กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 82 ไม่ใช้หน้ากินข้าว
บัดนี้รถม้าถูกเตรียมพร้อมแล้ว ซ่งชูอีถือกระดาษพร้อมตราประทับและหนังสือรับรองแห่งรัฐขึ้นรถไป หลงกู่ปู้วั่งกับจื่อเฉาตามขึ้นไปทีหลัง
รถม้าเคลื่อนที่ ซ่งชูอีมองดูเด็กสาวที่ก้มหน้าก้มตาอยู่เงียบๆ ข้างนาง สักพักก็เอ่ยขึ้น “จื่อเฉา เจ้าเข้าใจไหมว่าเจ้าถอยไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว”
จื่อเฉาเม้มปาก กำชายเสื้อแน่น “บ่าวเข้าใจเจ้าค่ะ”
แม้นไม่เกี่ยวข้องกับซ่งชูอี ด้วยรูปลักษณ์ของนางเช่นนี้ ต่อให้ครอบครัวมิได้ตกยาก แต่ครอบครัวจำเป็นต้องใช้การออกเรือนเพื่อความเจริญรุ่งเรือง นางก็ยังคงหนีไม่พ้นชะตากรรมของการรับใช้ผู้คนด้วยความงาม ทางออกที่ซ่งชูอีมอบให้ นับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับนางแล้ว
“บ่าวจะไม่มีวันลืมพระคุณยิ่งใหญ่ของท่านเจ้าค่ะ” จื่อเฉาหมุนตัวเล็กน้อยเพื่อหมอบคำนับซ่งชูอี
“เจ้าอยู่เคียงข้างข้าไม่นานแต่ก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ข้าก็ไม่ต้องการเอ่ยคำเสแสร้งจนเกินไป แม้นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทว่าข้าก็หวังว่าเจ้าจะมีความสุข” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความจริงใจ
จื่อเฉาเงยหน้า น้ำตาไหลพรากดังสายฝน
ซ่งชูอียิ้มอ่อนโยน หยิบผ้าออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้นาง
หลงกู่ปู้วั่งจับจ้องอยู่ มีการปฏิบัติต่อชายหญิงที่แตกต่างกันเพียงนี้เชียวหรือ? อีกอย่าง ประเดี๋ยวแม่นางคนนี้ก็จะเป็นของผู้อื่นแล้ว จำเป็นต้องอ่อนโยนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
รถม้ามาหยุดอยู่ที่หน้าท้องพระโรงหลัก
ขันทีบนบันไดสูงเห็นซ่งชูอีลงจากรถ ก็ยืดลำคอเรียวเล็กแล้วตะโกนเสียงสูง “ราชทูตเว่ย์มาถึงแล้ว!”
มีเพียงซ่งชูอีที่สามารถเข้าท้องพระโรงได้ คนที่เหลือถูกนำทางให้รอที่เรือนรับรองถัดไป จื่อเฉาคลุมผ้าปิดหน้าตามที่ซ่งชูอีบอก
เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับซ่งชูอี นางมองดูพระราชวังฉินที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหิมะตกหนัก สูดอากาศเย็นยะเยือกเล็กน้อย ก้าวเท้าเดินขึ้นไป
“ราชทูตเว่ย์มาถึงแล้ว!”
ครั้นมาถึงหน้าประตูท้องพระโรง ก็มีขันทีรายงานเสียงสูงอีก
ซ่งชูอีถอดรองเท้านอกประตูท้องพระโรง เงยหน้ายืดอก ย่างเท้าเข้าในท้องพระโรงอย่างใจเย็น
ภายในท้องพระโรง ขุนนางรัฐฉินเพิ่งจะหารือเรื่องการกำจัดซางยางเสร็จสิ้นก็รอพบราชทูตแห่งรัฐเว่ย์ เดิมทีพวกเขายังคงรักษาท่าทีตามปกติ ทว่าในวินาทีที่ซ่งชูอีเดินเข้าไปในท้องพระโรง ดวงตาของพวกเขาแต่ละคนล้วนเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ
ได้ยินว่ารัฐเว่ย์มีผู้มีพรสวรรค์มากมาย บัดนี้แม้นรัฐเว่ย์เล็กและอ่อนแอ ทว่าก็คงไม่ถึงกับใช้เด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกเพื่อมาเติมเต็มกระมัง!
ในท้องพระโรงมิได้ใหญ่มาก แต่เนื่องจากตกแต่งด้วยสีดำเป็นหลัก ทุกที่จึงครอบงำไปด้วยแรงอาฆาต ซ่งชูอีจ้องมองชายผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งหลัก รู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ
ด้านหลังที่พระที่นั่งหลักเป็นโลหะนูนสีดำขนาดใหญ่ หัวสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เขี้ยวและกรงเล็บนั้นราวกับว่าสามารถกลืนกินได้ทั้งแผ่นดินและสวรรค์ บุรุษผู้หนึ่งในเสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่เงียบๆ ด้านหน้าของมัน คิ้วดุจดาบชี้เข้าหาขมับ ดวงตาคู่นั้นเฉียบคมและเย็นยะเยือกเหมือนคมมีด จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบอบบางเม้มกันเล็กน้อยเป็นครั้งคราว ใบหน้าหล่อเหลาราวแกะสลักและโครงหน้าคมชัดนั้นทำให้องค์จวินหนุ่มผู้นี้มีวุฒิภาวะที่ไม่เข้ากับอายุ แม้นเขาไม่ขยับ ก็มีไอแห่งความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาโดยธรรมชาติ
ซ่งชูอีตะลึงงัน ข้อแรกนางคิดไม่ถึงว่าฉินกงจะมีพระโฉมหล่อเหลาเพียงนี้ ดวงหน้านั้นไม่เพียงไร้ที่ติ หากแต่คอยาวและไหล่กว้างนั้นคือการแสดงให้เห็นว่าเขามีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ ข้อสอง นางจำได้ตั้งแต่แวบแรกว่าเขาก็คือ “ท่านแม่ทัพ” ผู้นั้นที่เจอระหว่างทาง
หลายวันนี้ฉินกงมิได้เรียกพบ เป็นเพราะว่าออกไปสังหารซางยางด้วยตัวเองเช่นนั้นหรือ? หรือว่าไปทำเรื่องอื่น…
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีค้อมตัวเอ่ย
บุรุษที่นั่งอยู่บนพระที่นั่งหลักมองดูนางอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องมากพิธี”
ซ่งชูอียืนตัวตรง ถือม้วนโลหะอยู่ในมือ “นี่คือหนังสือรับรองที่ทางท่านจวินมอบให้ฉินกง”
ขันทีด้านข้างค้อมตัวเดินลงมา สองมือรับหนังสือรับรองไป ยื่นถวายให้ฉินกงด้วยความนอบน้อม
พระองค์สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย เอื้อมมือรับหนังสือรับรองมา มือข้างหนึ่งยกฝาปิดผนึกออกอย่างง่ายดาย หยิบหนังสือผ้าไหมจากด้านในคลี่ออกตรงหน้า สายตาดุจพญาอินทรีย์มองปราดอย่างรวดเร็ว
จะต้องกล่าวว่าบุรุษผู้นี้เองก็สามารถทำให้วีรบุรุษยอมจำนนและสาวงามลุ่มหลงได้แม้นมิได้มีสถานะขององค์จักรพรรดิ บัดนี้อายุของเขายังน้อย หากผ่านไปสักสองสามปีเกรงว่าจะยิ่งมิอาจแตะต้อง ซ่งชูอีแอบกลืนน้ำลาย ในใจรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นางถูกลิขิตมิให้ยุ่งเกี่ยวกับสถานะเช่นเขา
“เลิกประชุม” ฉินกงอ่านหนังสือรับรองจบแล้ว ได้แต่พ่นสามคำนี้ออกมา
เหล่าขุนนางมองหน้ากัน ทว่าหลังจากนั้นเพียงครู่เดียวก็ยืดตัวตรงถวายคำนับ กล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน “กระหม่อมทูลลา”
ขันทีท่านหนึ่งค้อมตัวเดินเข้ามาหาซ่งชูอี “ท่านราชทูตได้โปรดตามข้าน้อยมา”
ซ่งชูอีนิ่งเงียบด้วยความอัศจรรย์ใจ ได้ยินว่าฉิงกงอิ๋งซื่อ[1]กระทำการรวดเร็วและเด็ดขาด เยือกเย็นพูดน้อย สิบปากว่ามิเท่าตาเห็นจริงๆ! รูปแบบการทำงานเยี่ยงนี้ อย่าเรียกว่าการอืดอาดยืดยาดเลย เพราะมันไม่มีโอกาสให้อืดอาดยืดยาดเลยแม้แต่น้อย! อีกทั้งทุกคำพูดมีค่าดังดอกพิกุลทอง ซ่งชูอีจำได้เป็นอย่างดีว่าตั้งแต่ที่นางเข้ามาจนถึงตอนนี้ เขากล่าวเพียงห้าคำเท่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเพิ่มเติม
ขันทีพาซ่งชูอีไปถึงหลังท้องพระโรง แล้วยืนอยู่ที่ประตู “ท่านราชทูตเชิญเข้ามา”
ซ่งชูอีก้าวเท้าข้ามธรณีประตู ครั้นเท้าสัมผัสกับแผ่นหินเย็นเยียบ อดไม่ได้ที่จะทำหน้าเหยเก ลอบด่าในใจ ‘บัดซบเอ๊ยรัฐฉินก็มิได้ยากจน แม้แต่พรมปูพื้นก็ยังเสียดาย! และไม่กลัวโรคหนาวเข้ากระดูกด้วย’
ท้องพระโรงหลังเล็กกว่าท้องพระโรงหน้าเกือบครึ่งหนึ่ง ตะเกียงน้ำมันทองสัมฤทธิ์สูงเท่าเอวกว่าสิบอันมิได้ส่องแสงสว่างจนเกินไป
ซ่งชูอีทำการสำรวจภายใต้แสงสลัว การตกแต่งภายในนั้นเรียบง่ายยิ่ง มันเรียบง่ายจนไม่มีการตกแต่งใดๆ เพิ่มเติม
“เชิญนั่ง” อิ๋งซื่อกล่าว
ซ่งชูอีประสานมือ คุกเข่าลงบนที่นั่งหนึ่งเดียว
สาวใช้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา จากนั้นก็ค้อมตัวถอยออกไปทั้งหมด อีกทั้งยังปิดประตูท้องพระโรงตามหลัง
อิ๋งซื่อยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบคำหนึ่งอย่างใจเย็น ไม่มีท่าทีจะเอ่ยวาจาก่อน
ความเข้าใจที่ซ่งชูอีมีต่อเขาล้วนมาจากคำบอกเล่า บวกกับการวิเคราะห์วิธีการทรงงานของเขาด้วยตนเองซึ่งสามารถรู้เพียงนิสัยโดยรวมเท่านั้น ทว่าเมื่อสื่อสารกันซึ่งหน้าเช่นนี้เขากลับไร้อารมณ์ ทำให้ยากที่จะคาดคะเน
“เหตุผลที่กระหม่อมมาในครานี้ เพราะได้รับราชโองการจากท่านจวินให้มาขอข้อเสนอแนะเพื่อโค่นล้มเว่ยกับฝ่าบาท” ในเมื่อเขาชอบพูดตรงๆ ซ่งชูอีก็จะไม่อ้อมค้อมอีก มุ่งตรงไปที่จุดประสงค์ทันที
ดวงตาพญาอินทรีย์เย็นเยียบของอิ๋งซื่อคู่นั้นจ้องมองซ่งชูอีเงียบๆ ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทำให้รู้สึกถึงแรงกดดันยิ่งยวดอยู่ทุกหนแห่ง ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ และดูเหมือนกำลังบอกให้นางพูดต่อ
‘ก็ได้ ท่านไม่พูดข้าพูดก็แล้วกัน’ ซ่งชูอีพูดต่อ “ความแค้นระหว่างฉินเว่ย กระหม่อมจะไม่พูดให้มากความ รัฐเว่ยรังแกรัฐเล็กที่อ่อนแอของกระหม่อม คราวนี้ยิ่งใช้วิธีไร้ยางอายเพื่อบังคับยึดอาณาเขตของรัฐกระหม่อม พฤติกรรมป่าเถื่อนราวกับโจรภูเขา บัดนี้ท่านจวินได้ส่งราชทูตพิเศษไปร้องเรียนโจวเทียนจื่อแล้ว ใต้หล้าขุ่นเคือง ทั้งรัฐเจ้าและหานได้ตอบรับคำขอเพื่อช่วยโค่นล้มเว่ยแล้ว”
ซ่งชูอีมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ลอบอุทานหามารดาอยู่ในใจ กล่าวต่อ “สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้ดูทรงเกียรติสง่าผ่าเผย รัฐเว่ยเป็นเนื้อชิ้นอ้วน บัดนี้ทุกคนกำลังแบ่งปันอาหาร กระหม่อมจะทูลเชิญฉินกงมาร่วมโต๊ะด้วย ไม่ทราบว่าฉินกงสนใจหรือไม่?”
“ได้” อิ๋งซื่อเอ่ย
แม้นซ่งชูอีสามารถเก็บอาการได้ดีเยี่ยม แต่บัดนี้กลับมีความประหลาดใจอันยากจะควบคุมวูบผ่านในแววตา นี่…นี่มันไม่รับปากเร็วไปหน่อยหรือ นางนึกว่าการเกลี้ยกล่อมจะเป็นไปด้วยความยากลำบากเสียอีก จึงได้ตระเตรียมร่างไว้หลายสิบชุด เหตุใดจึงมิให้โอกาสนางได้แสดงออกบ้างเลย!
“ฉินกงตัดสินใจฉับไว กระหม่อมชื่นชมนัก” ซ่งชูอีกล่าวประจบประแจงด้วยใจจริง
เพียงชั่วครู่นางก็เข้าใจว่าเหตุใดอิ๋งซื่อจึงได้ตอบรับเร็วเช่นนี้ บัดนี้ซางยางสิ้นแล้ว เหล่าตระกูลเก่าแก่ในรัฐฉินจะต้องบีบให้เขาล้มล้างกฎหมายใหม่ทันที เขาเข้าใจถึงประโยชน์ของกฎหมายใหม่เป็นอย่างยิ่ง การสังหารซางยางได้ไม่เพียงทำให้ตระกูลเก่าแก่สงบลง อีกทั้งยังสามารถกำจัดตัวถ่วงที่ใหญ่ที่สุดที่ขวางทางเขาได้ โอกาสอันดีเช่นนี้ สันนิษฐานว่าตอนที่เขาตัดสินใจคงมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย หลังจากซางยางสิ้นแล้ว ต่อจากนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับการบีบบังคับจากตระกูลเก่าแก่ แม้นเขาจะมีอำนาจขององค์จักรพรรดิอยู่ในมือแล้ว ทว่าก็ไม่สามารถมองข้ามความแข็งแกร่งของตระกูลเก่าแก่ได้ เขาต้องการเวลาในการหักกลบลบล้างสักพัก เพื่อที่จะทำให้จิตใจว้าวุ่นของตระกูลเก่าแก่ตายลงอย่างเงียบๆ แล้วกุมกำลังของพวกเขาอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงต้องการข้ออ้างในการยื้อเวลาการเจรจากฎหมายใหม่นี้ออกไป การโจมตีเว่ยนั้นเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด จะไม่มีการคัดค้านจากตำแหน่งน้อยใหญ่ในรัฐฉินเป็นแน่
ฉะนั้นไม่ว่าคำพูดของซ่งชูอีจะน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ไม่ว่ารัฐอื่นจะโจมตีรัฐเว่ยหรือไม่ ก็สามารถเป็นข้ออ้างให้กับเขาได้ทั้งสิ้น จะโจมตีหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก็คิดเสียว่านางกำลังให้คำแนะนำก็แล้วกัน
“ฉินกงได้โปรดระบุเวลา” ซ่งชูอีกล่าว
ใบหน้าหล่อเหลาที่ไร้อารมณ์มาโดยตลอดของอิ๋งซื่อในที่สุดก็มีการตอบสนองเล็กน้อย เนื่องจากซ่งชูอีมิได้หารือกับเขาว่าจะออกไปโจมตีเมื่อใด แต่กลับให้เขาเลือกเวลา นี่แสดงให้เห็นว่าซ่งชูอีมองเจตนาของเขาออก อีกทั้งยังเต็มใจช่วยเหลือ
เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ น่าสนใจ…
“อาหารค่ำกำลังจะเริ่มขึ้น ให้กว่าเหรินได้ครุ่นคิดดูก่อน พรุ่งนี้เช้าจะให้คำตอบ” ในที่สุดอิ๋งซื่อก็พูดยาวที่สุดเป็นประวัติการณ์
‘แม่งเอ๊ย! ไม่ง่ายเลยจริงๆ’ ซ่งชูอีถอนหายใจในใจ
“ฉินกงมีบุคลิกน่าเกรงขาม หากยิ้มกว่านี้สักหน่อย จะต้องทำให้ทุกสรรพสิ่งคลั่งไคล้เป็นแน่” ซ่งชูอีประจบอีกครั้งด้วยสีหน้านิ่งเฉย จากนั้นก็ค้อมตัวขอโทษ “กระหม่อมกำเริบเสิบสาน ขอฉินกงโปรดอภัย”
อิ๋งซื่อลุกขึ้น มองลงมายังนางจากที่สูง กล่าวประโยคหนึ่งอย่างเย็นชา “กว่าเหรินมิได้ใช้หน้ากินข้าว”
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็หลุดขำ คิดไม่ถึงว่าผู้ที่เคร่งขรึมเช่นนี้จะมีอารมณ์ขันด้วย!
“บัดนี้อาหารค่ำเตรียมเสร็จแล้ว ท่านราชทูตตามสาวใช้ไปยังห้องโถงด้านข้างเพื่อพักผ่อนสักครู่เถิด” สาวใช้ถวายการคำนับตรงหน้าซ่งชูอี
ซ่งชูอีเหลือบมองไปยังทิศทางที่อิ๋งซื่อจากไป มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นตามสาวใช้ไปยังห้องโถงด้านข้าง
ครั้นหลงกู่ปู้วั่งที่รออยู่เห็นซ่งชูอีกลับมา อดไม่ได้ที่จะยืดตัวตรง จี๋อวี่อดถามมิได้ “ท่าน?”
“ไม่จำเป็นต้องกังวล” ซ่งชูอียิ้มสดใส หันไปดึงตัวจื่อเฉา “เฉา ข้าจะต้องบอกเจ้าว่าฉินกงเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ แม้นเป็นความน่าสนใจที่ค่อนข้างมีชั้นเชิง ทว่ารูปร่างหน้าตาและบุคลิกของเขา เกรงว่ามีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ที่สามารถเทียบได้”
จี๋อวี่เห็นว่าอารมณ์ของซ่งชูอียังคงเหมือนเดิม ก็วางใจลงมาบ้าง
จื่อเฉาหน้าแดงระเรื่อ ดูขุ่นหมองเล็กน้อย ในใจของนางสับสนยิ่ง สีหน้านั้นจะว่ายินดีก็ไม่ใช่ กังวลก็ยิ่งไม่ใช่ ได้แต่ก้มศีรษะต่ำจนติดกับหน้าอก หลบเลี่ยงหัวข้อนี้
ซ่งชูอีอารมณ์ดีมาก กล่าวด้วยสีหน้าหยาบคาย “เฉา แม้ว่าหน้าอกเจ้าสวยงามอย่างแท้จริง ทว่าเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหลงมันขนาดนี้ดอกกระมัง?”
จื่อเฉาหน้าแดงไปถึงหู เบือนหน้าไปอีกทางเล็กน้อย ท่าทางเขินอายจนแทบร้องไห้นั้นชวนหวั่นไหวยิ่งนัก
หลงกู่ปู้วั่งมิอาจทนดูต่อไปได้ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะเสียงดังเพี๊ยะ ข่มโทสะเอาไว้ ขมวดคิ้ว “เป็นถึงครูบาอาจารย์ ได้โปรดนับถือตัวเองหน่อย!”
“เหอะๆ เฉา เจ้าได้ยินหรือไม่ ต่อไปเมื่อถูกแกล้งมากเข้าก็จะกล่าวด้วยความยุติธรรมเช่นนี้” ซ่งชูอีลูบคาง พิจารณาหลงกู่ปู้วั่งสองสามรอบ จุ๊ปากเอ่ย “ต้องถูกคนแกล้งกี่ครั้งกัน จึงสามารถกล่าวคำอุกอาจเช่นนี้ออกมาได้!”
……………………….
[1] อิ๋งซื่อ จักรพรรดิแห่งรัฐฉิน แซ่อิ๋ง สกุลเจ้า นามซื่อ ขึ้นครองราชย์จากปี 337-331 ก่อนปีคริสตกาล เมื่อพระชนมพรรษา 19 พรรษา