กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 76 เป้าหมายของซ่งชูอี
ด่านอู่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่ค่อนข้างราบในหุบเขาแคบๆ ทิศเหนือติดกับฉินหลิ่ง ทิศตะวันออกติดกับภูเขาเส่าสีสูงชัน ควบคุมเขตแดนระหว่างฉินและฉู่ เนื่องด้วยติดหุบเขาและแม่น้ำจึงเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่ง่ายต่อการป้องกัน หากเดินทางจากที่นี่ไปยังทิศเหนือ ก็สามารถจู่โจมกวนจงได้โดยตรงจากหนานหยางและเซียงหยาง การครอบครองด่านอู่จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองในทิศเหนือและใต้ของฉินหลิ่งได้ ฉะนั้นมันจึงเป็นสนามรบสำหรับนักยุทธศาสตร์การทหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
เส้นทางจากหนานเหลียงในรัฐหานสู่ด่านอู่นั้นลำบากยิ่ง เดิมทีซ่งชูอีคาดว่าต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือน แต่ด้วยเหตุผลทางสภาพอากาศ กว่าจะถึงป้อมปราการแห่งรัฐฉินจึงต้องใช้เวลามากกว่าสองเดือน
บัดนี้ทั้งม้าและคนต่างอ่อนล้า
ซ่งชูอีเงยหน้ามองภูเขาสูงตระหง่าน ซึมซับบรรยากาศอันน่าเกรงขามที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ความทรงอำนาจนั้นยากที่จะบรรยาย สายลมที่พัดผ่านหุบเขาส่งเสียงคำรามดุจพยัคฆ์ร้ายทีสูญเสียการควบคุม ใบไม้เหี่ยวแห้งปลิวกระจัดกระจายเป็นระลอกคลื่น
“ท่าน นี่ก็คือด่านอู่แห่งรัฐฉินขอรับ!” จี้ฮ่วนคำรามต้านสายลมด้วยความยินดี
พวกผู้ชายถูกกระตุ้นจนเลือดพลุ่งพล่าน ไม่ใช่เพียงเพราะในที่สุดก็มาถึงด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยทิวทัศน์ที่ตั้งผงาดอยู่ตรงหน้า
อาการป่วยของหลงกู่ปู้วั่งเกือบฟื้นตัวแล้ว เขาพันรอบตัวเองด้วยขนสุนัขจิ้งจอกลงมาจากรถ
“ท่าน เข้าด่านเถิด” จี๋อวี่กล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า จี๋อวี่ก็เรียกให้ขบวนรถออกเดินทาง
เส้นทางสายนี้ล้วนเป็นเนินทั้งหมด ม้าและคนที่เหนื่อยอยู่ก่อนแล้วเคลื่อนไหวได้ช้าเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยิ่งขึ้นสูง เนินก็ยิ่งชัน หนทางก็ยิ่งแคบลง แทบต้องหยุดพักทุกๆ สิบก้าว
ไป๋เริ่นวิ่งอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนรถ ตามมาด้วยผู้อารักขาสิบกว่านาย ซ่งชูอีกับหลงกู่ปู้วั่งเดินรั้งท้าย
ครั้นมาถึงหน้าประตูนครด่านอู่ ทุกคนก็ถูกทิวทัศน์ตรงหน้าสะกดทันใดจนลืมแม้กระทั่งความเหนื่อยไปเกือบสิ้น หากมองลงมาจากด่านอู่ ท่ามกลางแสงพลบค่ำนั้น พื้นดินกว้างใหญ่ยืดเหยียดออกไปสุดลูกหูลูกตาบรรจบกับท้องฟ้าไพศาล กลมกลืนเข้าด้วยกันคล้ายไร้พรมแดน เทือกเขาสองฝั่งซ้ายขวายาวเหยียดร่วมสิบลี้เป็นเหมือนงูหลามโบราณที่ขดตัวเป็นวง กำแพงนครที่ทำมาจากดินทอดตัวยาวไปตามเทือกขาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
หลงกู่ปู้วั่งข่มความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้นกะทันหันในทรวงอก อดกลั้นไว้ไม่ตะโกนออกมาเสียงดัง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะอุทานเสียงต่ำ
‘เห็นทิวทัศน์ที่คุ้นเคยอีกแล้ว!’ ซ่งชูอีแอบทอดถอนใจ ลักษณะของหล่งซีเป็นเช่นนี้แทบทั้งหมด ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหล่งซีจึงจะมีอุปนิสัยตรงไปตรงมาและห้าวหาญเช่นนี้ รวมถึงความเลือดร้อนที่ยอมตายแต่มิยอมอ่อนข้อ
ซ่งชูอีรู้สึกมาตลอดว่าตวนหยางโหวที่ตนรับใช้นั้นเป็นดอกไม้ป่าที่ละเอียดอ่อนบนดินแดนป่าเถื่อนแห่งหล่งซี ตั้งแต่รัฐฉินจนถึงเว่ยตะวันตก เกรงว่าก็ยังไม่เคยเจอบุรุษผู้ไร้ความทะเยอะทะยานเช่นเขา
“ไปเถิด” ซ่งชูอีเอ่ยปาก ดึงสติของแต่ละคนที่กำลังตะลึงงันกลับมา
“อาจารย์ มิน่าเล่าชาวฉินจึงเก่งด้านการสู้รบ แม้แต่ข้าที่เห็นทิวทัศน์กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ก็อยากจะวาดดาบต่อสู้กับศัตรูอย่างไร้กังวลสักครา” หลงกู่ปู้วั่งอุทาน
ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ ดึงกระชับเสื้อคลุม ขึ้นไปนั่งบนรถม้า หยิบเอกสารส่งให้จี๋อวี่แล้วหาตราประทับมาถือไว้ในมือ ผู้อารักขาสองข้างเปิดประตูรถ เพื่อให้คนมองเห็นด้านในได้ถนัดตา
ไป๋เริ่นวิ่งขึ้นรถไปอย่างร่าเริง หมอบอยูบนตักของซ่งชูอี
หลงกู่ปู้วั่งก็รีบขึ้นรถไปเช่นกัน
จี๋อวี่จัดขบวนรถเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ประตูนครอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
บรรดาพ่อค้าส่วนใหญ่จากรัฐต่างๆ มักเข้ารัฐฉินทางด่านหานกู่ เนื่องจากเส้นทางราบเรียบ สามารถมุ่งเข้าสู่เสียนหยางได้ทันที ทำให้การเดินทางไม่ล่าช้า ด้วยเหตุนี้หน้าประตูด่านอู่จึงว่างเปล่า ไม่จำเป็นต้องต่อแถวเลย
นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ซ่งชูอีเลือกเส้นทางนี้เข้ารัฐฉิน
ครั้นเดินทางมาถึงหน้าประตูเมือง จี๋อวี่ยื่นเอกสารในมือให้กับทหารรักษาประตู
ยุคสมัยนี้คนรู้หนังสือมีน้อย ทว่าเอกสารระหว่างรัฐมักจะมีเครื่องหมายพิเศษกำกับไว้ ด้วยเหตุนี้เพียงทหารนายนั้นกวาดตาครู่หนึ่งก็รับเอกสารไว้ทันที ประสานมือคำนับ “ท่านราชทูตได้โปรดรอสักครู่”
สิ้นวาจา ก็ถือเอกสารจ้ำอ้าวเข้าไปข้างใน
ไม่นานก็นำคนจำนวนหนึ่งเดินออกมา โดยมีอาลักษณ์สวมเสื้อแขนกว้างสีดำท่านหนึ่งอยู่หน้าสุด ด้านหลังของเขามีนายทหารในชุดเกราะสีดำสองนาย
รัฐฉินชื่นชอบสีดำ สีชุดเกราะดำทมึน ด้วยเหตุนี้จึงดูเคร่งขรึม ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ
อาลักษณ์เดินมาหยุดอยู่หน้ารถ ซ่งชูอีถือตราประทับและหนังสือรับรองแห่งรัฐลงจากรถ
ครั้นอาลักษณ์เห็นซ่งชูอีแล้วก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ต้องการจะเปิดปากถาม ทว่าสายตาก็หยุดอยู่ที่ตราประทับในอ้อมอกของนาง ประกายความเหลือเชื่อวูบผ่านดวงตา ในที่สุดก็กลับมาสงบดังเดิม ประสานมือค้อมคำนับเอ่ย “ข้าน้อยเป็นผู้ช่วยนายอำเภออู่นามว่ากานเผิง ขอต้อนรับท่านราชทูต”
ซ่งชูอีค้อมตัวคำนับเล็กน้อย “ข้าน้อยราชทูตจากรัฐเว่ย์ ซ่งหวยจิน”
กานเผิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับหนังสือมาจากมือของซ่งชูอี สำรวจดูด้านนอกที่ปิดผนึกอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าเป็นหนังสือรับรองจากรัฐเว่ย์จึงส่งคืนด้วยสองมือ ยิ้มเอ่ยเล็กน้อย “นายอำเภอสุขภาพไม่ใคร่ดีนัก จึงให้ข้าน้อยเป็นตัวแทน ท่านราชทูตได้โปรดอย่าถือสา”
หากมีมากกว่าหนึ่งหมื่นครัวเรือนจะเรียกว่าผู้ว่าการเขต หากมีต่ำกว่านั้นก็จะเรียกว่านายอำเภอ แม้นอำเภอกู่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ทว่าประชากรกลับไม่หนาแน่นนัก
“ท่านผู้ช่วยกานกล่าวเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีรับหนังสือรับรองแห่งรัฐกลับมา เข้าไปในด่านด้วยกันกับกานเผิง
หลังจากที่เข้าไปแล้ว ซ่งชูอีกลับสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นจากทหารในเสื้อเกาะจากหอสังเกตการณ์ใกล้เคียง ความเคร่งครัดของทหารอารักขานั้นออกจะอยู่เหนือความคาดหมายอยู่บ้าง หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางก็พอเข้าใจความเข้มงวดของจวินองค์ใหม่อยู่ไม่มากก็น้อย ไม่น่าจะเกิดความวุ่นวายภายใน…หรือว่าเพื่อป้องกันรัฐฉู่? แต่ตลอดเส้นทางก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวนี่นา
พิจารณาสักพัก ซ่งชูอีก็ลองถามดู “ด่านอู่เตรียมการเข้มงวดเยี่ยงนี้ หรือเป็นเพราะความไม่สงบระหว่างรัฐฉินฉู่?”
กานเผิงลอบพินิจพิเคราะห์อยู่ในใจว่าเหตุใดรัฐเว่ย์จึงส่งเด็กหนุ่มที่ยังไม่สวมเครื่องกวนมาเป็นราชทูต พลันได้ยินคำถามของซ่งชูอีจึงยิ้มเอ่ย “มิใช่เช่นนั้น ซางยางก่อการกบฏ ไม่รู้ว่าอยู่หนใด ท่านจวินทรงรับสั่งให้สังหารได้ทันที”
ไม่ไกลออกไปทางทิศเหนือของด่านอู่คือพื้นที่พระราชทานของซางยาง แน่นอนว่าด่านกู่จึงต้องเตรียมพร้อมแน่นหนา
“ซางยางเคยเป็นขุนนางคนสนิทของท่านจวิน การก่อกบฏต้องทำให้ผู้คนขุ่นเคืองเป็นแน่” ซ่งชูอีกล่าวไปตามสถานการณ์ตรงหน้า จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ที่ข้ามาคราวนี้เพราะมีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับรัฐฉิน หวังว่าท่านผู้ช่วยจะปกปิดเป็นความลับ”
“ข้าน้อยจะทำตามคำร้องขอของท่านราชทูต” กานเผิงคิดในใจ รัฐเว่ย์เล็กๆ อีกทั้งยังอยู่ไกลจากรัฐฉินเพียงนั้นจะสามารถมีเรื่องสำคัญใดได้! อย่างไรก็ดี ครั้นเขาได้ยินซ่งชูอีกล่าวว่ามันเกี่ยวข้องกับรัฐฉินแล้ว ก็มิกล้าประมาทเลินเล่อ ไม่กลัวความน่าจะเป็นแต่กลัวความเป็นไปได้ เขาไม่สามารถทำงานผิดพลาด
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กานเผิงเอ่ย “เช่นนั้น ข้าน้อยจะไม่ส่งท่านแม่ทัพใหญ่ติดตามไป แต่จะส่งสิบคนเพื่อแสร้งนำทาง ป้องกันมิให้ถูกเปิดโปง บัดนี้รัฐฉินไร้ซึ่งโจรภูเขา ราชทูตได้โปรดวางใจ”
“ท่านผู้ช่วยรอบคอบยิ่งนัก” ซ่งชูอีประสานมือน้อยๆ
กานเผิงพาซ่งชูอีและคนอื่นไปยังจุดพักม้าเพื่อพักผ่อนและจัดแจงรถม้า
ซ่งชูอีแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ ชำระล้างดินโคลนบนตัวจนสะอาดสะอ้าน ครั้นเห็นว่าไป๋เริ่นเนื้อตัวเปรอะเปื้อน ก็โยนมันเข้าไปในอ่างน้ำด้วย
ไป๋เริ่นตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำต้องการจะปีนขึ้นด้านบน ครั้นคว้าขอบอ่างได้แล้วก็ราวกับเพิ่งรู้สึกว่าน้ำร้อนนั้นสบายมาก จึงอยู่ข้างในและไม่ออกมาแล้ว! ซ่งชูอีนั่งหัวเราะหึหึอยู่ข้างอ่าง ช่วยมันนวดขน
ไป๋เริ่นวางหัวอยู่บนขอบอ่าง หรี่ตาลงอย่างสบายตัว
“ช่างรู้จักเพลิดเพลินเสียจริง!” ซ่งชูอีตบๆ มันเบาๆ ไล่มันออกมาจากน้ำ ลุกขึ้นหยิบผ้าสะอาด กำลังจะเตรียมเช็ดตัวให้มัน จู่ๆ ไป๋เรินก็สะบัดขนจนนางเปียกไปทั้งตัว
“เจ้าเนรคุณ!” ซ่งชูอีคำรามด้วยความโกรธ โยนผ้าไปที่หัวของมัน สั่งให้คนนำเสื้อผ้าอีกชุดเข้ามา
หลังจากการเดินทางที่ยาวนานติดกันกันกว่าสองเดือน ทั้งคนและม้าเหนื่อยล้าเป็นที่สุด ดังนั้นซ่งชูอีจึงสั่งให้พักที่อำเภออู่หนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยออกเดินทาง
ซ่งชูอีบีบน้ำบนผม นั่งข้างเตาไฟผิงให้แห้ง
นางเหนื่อยล้ามาก ทว่าไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย นอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นคลุมตัวด้วยขนแกะหนา ออกไปเดินเล่นที่เฉลียง
รัฐฉินคือจุดประสงค์ในการเดินทางของนาง
แม้นจะหาความมั่นคงได้โดยง่ายในรัฐเว่ย์ ทว่าไม่มีพื้นที่ให้ใช้ความคิดริเริ่ม หากเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ช้าก็เร็วหมิ่นฉือจะสวามิภักดิ์ต่อรัฐเว่ย นางไม่พึ่งพารัฐที่มีอำนาจสูสีกับเว่ยแล้วจะขับเคี่ยวกับเขาได้เยี่ยงไร?
ในอดีตซ่งชูอีเคยอยู่ระหว่างรัฐฉินและเว่ยห้าถึงหกปี ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจสถานการณ์ทั้งสองรัฐเป็นอย่างยิ่ง รัฐฉินมิใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเจ็ดมหานครรัฐ แต่ซ่งชูอีก็เห็นว่ารัฐฉินเปล่งประกายด้วยพลังอันเปี่ยมล้นหลังการปฏิรูป
การยืมมือพยัคฆ์เช่นรัฐฉินมาดำเนินทฤษฎีการโค่นรัฐของนางคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว!
ยังอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่นางเลือกรัฐฉินก็คือ รัฐฉินยังคงมีคำสั่งแสวงหาผู้มีความสามารถจวบจนปัจจุบัน การแสวงหานี้จะไม่ถามถึงสถานะ ไม่มีรูปแบบตายตัว ใช้เพียงความสามารถเท่านั้น ใต้หล้านี้ หากรัฐฉินไม่สามารถเปิดใจกว้างต่อสถานะเพศของนางก็ไม่มีรัฐใดที่จะใจกว้างกับนางอีกแล้ว
แม้ว่าตอนนี้นางยังสามารถปกปิดเพศได้ชั่วคราว ทว่าคำเท็จก็คือคำเท็จ ถึงอย่างไรก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกเปิดโปง
ไปรัฐฉินครานี้ ไม่จำเป็นต้องสวามิภักดิ์ทันที
บัดนี้นางยังดูอ่อนเยาว์เกินไป แม้นจะเข้าไปรัฐฉินก็ไม่ใคร่เป็นประโยชน์มากนัก ไม่แน่ว่าอาจดองนางไว้สักพักแล้วลืมก็เป็นได้ สู้อยู่ในรัฐเว่ย์ยังมีบทบาทได้อีกมาก ด้วยเหตุนี้นางจึงเพียงต้องการโผล่หน้าไปให้ฉินกงเห็น แสดงตัวอย่างเหมาะสม จากนั้นรอจนแผนเริ่มดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว นางค่อยคิดวิธีเข้ารัฐฉินจะง่ายกว่า
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมยืนตัวตรง ภายในลานมีเพียงดวงไฟสองจุดตรงประตูหลัก ลมแรงพัดผ่าน นางรู้สึกว่าใบหน้าเย็นเล็กน้อย ครั้นยกมือขึ้นลูบคลำกลับเป็นเพียงเกล็ดหิมะ
“ท่านยังมินอนหรือ?” เสียงของจี๋อวี่ดังมาจากอีกฟากของทางเดิน
ซ่งชูอีพยักหน้า เอ่ยถาม “วันนี้เจ้ามิต้องเฝ้ายาม เหตุใดเจ้าจึงยังไม่พักผ่อน?”
“กำลังจะนอน เห็นว่าหิมะตกแล้ว จึงออกมาดู” จี๋อวี่เคยชินกับการพกดาบติดตัว เขาเดินเข้ามาใกล้สองสามก้าว พลันหยุดยืนไม่ไกลจากซ่งชูอี สองมือค้ำดาบ
ซ่งชูอีมองดูท้องฟ้าอันมืดมิด “วางใจเถิด ข้าคิดว่าตกไม่หนัก พายุหิมะในหล่งซีก็เหมือนอารมณ์ของชาวฉิน มีพลังดุดัน ไฉนเลยจะอ่อนโยนเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
“ดูเหมือนท่านจะเข้าใจหล่งซีมากทีเดียว” จี๋อวี่กล่าว
ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “เจ้าเพิ่งรู้หรือ? ข้ามิได้เข้าใจเพียงหล่งซีเท่านั้น”
จี๋อวี่เห็นด้วยกับจุดนี้ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “สายตาที่ท่านมองหล่งซีต่างจากเวลามองที่อื่น”
ซ่งขูอียิ้มพร้อมสำรวจจี๋อวี่รอบหนึ่ง ไม่ประหลาดใจเลยที่อี๋ซือขุยรับลูกศิษย์เช่นเขา จี๋อวี่ดูกำยำและน่าเกรงขาม ที่จริงแข็งนอกอ่อนใน ไม่เหมือนกับจี้ฮ่วนที่แข็งทั้งข้างนอกและข้างใน
“อืม…เดิมทีข้าคิดว่าที่นี่จะเป็นที่เสวยสุขของข้า แต่กลับเป็นหลุมฝังศพของข้า ทว่าเมื่อได้มายืนที่นี่อีกครั้ง ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ยเชื่องช้า
จี๋อวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย คำพูดนี้ไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาฟังไม่เข้าใจ รู้เพียงว่านี่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของซ่งชูอี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ถามต่อให้มากความ
……………………………