กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 81 ไปอาบน้ำด้วยกันเถิด
วันที่สี่ในเสียนหยาง หิมะตกหนักอย่างไร้วี่แวว ปกคลุมทั่วนครเสียนหยางเพียงชั่วข้ามคืน
หลงกู่ปั้วั่งไม่เคยเห็นหิมะตกหนักเช่นนี้มาก่อน หิมะเหล่านั้นที่ตกลงมาจากฟากฟ้าไม่เบาพริ้วดังที่เห็นตามปกติทว่ากลับร่วงลงมาอย่างหนาแน่นและมีน้ำหนัก ดอกเหมยในลานถูกกระแทกจนร่วงหล่นเต็มพื้น จากนั้นไม่นานมันก็ปกคลุมทั่วทุกพื้นที่
ในห้อง แสงไฟในอ่างเผาฟืนวูบไหวอบอุ่น หลงกู่ปู้วั่งเปิดหน้าต่างเป็นช่องเล็กๆ แล้วมองออกไปด้านนอก
ซ่งชูอีสวมเสื้อขนแกะพิงอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราว
“ที่รัฐเว่ย หิมะคงไม่ตกหนักขนาดนี้กระมัง” จู่ๆ ซ่งชูอีกล่าวขึ้น
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “อาจารย์กังวลสหายคนนั้นที่หายตัวไปหรือ?”
กังวลหรือ? นางเหมือนกับว่าไม่เคยกังวลเกี่ยวกับผู้ใดมาก่อน มือของซ่งชูอีลูบไล้ขนของไป๋เริ่น หรี่ตามองดูด้านนอก มิได้พูดกระไร ครั้นหลงกู่ปู้วั่งกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็พลันนึกว่าเจ้าอี่โหลวไม่มีเครื่องนุ่งห่มใดๆ ที่ให้ความอบอุ่น หากเจอหิมะหนักเช่นนี้อยู่ข้างนอกก็คงยากที่จะรอด
ปังปังปัง!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา เอ่ยขึ้น “เข้ามาเถิด”
จี๋อวี่ผลักประตูเข้ามาพร้อมหิมะเต็มตัว หลังจากหมุนตัวปิดประตูแล้ว ก็เดินเข้าไปประสานมือคำนับซ่งชูอี “ท่าน บัดนี้พวกเรารอมาสี่วันแล้ว เหตุใดฉินกงจึงยังมิให้เข้าเฝ้า”
“หิมะตกหนัก ถึงอย่างไรก็ออกเดินทางมิได้ อดทนรออีกสักสองวันเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย หากไม่จำเป็นนางก็จะไม่กระตุ้นไป๋ผิง แม้นเว่ย์เป็นรัฐเล็กๆ ทว่าพวกเขาก็ไม่ถึงกับลืมราชทูตแห่งรัฐ
หลังจากที่รู้จักกันได้สักระยะหนึ่ง จี๋อวี่ยิ่งไว้ใจซ่งชูอีมากขึ้น แผนการทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในมือของซ่งชูอี เขาเพียงต้องทำตามคำสั่ง ด้วยเหตุนี้จึงมิได้ถามให้มากความ
ย่างเข้าราตรี
ประตูเมืองของนครเสียนหยางกำลังปิดลงอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้นในหิมะ ทหารยามบนหอคอยเมืองมองดูรอบๆ ก็เห็นว่าท่ามกลางพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น มีกองทหารม้านับร้อยฝ่าหิมะบนถนนด้วยความเกรียงไกรและเข้าใกล้นครมาอย่างรวดเร็ว
เสียงคำรามลอยมาพร้อมกับลมหิมะจากระยะไกล “ท่านแม่ทัพซือหม่ากลับนคร!”
ทหารยามบนหอคอยมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นกองทหารในชุดเกราะสีดำ เพิ่มระดับเสียงทันที “ท่านแม่ทัพ
ซือหม่ากลับนคร! ลดสะพาน!”
ปกติแล้วทุกนครใหญ่จะมีคูน้ำขุดอยู่ตามแนวกำแพงเมือง และสะพานที่อยู่เหนือคูเมืองก็สามารถพับเก็บได้ด้วยแรงงานคน เสียนหยางก็ไม่มีข้อยกเว้น
ทหารสองกลุ่มแก้โซ่จากบนกำแพงเมือง ค่อยๆ ลดสะพานไม้ที่แข็งแรงและหนักอึ้งลงช้าๆ
สะพานไม้ร่วงหล่นสู่พื้น ส่งเสียงทุ้มต่ำ หิมะที่อยู่โดยรอบฟุ้งกระจาย
กองทหารในชุดเกราะสีดำวิ่งข้ามสะพานไปอย่างว่องไว ทิ้งพิมพ์เกือกม้าไว้บนพื้นดิน ทว่าไม่นานก็ถูกลมหิมะกลบจนสิ้น
กองทหารม้านี้เดินตรงไปตามถนนสายหลัก จนกระทั่งถึงหน้าประตูพระราชวังเสียนหยางจึงหยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขี่ม้าเข้าประตูประราชวังไป แล้วมาหยุดอยู่หน้าท้องพระโรงหลัก
ท่านแม่ทัพพลิกตัวลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว โยนบังเหียนม้าในมือให้ทหารยามที่อยู่ด้านหลัง ก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นบันได
บนบันไดมีชิงต้าฟู[1]อายุกว่าหกสิบผู้หนึ่งถือร่มรออยู่นานแล้ว ครั้นเห็นท่านแม่ทัพก็รีบค้อมตัวคำนับ กำลังจะปริปากก็ถูกเสียงเย็นชาของเขาขัดจังหวะขึ้น “เรียกประชุมราชสำนัก!”
ชิงต้าฟูนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าใบหน้าก็เปี่ยมด้วยความสุข รีบตอบรับเสียงหนึ่ง “พะย่ะค่ะ” จากนั้นก็เดินลงบันไดและฝ่าพายุหิมะออกไปโดยไม่รีรอ
พายุหิมะเริ่มรุนแรงขึ้น
มองดูหิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้า ซ่งชูอีได้ยินเสียงกลองดังมากจากที่ไกลๆ เลือนราง มือที่ลูบไป๋เริ่นหยุดชะงักเล็กน้อย มุมปากเผยยิ้ม “เจ้าฟังสิ”
หลงกู่ปู้วั่งวางสมุดไผ่ลง เงี่ยหูฟังเสียงอย่างตั้งใจ “กลองราชสำนัก”
“คิดว่าไม่นานก็จะพบฉินกงได้แล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย
“อาจารย์ทราบได้เยี่ยงไร?” หลงกู่ปู้วั่งถามด้วยความสงสัย
ซ่งชูอียกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง “บัดนี้นี้มีเพียงเรื่องเดียวที่สามารถทำให้ฉินกงเรียกประชุมราชสำนักได้ในเวลาค่ำเช่นนี้”
หลงกู่ปู้วั่งโพล่งออกมา “ซางจวิน!”
ซ่งชูอีชื่นชอบวิธีปานสายฟ้าผ่าของจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินเป็นอย่างยิ่ง
ซ่งชูอีจำได้ว่าทันทีที่เขาขึ้นครองราชย์ก็มีราชโองการให้สังหารซางยางก่อนโดยไม่ลังเล รับการสนับสนุนจากบรรดาตระกูลเก่าแก่แห่งรัฐฉิน เสริมสร้างตำแหน่งของตัวเองให้เสถียร หลังจากกุมอำนาจไว้ในมืออย่างมั่นคงแล้ว จากนั้นก็ประกาศว่าจะไม่โค่นล้มกฎหมายใหม่ของซางจวินโดยเด็ดขาดเพื่อปลุกเร้าเหล่ากบฏในตระกูลเก่าแก่ องค์จวินหนุ่มผู้นี้ ใช้กำปั้นเหล็กสยบความโหลาหล ทำให้ผู้คนเงียบเสียงลงได้อย่างรวดเร็ว
นี่เป็นครั้งแรกที่จวินองค์ใหม่ในวัยเพียงสิบเก้าองค์นี้ทำให้ทั้งรัฐฉินสั่นสะเทือน
“ท่านขอรับ ผู้ดูแลไป๋มาแล้ว” จี้ฮ่วนรายงานอยู่ด้านนอก
ซ่งชูอีจัดกระชับเสื้อขนแกะบนตัว นั่งตัวตรง “เชิญให้เขาเข้ามา”
ด้านนอกห้อง ไป๋ผิงเดินมาถึงหน้าประตู ถอดเสื้อคลุมฟางและหมวกไม้ไผ่บนตัวออก จัดเครื่องกวนบนศีรษะอย่างดีก่อนผลักประตูเข้าไป
ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน หลังจากทั้งคู่โค้งคำนับต่อกันอย่างเงียบๆ แล้ว ซ่งชูอีก็เอ่ยปาก “ผู้ดูแลไป๋เชิญนั่ง”
ไป๋ผิงกล่าวขอบคุณ มองหาที่นั่งเหมาะสมแล้วคุกเข่านั่งลง ยิ้มเอ่ยเล็กน้อย “อีกหนึ่งชั่วยามท่านจวินต้องการจะพบท่านราชทูต ไม่ทราบว่าท่านราชทูตสะดวกหรือไม่?”
นี่เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น จะมีธุระใดสำคัญไปกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองรัฐอีกเล่า? ซ่งชูอียิ้มเอ่ยน้อยๆ “ไม่มีอยู่แล้ว ทว่าเหตุใดฉินกงถึงพบข้าน้อยยามค่ำเช่นนี้?”
หลงกู่ปู้วั่งมองดูการแสดงออกของซ่งชูอี อดมิได้ที่จะแอบกลอกตา ถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ อีกทั้งใบหน้าฉงนสงสัยนั้นยังสมจริงอีกด้วย
“ท่านจวินเพิ่งทำพระราชกรณียกิจเสร็จสิ้น รู้ว่าท่านราชทูตรอนานแล้ว ดังนั้นจึงรีบจัดงานเลี้ยงรับรองท่านราชทูตทันที” ผู้ดูแลไป๋กล่าว
หลงกู่ปู้วั่งคิดในใจ ‘เยี่ยม คนผู้นี้ก็ช่างพูดปดได้แนบเนียนจริงๆ’
ซ่งชูอีนั่งตัวตรง เอ่ยว่า “ได้รับการปฏิบัติจากฉินกงดีเช่นนี้ ข้าน้อยซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”
“เช่นนั้นไม่รบกวนท่านราชทูตแล้ว ข้าผู้เฒ่าได้สั่งให้เด็กตระเตรียมอ่างน้ำพุร้อนให้ท่านราชทูตได้ใช้” ผู้ดูแลไป๋ประสานมืออำลา
หลงกู่ปู้วั่งเห็นว่าไป๋ผิงออกไปแล้ว กล่าวว่า “อาจารย์ อาบน้ำด้วยกันเถิด ข้ามิได้แช่น้ำพุร้อนนานแล้ว”
ซ่งชูอีไอแห้งๆ ทีหนึ่ง กำลังคิดว่าจะใช้ข้ออ้างใดปฏิเสธ หลงกู่ปู้วั่งยิ้มมองเป้าของนาง “ข้าจะไปเตรียมเสื้อ…อาจารย์ ท่านคงมิได้กลัวว่าจะเล็กกว่าของข้า จึงไม่กล้ากระมัง?”
สิ้นวาจาก็พุ่งตัวออกไปราวกับสายลม
“ปู้วั่งเอ๋ย…” ซ่งชูอีนวดคลึงขมับ เห็นความสิ้นหวัง เงียบไปสองลมหายใจ จากนั้นก็เด้งตัวขึ้นมาราวกับกระต่าย ดึงเสื้อผ้าสองชิ้นออกจากกล่องอย่างรวดเร็ว วิ่งไปยังห้องอาบน้ำราวกับควัน
ในลานมีสระน้ำขนาดใหญ่มากและมีน้ำร้อนทุกวัน ห้องอาบน้ำก็อุ่นยิ่ง ดังนั้นซ่งชูอีจึงมาแช่น้ำทุกวันเพราะทนไม่ไหวที่จะชดเชยวันเวลาที่เสียไประหว่างเดินทาง ฉะนั้นร่างกายจึงไม่สกปรกอยู่แล้ว นางเพียงต้องการจะแช่น้ำหอมสักรอบก็เท่านั้น
สาวใช้ในลานต่างมองดูคนที่เร่งรีบตลอดทางด้วยความแปลกใจ สิ่งของในมือร่วงกระจัดกระจายเต็มพื้น หมาป่าหิมะตัวหนึ่งเดินย่ำอยู่ด้านหลัง รั้งท้ายด้วยสาวใช้สองคนที่คอยตามเก็บของด้วยความสั่นกลัว
ซ่งชูอีรอให้ไป๋เริ่นวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ลงกลอนประตูจากด้านใน ถอดเสื้อบนตัวแล้วกระโดดเข้าสระน้ำด้วยความเร็วรี่
อีกด้านหนึ่ง หลงกู่ปู้วั่งกำลังรอสาวใช้เก็บเสื้อผ้าด้วยความตื่นเต้น เขาแช่น้ำพุร้อนในรัฐเว่ย์แทบทุกวัน แน่นอนว่าเขาจึงมิได้ตื่นเต้นด้วยเหตุนี้ สำหรับเหตุผลที่เขารู้สึกเช่นนี้ ในตอนนี้เขายังมิได้ตระหนักถึง ได้แต่ไปหาซ่งชูอีด้วยความร่าเริงใจ
“หลงกู่ปู้วั่งฮัมเพลงน้อยๆ มีสาวใช้ส่วนตัวสองคนถือเสื้อผ้าตามอยู่ด้านหลัง ครั้นเดินมาถึงหน้าห้องซ่งชูอี เห็นประตูห้องเปิดอ้าอยู่ก็โผล่ศีรษะเข้าไป “อาจารย์ ข้าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว”
ไร้เสียงตอบรับ
“หลงกู่ปู้วั่งย่างเท้าข้างหนึ่งเข้าไป “อาจารย์?”
“แค่ก ปู้วั่ง” เสียงของซ่งชูอีดังขึ้นมาจากข้างหลัง
หลงกู่ปู้วั่งหันกลับมา เห็นซ่งชูอีในชุดคลุมแขนกว้างสีขาว ผมดกดำเปียกชื้นปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง อดมิได้ที่จะกล่าวด้วยความตกตะลึง “ท่าน…”
“พ่อหนุ่ม เจ้าช้าเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีพาดผ้าในมือไว้บนบ่า ยกมือขึ้นตบๆ ไหล่ของเขา “ในห้องอาบน้ำมิได้มีเพียงสระเดียว เจ้าจงรีบเข้าไปก่อนที่ไป๋เริ่นจะทำลายทุกอย่างเถิด”
“ข้า…” หลงกู่ปู้วั่งครุ่นคิดอย่างระมัดระวังครู่ใหญ่ หรือว่าเมื่อครู่เขาได้สูญเสียความทรงจำไปชั่วขณะ? มิอย่างนั้นมันก็เกิดขึ้นเร็วเกินไปหน่อยกระมัง!
“อา จริงสิ” ซ่งชูอีหันกลับมาเอ่ย “อย่าลืมสั่งให้สาวใช้เช็ดขนไป๋เริ่นให้สะอาดด้วย”
“อ่อ” หลงกู่ปู้วั่งพยักหน้าด้วยความงงงัน พาสาวใช้เข้าห้องอาบน้ำไป
ไป๋เริ่นกำลังว่ายน้ำไปมาอย่างสนุกสนานอยู่ในสระที่ใหญ่ที่สุด หลงกู่ปู้วั่งเหลือบมองมัน ยกมือขึ้นด้วยความเคยชิน ให้สาวใช้ถอดเสื้อผ้าให้เขา
ร่างกายของหลงกู่ปู้วั่งไม่ได้แข็งแรงเหมือนผู้ใหญ่ ทว่าสมส่วนยิ่ง บัดนี้ผิวพรรณสีข้าวสาลีมีกล้ามเนื้อเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงพลังที่แข็งแกร่งของความหนุ่มแน่น
ครั้นเดินมาถึงสระน้ำถัดจากไป๋เริ่น สมองของหลงกู่ปู้วั่งพลันนึกถึงลักษณะของซ่งชูอีที่ปล่อยผมสยายเมื่อครู่อย่างประหลาด นางดูดีกว่าตอนปกติมาก
ขณะที่กำลังเหม่อลอย น้ำตรงหน้าก็สาดกระเซ็น สาวใช้สองคนอุทานด้วยความตกใจ หลบหนีกันอลหม่าน
ไป๋เริ่นกระโดดลงสระของหลงกู่ปู้วั่งว่ายอยู่สองสามที จากนั้นก็ปีนออกมาแล้วกระโดดกลับสระใหญ่
หลงกู่ปู้วั่งใบหน้าเขียวคล้ำ เงียบไปสามสามลมหายใจ คำรามกะทันหัน “ทหาร! เตรียมสระใหม่ให้ข้า! เจ้ามันตัวโสโครก!”
ซ่งชูอีกำลังถือหนังสืออยู่ในมือ ปล่อยให้สาวใช้ชาวฉินคนหนึ่งบิดผมนางให้แห้ง ครั้นได้ยินเสียงก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง
หัวเราะเสร็จแล้ว คิดว่าคงไม่มีสาวใช้คนใดที่จะกล้าเข้าใกล้ไป๋เริ่น จึงเอ่ยว่า “เจียน ไปช่วยเช็ดตัวให้ไป๋เริ่นแล้วเอาตัวกลับมาผิงไฟให้แห้ง”
เจียนรับคำแล้วออกไป
หลังจากผมแห้งแล้ว ซ่งชูอีส่งสาวใช้ออกไปแล้วเรียกหนิงยาเข้ามา พลางสวมเสื้อให้ตัวเอง พลางบอกให้นางระมัดระวังเป็นพิเศษ
จนกระทั่งทุกอย่างถูกตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว หลงกู่ปู้วั่งจึงเดินเข้ามาด้วยเนื้อตัวเปียกปอน สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ยังไม่เตรียมตัวอีก จะไม่ทันเวลาแล้ว” ซ่งชูอีเอนกายพิงพนัก เอ่ยขึ้นเชื่องช้า
หลงกู่ปู้วั่งนั่งลงไม่พูดจา สาวใช้รีบรุดเจ้ามาช่วยเขาแต่งตัว ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวด้วยความขมขื่น “ไป๋เริ่นรังแกข้า”
ซ่งชูอีกลั้นหัวเราะ กล่าวปลอบใจ “ไว้กลับมาจากงานแล้ว ข้าจะลงโทษมัน”
“พูดคำไหนคำนั้น” หลงกู่ปู้วั่งขมวดคิ้วเอ่ย
ซ่งชูอีพยักหน้าด้วยความจริงจัง
“ท่าน” จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนเปลี่ยนชุดเกราะนานแล้ว
“เวลายังเช้าอยู่” ซ่งชูอีใช้เวลาทั้งหมดในการอาบน้ำไม่ถึงครึ่งถ้วยน้ำชา “สั่งให้จื่อเฉาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกนางว่าไม่ต้องแต่งหน้า ไม่ต้องทำมวยผมซับซ้อน และสวมชุดชวีจวีสีฟ้าอ่อน”
ซ่งชูอีเข้าใจความชอบของฉินกงเป็นอย่างดี การแต่งตัวจัดเต็มและการแต่งหน้าหนาเตอะมีแต่จะทำให้เขาหมดอารมณ์
ไม่ช้าหลงกู่ปู้วั่งก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
ซ่งชูอีไหว้วานสองสามประโยค จากนั้นก็นั่งรอจื่อเฉาเงียบๆ
หลังจากรอมาสองเค่อ ร่างที่สง่างามของจื่อเฉาปรากฏขึ้นที่ประตู นางสวมชุดชวีจวีสีฟ้าอ่อน ทำให้ส่วนโค้งส่วนเว้าที่งดงามนั้นเผยออกมาอย่างสมบูรณ์แบบและไม่หยาบกร้าน ภายใต้ความโสภานั้นมีเสน่ห์ที่อาจไม่ต้านทาน
ผู้ชายสามคนภายในห้องจับจ้องนางไม่วางตา
“ผิวเนียนบริสุทธิ์ผุดผ่อง” ซ่งชูอีอุทาน
จี๋อวี่ดึงความคิดกลับมาก่อน “ท่าน ผู้ดูแลไป๋รอนานแล้ว ออกเดินทางเถิด”
ซ่งชูอีค่อนข้างตั้งตารอการเข้าเฝ้าฉินกงครานี้ ทว่าแววตาของนางกลับสงบนิ่ง “ได้”
……………………
[1] ชิงต้าฟู เป็นข้าราชบริพารซึ่งถูกแบ่งโดยจักรพรรดิและจูโหวในสมัยจั้นกั๋ว โดยถูกกำหนดให้เชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิ ดำรงตำแหน่งราชการอันสำคัญ ช่วยเหลือจักรพรรดิในการปกครอง มีหน้าที่จ่ายส่วยและรับใช้องค์จักรพรรดิ