก ล้มเหลวครั้งหนึ่งมิใช่เรื่องสลักสำคัญ เจ้าจงปลงเสียเถิด พยายามต่อไป”
ลมหนาวเสียดแทงกระดูกยิ่ง ครั้นซ่งชูอียื่นมือออกไปก็ถูกบาดจนเจ็บปวดทันที นางรีบสอดมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเดินไปที่ห้อง บ่นพึมพำ “ไม่รู้ว่าพวกเขากลับกันมาหรือยัง”
จื๋อหย่าหมอบตัวอยู่บนพื้น หันหน้าลอบมองแผ่นหลังของซ่งชูอีด้วยความพิศวงในใจ นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง จึงนึกขึ้นได้ว่ายังมิได้ก่อไฟภายในห้อง รีบลุกขึ้นไปเผาถ่านทันที
จื๋อหย่าถืออ่างใส่ถ่านเข้ามาในห้อง เห็นซ่งชูอีกำลังขดตัวเป็นวงกลมอยู่บนเตียงมองตรงไปยังหลังคา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกระทำการด้วยความแผ่วเบา ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ รบกวนนาง
ครั้นก่อไฟแล้ว เพียงครู่หนึ่งภายในห้องก็อบอุ่นขึ้น ชั่วประเดี๋ยวเดียวซ่งชูอีก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง เรียกจื๋อหย่าให้เข้าไปหา “เจ้าเคยอ่านหนังสือหรือไม่?”
“เคยอ่าน ‘กวี’ เจ้าค่ะ” จื๋อหย่าคุกเข่าอยู่หน้าเตียง ตอบอย่างนอบน้อม
“กวี” ก็หมายถึง “คัมภีร์กวี” ในบทกวีไม่เพียงแต่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก แต่ยังสามารถทำให้เข้าใจเกี่ยวกับ
ธรรมเนียมประเพณีบางอย่างในแต่ละพื้นที่ด้วย เด็กสาวที่เคยอ่าน “คัมภีร์กวี” นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้แล้ว
“เยี่ยม” ซ่งชูอีพยักหน้า “เข้าใจในดนตรีหรือไม่?”
จื๋อหย่าลังเลครู่หนึ่ง คิดว่ามิอาจปิดบังเรื่องนี้กับซ่งชูอีได้ จึงกล่าวว่า “พี่สาวเข้าใจเจ้าค่ะ”
ใช่ว่าหญิงผู้สูงศักดิ์ทุกคนจะเข้าใจในจังหวะดนตรี ซ่งชูอีถามอีก “รู้จักระเบียบแห่งโจวหรือไม่?”
จื๋อหย่ามองซ่งชูอีแวบหนึ่ง แล้วหลุบตาลงพูดเสียงเบา “พี่สาวรู้เจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีถอนหายใจ ช่างเถอะ รู้ธรรมเนียมขั้นพื้นฐานก็ไม่นับว่าหยาบโลน จึงถามต่อ “เดินหมากเป็นหรือไม่?”
ครานี้จื๋อหย่ากล่าวได้อย่างคล่องปากและไม่ลังเลอีก “พี่สาวเดินเป็นเจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีมองนาง อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรจริงๆ รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ไม่มีความรู้ความสามารถเอาเสียเลย! ที่จริงหากอยู่ในบรรดาหญิงสูงศักดิ์ทั่วไป ระดับจื๋อหย่านั้นไม่นับว่าเก่งอะไรเลย นางได้รับการอบรมเลี้ยงดูไม่ต่างจากพี่สาวทว่ากลับไร้ความชำนาญใดๆ ชวนให้น่าติเตียนโดยแท้!
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซ่งชูอีจึงถอนหายใจเอ่ย “จื๋อหย่าเอ๋ย ข้าคิดว่าหากไม่ตั้งใจเหมือนพี่สาวเจ้าไม่ได้หรอกนะ!”
“นายท่าน!” จื๋อหย่ารีบพูด “หย่าเรียนรู้ได้เจ้าค่ะ!”
“ดี บนโต๊ะมีตำราม้วนหนึ่ง เจ้าเอาไปอ่าน ไม่เข้าใจถามข้าได้” ซ่งชูอีเห็นนางดีใจขึ้นมาเล็กน้อย พูดต่อ “โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตาแล้ว”
“หย่าทำได้แน่นอน!” แววตาจื๋อหย่าแน่วแน่
“ไปเถิด ข้าจะนอนเสียหน่อย” ซ่งชูอีเอนตัวลง
จื๋อหย่าหยิบสมุดไม้ไผ่ขึ้นมาจากโต๊ะตัวเตี้ย ค้อมตัวแล้วถอยออกไป
ซ่งชูอีหลับตาลง เดิมทีเตรียมจะคิดเรื่องบางอย่าง แต่คิดไม่ถึงว่าจะสะลึมสะลือจนผล็อยหลับไป ระหว่างที่อยู่ในภวังค์นั้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน มีคนทุบประตูเสียงดังปังๆๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องตะโกนของจีเหมียน “หวยจิน! หวยจิน! ซ่งหวยจิน!”
ซ่งชูอีพลิกตัว เอาผ้าห่มคลุมโปงนอนต่อ
ไม่นานก็ได้ยินเสียง “ปัง” ดังสนั่นหวั่นไหว ซ่งชูอีตกใจจนสะดุ้งโหยง เด้งตัวขึ้นมาจากเตียง เหลือบตามองพลันเห็นประตูในห้องตัวเองแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนพื้น ลมหิมะพัดว่อนเข้ามาจากด้านนอก
“จีอู้เม่ย บิดาเจ้า!” ซ่งชูอีคว้าเสื้อผ้ามาสวมลวกๆ มิทันได้ใส่ใจกับการสวมถุงเท้าก็พุ่งออกไปราวกับสายลม ทันใดนั้นนางเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งแต่มิได้สนใจ ครั้นเห็นจีเหมียนยืนตัวแข็งทื่อจึงเดินเข้าไปคว้าตัวเขา “หาคนมาติดตั้งประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
การปฏิบัติต่อแขกที่ปรึกษานั้นดีกว่าแขกทั่วไปมาก ทว่าหลังจากแบ่งสรรที่พักกันเสร็จสิ้น นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายจำเป็นและค่าใช้จ่ายพิเศษประจำเดือนแล้ว โดยทั่วไปก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายส่วนอื่นไว้เอง จะไม่ให้ซ่งชูอีร้อนใจได้เยี่ยงไร? นางไม่ได้ต้องการนอนกลางดินกินกลางทราย!
เงียบงันครู่ใหญ่ คนตรงทางเดินถามขึ้น “อู้เม่ย ผู้นี้ก็คือท่านหวยจินหรือ?”
ซ่งชูอีอึ้งไปชั่วขณะ มองไปตามเสียง ในลานมีบัณฑิตราวยี่สิบกว่าคนในชุดขุนนางเป็นระเบียบเรียบร้อย กำลังถือร่มและมองมาที่นางด้วยความตกตะลึงท่ามกลางหิมะโปรยปราย
“หวยจิน…พวก…พวกเขาต่างชื่นชมในชื่อเสียงของเจ้า…อยากมาแวะคารวะ…” จีเหมียนกล่าวตะกุกตะกัก
นี่มันอะไรกัน? ซ่งชูอีไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ โดยปกติแล้วการแวะคารวะอย่างเป็นทางการเช่นนี้ จะต้องส่งสารเพื่อสอบถามเจ้าบ้านว่าสะดวกหรือไม่ก่อนมิใช่หรือ? นางนึกแล้วนึกอีก ก็ไม่เคยได้รับสารใด!
จีเหมียนเห็นดังนี้ก็หัวร่อเสียงดัง เอื้อมมือคว้าไหล่ของซ่งชูอี กล่าวกับบัณฑิตเหล่านั้น “ข้าจะบอกให้ หวยจินเป็นศิษย์สำนักเต๋า เป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง!”
ซ่งชูอีเข้าใจทันใด เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของจีเหมียน!
“ได้ยินไม่สู้พบหน้า ช่างเป็นคนสบายๆ โดยแท้!” มีคนหัวเราะเอ่ย
……………………………….