กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 8 ผู้ไร้ประโยชน์ที่ท้าทายฟ้าดิน
ผ่านไปสักพัก ก็ยังคงไร้วี่แววใดๆ เจ้าอี่โหลวมองนางด้วยความสงสัย “เพิ่งจะเริ่มรบกันเท่านั้น เจ้าก็มองออกแล้วหรือว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ชนะ?”
“เห็นรึเปล่า” ซ่งชูอีถอนหญ้าขึ้นมาต้นหนึ่ง แล้วชี้ไปยังท่ามกลางความวุ่นวายนั้น
ในใจของเจ้าอี่โหลวไม่เชื่อด้วยซ้ำว่านางรู้เรื่องสงคราม แต่ก็ยังโน้มตัวเข้าใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มองไปยังตำแหน่งที่หญ้าในมือของนางชี้ไป ชุดเกราะสีน้ำตาลค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมแหลม
“นี่เรียกว่ากองทัพห่านป่า วิธีการรบนี้ปีกทั้งสองข้างมีความคล้ายคลึงกัน หากเน้นการโจมตีด้วยธนูก็จะสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ว่ามุมตัดนั้นแคบเกินไป ไม่อาจโอบล้อมศัตรูได้ ทำได้เพียงใช้ธนูโจมตีเท่านั้น อีกทั้งไม่สามารถเคลื่อนตัวในที่ราบได้อย่างรวดเร็ว หากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษ วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับพื้นราบ ภูมิประเทศเช่นนี้ ความแตกต่างกันทางกองทหารเช่นนี้…” ซ่งชูอีเห็นร่องรอยของปีกซ้ายที่ถูกโจมตีเล็กน้อย จิ๊ปาก กุมหน้าผากแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะต้องเจอ ‘ผู้วิเศษ’ ท่านนี้ให้ได้สักวัน ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ ช่าง…ท้าทายฟ้าดินเสียจริง”
การทำสงครามก็คือการสร้างรูปแบบอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกับการต่อสู้แบบกลุ่มที่เมื่อสิ้นเสียงคำสั่ง ทั้งสองฝ่ายก็ตะลุมบอนอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากกำลังคนค่อนข้างอ่อนแอ ฉะนั้นเวลาออกล่าสัตว์จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ ตั้งแต่บัดนั้นการสร้างการป้องกันขั้นพื้นฐานและการซุ่มโจมตีจึงได้ถือกำเนิดขึ้น ต่อมาการสู้รบทางทหารก็ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งนี้
ดังนั้นการเลือกใช้รูปแบบกองทัพที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญแห่งชัยชนะ
ภูมิประเทศสนามรบค่อนข้างแบนราบ ละอองฝุ่นในฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีมาก ทันทีที่ออกวิ่งก็จะเกิดควันดำทั่วทุกที่ นอกจากวิสัยทัศน์ที่เลวร้ายแล้ว ฝุ่นยังสามารถเข้าตาของทหารได้อย่างง่ายดาย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กองทัพห่านป่าจะมีแต่จุดอ่อนเต็มไปหมด
อย่างไรก็ตามกองกำลังในชุดเกราะสีน้ำตาลมีข้อได้เปรียบอย่างมาก การใช้รูปแบบทหารเช่นนี้ ในที่สุดซ่งชูอีก็มาถึงข้อสรุป “ผู้นำทัพคนนี้ หากไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์ที่ท้าทายฟ้าดินแล้ว ก็เป็นหนอนบ่อนไส้!”
“เช่นนั้นทหารรัฐเจ้าแพ้แล้วรึ?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยถาม
ซ่งชูอีมองเขา พูด “น่าจะเป็นชัยชนะที่น่าเศร้ามากกว่ากระมัง มีกำลังคนมากกว่าอีกฝ่ายขนาดนั้น หากยังพ่ายอีกล่ะก็…”
ซ่งชูอีมองดูสนามรบเบื้องล่างที่น่าเวทนาจนไม่อาจจะมองดูได้อีกครั้ง บ่นพึมพำ “ลางไม่ดีเลย! ลืมตาขึ้นมาก็เห็นสนามรบอันน่าผิดหวังเช่นนี้ นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าชั่วชีวิตของข้าซ่งชูอีจะบัดซบทั้งชีวิตหรืออย่างไร?”
เจ้าอี่โหลวมองซ่งชูอีเงียบๆ หญิงชนชั้นสูงเอ๋ย! มีหญิงชนชั้นสูงที่พูดจาหยาบคายเช่นนี้ด้วยหรือ? หากเขามิได้ติดตามขบวนเกี้ยวเจ้าสาวโดยบังเอิญ และหากได้พบกับนางโดยไม่ได้ตั้งใจ บัดนี้จะต้องสงสัยเป็นแน่ว่าที่นางบอกว่าตนเป็นหญิงชนชั้นสูงนั้นเป็นเรื่องจริงหรือหลอก
“ไป กลับ” ซ่งชูอีดึงเจ้าอี่โหลวให้ลุกขึ้น รีบลงจากภูเขา
“เจ้าจะรีบร้อนไปใย ข้ายังดูไม่จบเลย” เจ้าอี่โหลวเกรงกลัวการสู้รบ แต่หลังจากได้ฟังซ่งชูอีเมื่อครู่แล้ว รู้สึกว่าอยากดูต่อสักหน่อย หากต้องหนีตายในภายภาคหน้าก็น่าจะเป็นประโยชน์ทีเดียว
ซ่งชูอีพูดด้วยความโมโหโดยไม่หันกลับมามอง “ดูไปตาเจ้าจะบอดเสียเปล่า! ระวังดูมากไปจะกลายเป็นพวกโง่!”
เมื่อทั้งสองลงไปจากภูเขาพร้อมกับการเก็บเกี่ยวในวันนี้ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
เจ้าอี่โหลวกำลังล้างเห็ดที่เก็บได้จากบนเขาในวันนี้อยู่ข้างลำธาร มองซ่งชูอีที่กำลังเก็บรวบรวมหินก้อนเล็กๆ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าหันไปหันมา สงสัยในใจ ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไร
วันนี้คำพูดของซ่งชูอีที่บนเขาจับใจเจ้าอี่โหลวอย่างลึกล้ำ แน่นอนว่าเข้าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของนาง เพียงแต่รู้สึกว่านางเป็นผู้ที่มีความรู้มาก ในโลกใบนี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้มีความรู้ปรากฏตัว แต่ละรัฐก็ต่างแย่งกันเชื้อเชิญ ฉะนั้นแม้ซ่งชูอีจะยังพูดจาสบถ แต่ในใจของเจ้าอี่โหลวก็ประเมินซ่งชูอีไว้สูงมาก
เจ้าอี่โหลวเห็นว่าในที่สุดนางก็พบสถานที่ที่เหมาะสม คุกเข่าลง วางเรียงก้อนหินเล็กๆ เป็นรูปร่างบนพื้น ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะไปรบกวน
ซ่งชูอีกำลังเรียงหินเพื่อทำนายชะตาของตนเอง นางยังคงติดอยู่กับสนามรบที่เห็นก่อนหน้านี้ นางมีอายุจนปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นสงครามที่ฆ่าตัวเองเช่นนี้ ขณะที่กำลังเชื่อมโยงกับวาระสุดท้ายในชาติก่อนของนาง พลันคิดว่ามันคือโชคชะตาหรืออย่างไรกัน?
บิดาของซ่งชูอีเก่งกาจด้านดาราศาสตร์ ท่านอาจารย์ค้นคว้าเรื่องการกลับชาติมาเกิดของสรวงสวรรค์รวมถึงสัญลักษณ์แห่งหยินหยาง ดังนั้นซ่งชูอีจึงรับอิทธิพลมาไม่น้อย และได้สร้างแผนผังการพยากรณ์โหราศาสตร์ด้วยตนเอง เพียงแต่ แม่นยำแล้วก็…
แม้ว่าซ่งชูอีจะไม่ได้ดูการสู้รบจนจบ แต่ตอนที่เริ่มรบกันก็ใกล้ค่ำแล้ว การมองเห็นก็แย่ลงทุกที แม้ว่าต่อมาทหารเจ้าจะเปลี่ยนรูปแบบกองทัพ แต่ก็ยังคงเป็นการต่อสู้ที่ชวนน่าโมโหอยู่ดี
ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นาน เจ้าอี่โหลวต้มเห็ดจนสุกนานแล้วและยังใส่เนื้อไก่ลงไปหลายชิ้น เขาเห็นว่าซ่งชูอีไม่มีทีท่าจะกินข้าว จึงตักออกมาครึ่งหนึ่ง ถือชามย่อตัวลงข้างนาง ดื่มน้ำแกงพลางมองดูนางเรียงก้อนหิน
ตอนเช้าซ่งชูอีกินแป้งทอดเพียงชิ้นเดียว รู้สึกหิวนานแล้ว เมื่อได้กลิ่นแกงเห็ด ท้องก็ส่งเสียงร้องราวฟ้าผ่า
“ของเจ้าอยู่ทางโน้น” เจ้าอี่โหลวเห็นซ่งชูอีจ้องชามในมือของเขา ดวงตานั้นราวกับเปล่งแสงสีเขียว เขารีบถอยหลังไปสองก้าว
ซ่งชูอีโยนก้อนหินทิ้ง พุ่งไปที่น้ำแกงทันที เห็นเห็ดดำๆ ลอยอยู่ในหม้อสีดำๆ ก็ยิ้มกว้าง ห่อมันด้วยแขนเสื้อแล้วเอาลงมาจากกองไฟ เป่าความร้อนออกอย่างอดใจรอไม่ไหว
เจ้าอี่โหลวกำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต เขาเตร็ดเตร่อยู่บนเขาทั้งวันก็รู้สึกหิวสุดขีด ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาต่อสู้อย่างหนักอยู่ในชามของตัวเอง และซ่งชูอีก็ลืมเรื่อง ‘คำทำนายของสวรรค์’ ไปแล้ว
หลังจากกินเห็ดชิ้นสุดท้าย ซ่งชูอีส่งเสียงเรอ นอนแผ่อยู่บนกองฟาง มองดูดวงดาวที่ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า พูดขึ้น “ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันนี้อากาศจะเปลี่ยนแปลง”
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?” เจ้าอี่โหลวหยุดเลียชาม
“ข้านับนิ้วเอา” หลังจากบิดาของซ่งชูอีสิ้นแล้ว ก็ไม่มีใครสอนนางดูดาวอีก ส่วนวิธีนี้เป็นเพียงความเข้าใจโดยรวมเท่านั้น บวกกับได้อ่านตำราจำนวนหนึ่งที่บิดาของนางทิ้งไว้ให้ก็เข้าใจเพียงผิวเผิน บิดาของนางก็หาใช่บัณฑิตใหญ่อะไร เพียงมีตำราพื้นฐานเล่มสองเล่ม บวกกับประสบการณ์ทั่วไป แต่ละบ้านต่างเก็บตำราการดูดาวที่แท้จริงไว้เป็นความลับ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมแสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น
“หากอาศัยเพียงกองฟางพวกนี้ ไม่พอที่จะผ่านฤดูหนาวเป็นแน่” ซ่งชูอีมองดูเสื้อผ้าบนตัวเองและเจ้าอี่โหลว ในใจคิดว่าจะต้องออกไปจากที่นี่ “นอนเถิด ไว้รุ่งสางค่อยหารือเรื่องนี้อีกที”
อาจเป็นเพราะเพิ่งมาเกิดใหม่ ซ่งชูอีรู้สึกว่าเหนื่อยง่ายเป็นพิเศษ หลังจากกินอิ่มก็เริ่มง่วงแล้ว เจ้าอี่โหลวพยักหน้าและมุดไปในกองฟาง
ความแม่นยำในการดูดาวของซ่งชูอีมักมีข้อจำกัดอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามคราวนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นางทายถูกเข้าให้แล้ว!
ขณะที่นอนหลับอยู่นั้นฝนก็เริ่มตกลงมาโดยไม่คาดคิด หากนอนฟังเสียงฝนอยู่ภายในเรือนที่อบอุ่นก็อาจยิ่งหลับได้ง่ายขึ้น แต่ซ่งชูอีกับเจ้าอี่โหลวดูเหมือนจะถูกเสียงฝนปลุกให้ตื่น ทั้งสองคนงัวเงียเพียงชั่วครู่ แล้วความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้งทันใด
พวกเขาเริ่มเก็บกองฟางบนพื้นอย่างเข้าใจทันทีโดยไร้คำพูดใดๆ ช่วงย่างเข้าฤดูหนาวเช่นนี้ กองฟางพวกนี้คือชีวิตของพวกเขา ถ้าเสียกองฟางไป อุณหภูมิจะลดลงอย่างฉับพลัน และจะแข็งตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่หลบฝนใต้กำแพงหินไม่ใหญ่นัก อุณหภูมิในคืนฝนตกต่ำมาก ลมหายใจที่พ่นออกกลายเป็นหมอกสีขาว เสื้อผ้าที่ทั้งสองสวมใส่นั้นเบาบาง โชคดีที่ยังเหลือฟืนแห้งจากก่อนหน้านี้อยู่บ้าง เจ้าอี่โหลวเก็บเอาบางส่วนไปจุดไฟแล้ว
ผิงอยู่หน้ากองไฟ ซ่งชูอีรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ว่ายังไม่กล้านอนหลับ นางเกรงว่าหากตัวเองป่วยไข้เพราะลมหนาวอีก ก็อาจไม่โชคดีพอที่จะได้รับเยียวยาได้อย่างทันท่วงที นางไม่อาจคาดหวังให้สวรรค์ดูแลนางได้ทุกครั้ง
เจ้าอี่โหลวก้มศีรษะลงกอดเข่า คิดว่าจะงีบต่ออีกสักหน่อย
“ท่านแม่ทัพ ข้างหน้ามีไฟขอรับ!” ทันใดนั้นเสียงหายใจหอบถี่ดังฝ่าเสียงสายฝนยามค่ำคืน และลอยเข้าหูของ
เจ้าอี่โหลวกับซ่งชูอี
เจ้าอี่โหลวรีบไปดับไฟ ซ่งชูอียื่นมือห้ามปรามเขา “คนเขาก็เห็นแล้ว จะดับไฟเพื่ออะไร?”
หากเป็นค่ำคืนที่สดใส ก็ยังสามารถหนีไปที่อื่นได้ แต่บัดดี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีที่ไปแล้ว
……………………………….