กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 71 ต้องดูห้าสิ่ง
ยิ่งเข้าสู่ทิศตะวันตก ลมหนาวก็ยิ่งรุนแรง ทว่ากลับไม่มีหิมะตก พื้นดินแห้งผาก ด้วยเหตุนี้การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นมาก ราตรีวันต่อมาก็ถึงชานเมืองกุ้ยหลิงแล้ว
ยามกลางคืนมิอาจเข้านคร จี๋อวี่จึงหาสถานที่เงียบสงบเพื่อพักผ่อนชั่วคราว ที่แห่งนี้ห้อมล้อมด้วยภูเขาและน้ำ ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยในการตั้งค่ายโดยสิ้นเชิง ทว่าบัดนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อีกทั้งยังมีม้าและสัมภาระ หากไม่หาสถานที่พักแรม เกรงว่ายากที่จะอยู่รอดจนถึงฟ้าสาง
บัดนี้ล่วงเลยเข้ายามดึกแล้ว จี๋อวี่สั่งให้คนตรวจสอบโดยรอบก่อน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอันตรายแล้ว จึงสั่งให้ทั้งขบวนรถเข้าไป
เจียนเอนนอนอยู่บนพื้นรถ มองดูซ่งชูอีพลิกตัวไปมาบนเตียงกลางดึก นอนหลับสบายเป็นอย่างยิ่ง อุทานในใจด้วยความพิศวง หากนอนดิ้นเช่นนี้ในเพิงทาส เกรงว่าจะถูกซ้อมไปแล้วกระมัง!
ตกกลางคืนทาสที่ทำงานอย่างตรากตรำก็จะกลายเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่แออัดยัดเยียดอยู่ในเพิงทาส ทาสนับร้อยนอนอยู่ในเพิงเดียวกัน แม้แต่การพลิกตัวยังลำบาก หากนอนอย่างซ่งชูอีจะต้องถูกซ้อมเป็นแน่
ที่จริงการหลับอย่างสบายของซ่งชูอีนั้นมิใช่จุดที่เจียนประหลาดใจที่สุด หลังจากการสำรวจสองวัน สิ่งที่เขาประหลาดใจที่สุดคือ ตำแหน่งการนอนขณะที่ซ่งชูอีตื่นในทุกเช้าล้วนไม่แตกต่างจากตำแหน่งที่เข้านอนในคืนก่อนหน้า ลำตัวตรงเด่ เจียนอดทึ่งในใจมิได้ นี่แหละคือผู้สูงศักดิ์! ร้ายกาจจริงๆ!
รถม้าไหวเอนเล็กน้อยขณะหยุดจอด ซ่งชูอีเปลี่ยนอิริยาบท เอ่ยถามด้วยความสะลึมสะลือ “เจียน ฟ้าสางแล้วหรือ?”
เจียนเลิกผ้าม่านขึ้นอย่างเบามือแล้วมองออกไป จากนั้นก็ตอบด้วยความนอบน้อม “เรียนนายท่าน ฟ้ายังมิสางขอรับ”
“ฟ้ายังมิสางเหตุใดเจ้าถึงยังไม่นอน” ซ่งชูอียื่นมือเข้าไปในผ้านวมด้วยความหงุดหงิด ดึงไป๋เริ่นที่ถูกยัดและดิ้นอยู่ข้างในออกมา กอดผ้านวมแล้วนอนต่อ
ขนสีขาวดุจหิมะของไป๋เริ่นนั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างยิ่ง มันหมอบตัวครางเสียงอิ๋งๆ อยู่ข้างใบหน้าของซ่งชูอี
เจียนหมอบตัวอยู่บนพื้น ในใจยิ่งรู้สึกนับถือซ่งชูอี รู้ว่าเขากำลังทำอะไรโดยไม่ลืมตา! เป็นเทพโดยแท้!
เขาไม่รู้ว่าที่ซ่งชูอีถามมิใช่เรื่องก่อนหน้านี้ นางเพียงแต่ถามไปเรื่อยท่ามกลางความมืดสลัว พลันได้ยินเจียนตอบทันที ก็คิดว่าจะต้องเป็นเพราะยังมิได้นอน ไม่ก็ยังมิได้หลับ จึงได้ถามเช่นนี้
ซ่งชูอีนอนตะแคง แก้มติดอยู่บนผ้านวม ไม่รู้ว่าหมอนอยู่ที่ไหน นางนอนหลับสบายเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นรู้สึกแก้มของตนเปียกชื้น อีกทั้งยิ่งเปียกขึ้นทุกที ยิ่งอุ่นขึ้นทุกที…
นางยื่นมือลูบคลำด้วยความเกียจคร้าน ก็จับโดนหูที่นุ่มหนาของไป๋เริ่น…
ไป๋เริ่น!
ซ่งชูอีลืมตาทันควัน พลันเห็นว่าต้นน้ำอยู่ห่างจากปลายจมูกของนางเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น! หลังจากเสร็จกิจแล้ว ก็ยังสะบัดหยดน้ำมาเกาะปลายจมูกของนางอีกด้วย!
“บิดาเจ้าเถอะ!” ซ่งชูอีส่งเสียงโหยหวน ลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว ยื่นมือหิ้วอุ้งเท้าของไป๋เริ่นขึ้นมา คำรามใส่ “แม่งเจ้าของเล่นเฮงซวย! เจียน เจียน! เอามีดมาให้ข้า! ข้าจะตอนมันทิ้งเสียบัดนี้!”
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้เจียนตกใจกลัวยิ่ง
จี้ฉ่วนรีบรุดเจ้ามา เอ่ยถามอยู่นอกรถ “เกิดเรื่องกระไรขอรับท่าน?”
ไป๋เริ่นยังไม่สามารถเห่าหอนดังหมาป่าที่โตเต็มวัย ได้แต่ส่งเสียงร้องเหมือนลูกสุนัขที่ถูกเหยียบอุ้งเท้าฉับพลัน
ซ่งชูอีเปิดหน้าต่าง โยนไป๋เรินเข้าไปในอ้อมอกของจี้ฮ่วน กล่าวด้วยความโมโห “เอามันไปต้มให้ข้า!”
“ขอรับ!” จี้ฮ่วนตอบรับ อุ้มไป๋เริ่นออกไปจริงๆ
เขามองไป๋เริ่นที่เนื้อตัวสั่นเทาในอ้อมแขน รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะสงสารมัน เพียงแต่รู้สึกว่าเลี้ยงให้โตแล้วค่อยฆ่าจะคุ้มทุนมากกว่า อย่างไรเสียราคาของขนหมาป่าที่งดงามผืนหนึ่งนั้นมีค่ามาก
ระหว่างที่ลังเลอยู่นั้น จี้ฮ่วนก็อุ้มไป๋เริ่นไปข้างกองไฟ เอ่ยถามจี๋อวี่ “หัวหน้า ท่านหวยจินจะเชือดไป๋เริ่นเสียแล้ว ท่านว่าควรจะเชือดหรือว่าไม่เชือดดี?”
แน่นอนว่าจี๋อวี่ได้ยินเสียงคำรามของซ่งชูอีอย่างชัดเจน เขากล่าวโดยมิได้เงยหน้า “เชือดไป๋เริ่นแล้ว เจ้าก็รอถูกเชือดเถิด”
จี้ฮ่วนทอดถอนใจ “ที่แท้ก็เพียงคำพูดด้วยอารมณ์ ข้าก็ว่าท่านหวยจินตระหนี่ถี่เหนียวเพียงนั้น จะเชือดหมาป่าหิมะตอนนี้ได้เยี่ยงไรกัน”
จี้ฮ่วนนับว่าเป็นคนเถรตรงจริงๆ! จี๋อวี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ไม่เลว ตระหนี่ถี่เหนียว”
พบนิสัยเสียอีกอย่างแล้ว
ซ่งชูอีเรียกสาวใช้ยกน้ำเข้ามาในรถม้า หลังจากล้างหน้าแล้วโทสะก็ทุเลาลงบ้าง สั่งเจียนลงรถไปรับไป๋เริ่นกลับมา
ซ่งชูอียัดไป๋เริ่นเข้าไปในมุมหนึ่งของรถ จับอุ้งเท้าให้มันยืนขึ้น เทศนาอย่างดุเดือดเป็นเวลาครึ่งถ้วยน้ำชาก่อนจะขึ้นเตียง เปลี่ยนตำแหน่งแล้วนอนต่อ
ไป๋เริ่นหดตัวอยู่ในมุมหนึ่งอย่างว่าง่าย เจียนไม่เคยเห็นซ่งชูอีโมโหเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งความกะทันหันเช่นนี้ทำให้เสียขวัญยิ่ง ใช้เวลาสักพักกว่าสติจะคืนกลับมา
ฟ้าสว่างแล้ว
หลงกู่ปู้วั่งลุกขึ้นจากเตียง หลังจากล้างหน้าเสร็จแล้วก็ได้ยินบ่าวส่วนตัวเล่าเรื่องที่ซ่งชูอีโมโหให้ฟัง ทว่ากลับไม่รู้ว่าซ่งชูอีโกรธเคืองเรื่องใด จนหลงกู่ปู้วั่งบีบถามอยู่หลายรอบ บ่าวผู้นั้นจึงกล่าวออกมาอย่างเขินอาย
หลงกู่ปู้วั่งได้ยินแล้วตาค้างปากค้าง เกลียดชังตัวเองที่เมื่อคืนนอนหลับเสียสนิท จึงไม่ทันได้ดูเรื่องสนุก เป็นความเสียใจชั่วชีวิตเลยทีเดียว!
เดาจากคำพูดของซ่งชูอีแล้ว ไป๋เริ่นจะต้องปล่อยเบาเป็นแน่ ทว่าเมื่อไป๋เริ่นปล่อยเบาคราวก่อนก็ไม่ได้โมโหถึงเพียงนี้นี่นา? ในใจของหลงกู่ปู้วั่งเปี่ยมไปด้วยคำถาม อยากรู้เหลือเกินว่าไป๋เริ่นทำอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้ซ่งชูอีโมโหถึงเพียงนั้น
ระหว่างที่ทานอาหารเช้า หลงกู่ปู้วั่งดึงตัวสาวใช้ไว้ ให้นางเล่าเรื่องนั้นอยู่หลายรอบ ก่อนจะสวมเสื้อผ้าด้วยอารมณ์ดียิ่ง แล้วไปถามสารทุกข์สุขดิบกับอาจารย์
ทิวทัศน์ของสถานที่ตั้งค่ายงดงามยิ่ง ด้านหน้าเป็นทะเลสาบเล็กๆ ที่มีน้ำแข็งสะสมเป็นชั้นหนา น้ำค้างแข็งชั้นบางๆ ที่กระจายตัวอยู่บนน้ำแข็งนั้นส่องประกายชัดเจนนุ่มนวลภายใต้แสงของรุ่งอรุณ อีกทั้งหน้าผาด้านหลังมีน้ำตกเล็กๆ สายหนึ่ง สายน้ำไหลถูกแช่แข็งกลายเป็นน้ำตกแน่นิ่งทั้งอย่างนั้น ทว่าคล้ายกับว่าสามารถไหลต่อได้ทุกเมื่อ
หลงกู่ปู้วั่งลงจากรถ เห็นซ่งชูอียืนอยู่หน้าน้ำตกแน่นิ่งนั้น
“อาจารย์” หลงกู่ปู้วั่งข่มความอยากรู้อยากเห็นไว้ในใจ ค้อมตัวคำนับซ่งชูอี
“เจ้าดูสิ!” ซ่งชูอีหันมา ยิ้มบอกให้เขาดูน้ำตก “เวลาผันผ่านราวสายนที ไม่หยุดนิ่งแม้ทิวาราตรี[1]เช่นนั้นหรือ!”
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เดาไม่ออกว่ามีความหมายลึกซึ้งใดในคำพูดของนาง จึงลองถาม “อาจารย์จะบอกว่า คำพูดของขงจื้อผิดหรือ?”
“เจ้าคิดว่าคำพูดของขงจื้อผิดหรือ?” ซ่งชูอีถามกลับ
เดิมทีหลงกู่ปู้วั่งคิดว่าการมองแม่น้ำเชี่ยวกรากแล้วทอดถอนใจว่า “เวลาผันผ่านราวสายนที ไม่หยุดนิ่งแม้ทิวาราตรี” นั้นไม่เพียงถูกต้องแต่ยังเปรียบเปรยได้อย่างชัดเจนและแยบยล กาลเวลาก็เหมือนดังสายน้ำและทิวาราตรีก็ผ่านไปโดยไม่หยุดพักมิใช่หรือ? ทว่าครั้นมองสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าคำเปรียบเปรยนี้ดูจะมีปัญหาจริงๆ
“ศิษย์มิทราบ อาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วย” หลงกู่ปู้วั่งประสานมือเอ่ย
“คำกล่าวของขงจื้อนั้นมิผิด เพราะว่าน้ำที่เขาเห็นในตอนนั้น มิใช่น้ำที่อยู่ตรงหน้านี้” ซ่งชูอีเห็นว่าใบหน้าของหลงกู่ปู้วั่งเปี่ยมไปด้วยคำถาม ยิ้มจางๆ พร้อมเอ่ย “เจ้ายังจำเนื้อหาในความเรียงแรกของตำรายุทธพิชัยสงครามซุนจื่อได้หรือไม่?”
ดวงตาของหลงกู่ปู้วั่งเป็นประกาย เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว การทหารต้องดูห้าสิ่ง เรื่องแรกคือเงื่อนไขทางสังคมและการเมือง เรื่องที่สองคือสภาพอากาศ เรื่องที่สามคือภูมิศาสตร์ เรื่องที่สี่คือคุณภาพของแม่ทัพ เรื่องที่ห้าคือแผนการทางทหาร อาจารย์ต้องการจะบอกข้าว่า สรรพสิ่งแปรผันเสมอ จำต้องปรับไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน”
หลายวันนี้ซ่งชูอีหลอกเขาง่ายเกินไป แม้นจะรู้ว่ามันเป็นเพราะอารมณ์ที่ไม่แน่นอนของเขา ทว่าก็ยังอดที่จะสงสัยมิได้ว่าเด็กคนนี้โง่เขลาจริงหรือไม่ จนกระทั่งบัดนี้จึงมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้โง่จริงๆ จึงยิ้มด้วยความพึงพอใจและเอ่ยว่า “หากเจ้านำกองทหารโจมตีรัฐใดก็ตาม แต่ถูกแม่น้ำกั้นกลาง เจ้าจะทำสิ่งใดเป็นอย่างแรก?”
“สังเกตทิศระดับน้ำ ทิศทางและความแรงลม” หลงกู่ปู้วั่งสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงเอ่ยตอบทันที ทว่าซ่งชูอีกลับส่ายหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “หรือต้องดูสถานการณ์ของกองกำลังศัตรูก่อน?”
…………………………
[1] เวลาผันผ่านราวสายนที ไม่หยุดนิ่งแม้ทิวาราตรี ครั้งหนึ่งขงจื้อเคยยืนอยู่ริมแม่น้ำและรำพึงรำพันเช่นนี้ เพื่ออ้างว่าเวลานั้นมีค่า