ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘 - ตอนที่ 44 แกไม่เชื่อฟังฉันใช่ไหม?
กู้จิ้งนอนอยู่บนกองหญ้าแห้งพลางเบิกตามองเพดานถ้ำ เดิมเธอคิดจะนอนอยู่ที่นี่เงียบๆ ไม่ได้คิดจะไปไหนทั้งนั้น
เพราะตอนนี้เธอต้องพึ่งพาอาศัยท่านบรรพบุรุษ ย่อมต้องเชื่อฟังคำพูดของเขา
คิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง เธอจะได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมาแต่ไกล
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แมวตาย เธอนึกอยากจะออกไปดูขึ้นมาทันที
กู้จิ้งลุกขึ้น เตรียมเดินออกจากถ้ำ
ฮัสกี้รีบขยับมาขวางปากถ้ำไว้ ไม่ให้เธอออกไป
“เฮ้! แกเชื่อฟังเขาจริงๆ นะ? แต่แกลืมไปแล้วหรือว่าใครเป็นคนยอมให้แกอยู่? ถ้าไม่ใช่ฉันช่วยขอร้อง แกจะอยู่ที่นี่ได้หรือ?”
เธอพูดเหตุผลกับมัน
เจ้าหมากระดิกหางพลางส่งเสียงร้องงี้ดๆ แต่ก็ไม่หวั่นไหวสักนิด
“ถ้าแกยังกล้าทำแบบนี้อีก รอท่านบรรพบุรุษกลับมา ฉันจะฟ้องเขาว่าแกรังแกฉัน!”
เธอข่มขู่
เจ้าหมาเบิกตามองเธอด้วยดวงตาคลอน้ำตา มันหันไปมองด้านนอกแล้วก็หันมามองเธอเหมือนกำลังลังเลมาก
“แกไม่เชื่อฟังฉันใช่ไหม? ก็ได้ ฉันจะให้แกได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉันเสียบ้าง!”
ว่าแล้วเธอก็ตั้งท่าจะควักอาวุธออกมาจากกระเป๋าโดราเอม่อน
เจ้าหมาตกใจมาก มันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจกระดิกหางแล้วหลีกทางให้แต่โดยดี
กู้จิ้งซึ่งเป็นฝ่ายมีชัยผิวปากแล้วก้าวออกไปข้างนอกทันที
อากาศสดชื่นบนภูเขาหลังฝนตกทำให้กู้จิ้งอารมณ์ดีขึ้นมาก คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นของเซ่นไหว้กับธูปปักอยู่ตรงข้างทาง เดินไปอีกสองสามก้าวก็เห็นคนกำลังแอบเผากระดาษเงินกระดาษทองด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
เอ๋… ใกล้ๆ นี้มีวัดด้วยหรือ ทำไมถึงมาไหว้อยู่ตรงนี้ล่ะ?
คนที่กำลังจุดธูปเงยหน้าขึ้นเห็นเธอก็ตกใจมาก เขารีบลนลานโขกศีรษะติดกันหลายๆ ครั้งก่อนจะเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
โขกศีรษะ? โขกศีรษะให้เธอ?
กู้จิ้งประหลาดใจมาก เธอเดินไปดูตรงจุดที่คนคนนั้นซุ่มอยู่เมื่อครู่ เห็นบนพื้นมีลูกพลับ, พุทรา, ทับทิม, เกาลัด, ลูกสน ฯลฯ วางอยู่ แถมยังมีไก่อีกตัวหนึ่ง
กู้จิ้งหันไปมองรอบๆ พอแน่ใจว่าไม่มีวัดอยู่ก็ตัดสินใจคว้าเอาของกินทั้งหมดมาใส่กระโปรง จากนั้นก็ฉีกน่องไก่น่องหนึ่งโยนไปให้ฮัสกี้
“ต่อไปจำไว้นะว่าฉันต่างหากที่เป็นนายของแก ถ้ายอมเชื่อฟังฉันจะมีเนื้อกิน”
ฮัสกี้ได้รับรางวัลโดยไม่คาดฝันก็รีบคาบน่องไก่เอาไว้แล้วกระดิกหางด้วยความดีอกดีใจ
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้กู้จิ้งฟังออกแล้วว่ามันเป็นแค่เสียงร้องไห้แบบขอไปที ร้องไห้เพราะต้องร้อง เหมือนกับการร้องเพลงเท่านั้น
เธอเดินตามเสียงร้องไห้นั้นไปประมาณสิบกว่านาทีก็พบว่ามีคนกำลังร้องไห้อยู่ตรงเชิงเขา ในกลุ่มนั้นยังมีคนถือพวงดอกไม้สีขาวเอาไว้ด้วย
กำลังเคลื่อนศพกัน มิน่าเสียงร้องไห้ถึงได้เสแสร้งเหลือเกิน
เธอคิดๆ ดูก็เข้าใจ คงเป็นงานศพของผู้หญิงคนนั้นสินะ
ได้ยินเซียวเถี่ยเฟิงเล่าให้ฟังว่า พ่อแม่ของผู้หญิงคนนั้นมาอาละวาดยกใหญ่ สุดท้ายตระกูลจ้าวต้องขอโทษและมอบเงินชดเชยให้ เรื่องทั้งหมดถึงได้ยุติ
กู้จิ้งยืนมองกระดาษสีขาวที่กำลังปลิวไปตามสายลมเบื้องล่างแล้วก็อดถอนใจไม่ได้
สามวันที่ผ่านมา ด้านหนึ่งเธอทำตัวเหมือนจมอยู่ในความฝันพลางเสพสุขจากเรือนร่างของท่านบรรพบุรุษ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็พยายามคิดทบทวนการกระทำของตัวเอง
เธอคิดว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของตัวเองคือ คนอื่นไม่เชื่อใจเธอ
พวกเขาจะยอมมอบชีวิตไว้ในกำมือของคนที่ตนเองไม่เชื่อใจสักนิดได้อย่างไร
เธอไม่สามารถช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้นก็เพราะคนอื่นไม่เชื่อใจเธอ ดังนั้นการทำให้ผู้อื่นเชื่อใจจึงเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องหาหนทางแก้ไขให้ได้
กู้จิ้งนิ่งคิดอยู่นาน ฮัสกี้ซึ่งกินน่องไก่หมดแล้วเริ่มเดินวนไปวนมารอบๆ ตัวเธอ ท่าทางเหมือนอยากจะกินอีก
กู้จิ้งฉีกน่องไก่โยนให้มันอีก
ครั้งนี้ฮัสกี้ซึ่งคาบน่องไก่ไว้ในปากแทบจะคุกเข่าลงประจบประแจงเธอเลยทีเดียว
กู้จิ้งยกมือขึ้นเขกหัวเจ้าหมาเห็นแก่กินแรงๆ จากนั้นจึงเริ่มเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่ทอดลงไปยังเชิงเขา กว่าเธอจะเดินไปถึงหลุมฝังศพ คนที่ร้องไห้เมื่อครู่ก็จากไปกันหมดแล้ว เหลือแค่ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นตามลำพัง เขากำลังยกน้ำเต้าขึ้นดื่มอึกๆๆ
เขาคือจ้าวจิ้งเทียน
กลิ่นสุราโชยมา
กู้จิ้งเลิกคิ้วพลางแค่นยิ้มเย็น
เขาคงจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ ดังนั้นจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากแห้งผากขยับเบาๆ
กู้จิ้งเดินตรงเข้าไปหาก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าเขาสองฉาด
ร่างแข็งแกร่งของจ้าวจิ้งเทียนเซไปเล็กน้อย แต่เขาไม่โกรธ เขาเพียงแค่กัดฟันพูดพึมพำอะไรบางอย่าง
เขาดื่มสุรา น้ำเสียงแหบพร่าไม่ชัดเจน ซ้ำยังพูดเร็ว กู้จิ้งซึ่งภาษาท้องถิ่นโบราณเพิ่งผ่านระดับสี่ ทักษะการฟังยังห่างเกณฑ์อีกไกลจะฟังรู้เรื่องเสียที่ไหน
เธอหันหลังกลับ ตั้งท่าจะจากไป เพราะคร้านจะสนใจผู้ชายไม่เอาไหนคนนี้อีก
คิดไม่ถึงว่าจ้าวจิ้งเทียนจะเดินตามมาขวางทางเอาไว้
ฮัสกี้เห็นเช่นนี้ก็ตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่เขาทั้งที่ยังคาบน่องไก่ไว้ในปาก “แฮ่ๆๆๆ…”
กู้จิ้งหรี่ตามองชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “ทำไม จะหาเรื่องงั้นรึ? มาเลย ใครกลัวกัน!”
ปากกล่าวท้าทาย มือก็แอบล้วงเข้าไปกุมมีดกับสเปรย์กันหมาป่าในกระเป๋าเอาไว้
คิดไม่ถึงว่าจ้าวจิ้งเทียนกลับกล่าวว่า “เจ้าจะไปอย่างนี้หรือ?”
คำพูดนี้ค่อนข้างชัดเจน กู้จิ้งฟังเข้าใจ แต่จากนั้นก็อดงงไม่ได้
“ฉันไม่ไปแล้วจะให้ทำอะไร หรือจะให้นั่งดื่มเป็นเพื่อนนายอยู่ตรงนี้?”
“เจ้า…เจ้า…” จ้าวจิ้งเทียนพูดไม่ออก เขาขมวดคิ้วจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาเขม็ง เขาเพิ่งสูญเสียภรรยา จู่ๆ นางก็วิ่งมาตบหน้าเขา เขาคิดว่าต่อจากนี้นางคงต้องนั่งลงฟังเขาระบายความเจ็บปวด
สุดท้ายเขายังพูดไม่ทันจบ นางก็จะหนีไปเสียแล้ว?
“ฉันทำไม? ใช่ ฉันตบนาย มีปัญญาก็ตบฉันกลับสิ ถ้านายกล้าตบฉัน ฉันจะไปฟ้องท่านบรรพบุรุษ!”
กู้จิ้งยกมือขึ้นกอดอกด้วยท่าทางไม่ยี่หระ แต่จริงๆ แล้วแอบกำมีดไว้ในมือ
จ้าวจิ้งเทียนมองดวงตาคมกริบเบิกกว้างของสตรีตรงหน้าแล้วก็จนใจนัก เขาส่ายหน้าพลางพึมพำว่า “ข้า… ข้าแค่กำลังเสียใจ อยากให้ใครสักคนฟังข้าระบายความในใจเท่านั้น”
ครั้งนี้เขาพูดช้ามาก
เพราะเขาเองก็สังเกตเห็นว่า ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะเข้าใจความหมายของเขาผิด นางไม่เข้าใจความเจ็บปวดและความจนใจของเขาเลยสักนิด
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มหยันพลางกระดิกนิ้ว “ฉันจะเป็นที่ปรึกษาทางด้านจิตใจให้นายก็ได้ แต่นายต้องจ่ายเงิน”
จ้าวจิ้งเทียนไม่รู้ว่าอะไรคือที่ปรึกษาทางด้านจิตใจ แต่เขารู้ว่านางกำลังเรียกเงินจากเขา จ้าวจิ้งเทียนเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า แต่ล้วงอยู่นานกลับมีเพียงแค่เศษเงินเล็กน้อยเท่านั้น
เขากำลังลังเลอยู่ว่าเศษเงินเล็กน้อยแค่นี้จะน่าเกลียดเกินไปหรือไม่ กู้จิ้งกลับเอื้อมมือมาแย่งไปเสียก่อน
“ครั้งก่อนนายรีบร้อนลากฉันมาที่หมู่บ้าน ฉันไม่ได้เก็บค่ารักษาเสียด้วยซ้ำ เงินนี่สมควรเป็นของฉัน”
แม้เงินก้อนนี้จะไม่ใหญ่ แต่ก็คงมากพอให้ท่านบรรพบุรุษซื้อเสื้อผ้าใหม่สักชุด!
เก็บเงินเสร็จ กู้จิ้งก็เลือกก้อนหินสะอาดนั่งลงแล้วเริ่มทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ชายที่เพิ่งสูญเสียภรรยา
“พูดมาเลย นายเสียใจเรื่องอะไร” ไม่ใช่บอกว่าเรื่องมงคลที่สุดของผู้ชายคือได้เลื่อนตำแหน่ง, ร่ำรวย แล้วก็เมียตายหรอกหรือ ตอนนี้เขาไม่ควรดีอกดีใจอย่างนั้นรึ?
“ข้า…” เห็นนางทำท่าจริงจังแบบนี้ เขากลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงได้กล่าวว่า “ท่านพ่อท่านแม่หมั้นหมายให้ข้าตั้งแต่ข้ายังเด็ก คู่หมั้นของข้าเป็นบุตรสาวของตระกูลหนิงซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านชิงสุ่ยหลังเขา ตอนนั้นข้าอายุสี่ขวบ ส่วนนางสองขวบ”
“อ้อ หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กก้นเปลือยงั้นรึ” คนโบราณดูเหมือนจะชอบทำแบบนี้มาก ท่านบรรพบุรุษมีคู่หมั้นที่หมั้นกันมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันหรือเปล่า? ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้บรรพบุรุษฝ่ายหญิงของคุณยายอยู่ที่ไหน
“ตอนเด็กนางมาเล่นที่บ้านข้า ข้าพานางมาบนเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกลับไปแล้วนางถึงได้ล้มป่วย มีไข้สูงไม่ลดเสียที คนตระกูลหนิงบอกว่าคงไปเจอของสกปรกเข้า พวกเขาบอกว่าข้าเป็นคนชักนำนางไป”
“อืมๆ หลังจากนั้นล่ะ?”
“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว” จ้าวจิ้งเทียนเลือกใช้คำง่ายๆ และค่อยๆ เล่าให้กู้จิ้งฟังช้าๆ
ที่แท้หลังจากกลับไป เด็กตระกูลหนิงคนนั้นก็หมดสติ ซ้ำยังมีไข้สูงไม่ลด แม้กระทั่งท่านหมอเหลิ่งก็รักษาไม่ได้ ในขณะที่ตระกูลหนิงกำลังจะสิ้นหวังนั้นเอง จู่ๆ ก็มีพระหัวขี้เรื้อนรูปหนึ่งมาเยือนหมู่บ้านบนเขา เขาบอกว่าเด็กหญิงล้มป่วยเพราะไปล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาเข้า วิธีรักษาคือต้องพานางไปทิ้งไว้ในป่าลึก เทพบนภูเขาจะรักษาอาการป่วยให้นางเอง
กู้จิ้งฟังแล้วขมวดคิ้วแน่น เขาคิดว่านี่เป็นเรื่องความรักในหอแดงรึยังไง พระหัวขี้เรื้อนอะไรกัน
“ผ่านไปสามวัน คนตระกูลหนิงไปตามหาลูกสาวของพวกเขา แต่สุดท้ายกลับหาไม่พบ”
“เหลวไหล คงถูกหมาป่าคาบไปแล้วน่ะสิ!”
จ้าวจิ้งเทียนพยักหน้า “ใช่ เราเองก็คิดเช่นนี้ แต่หลังจากคนตระกูลหนิงไปหาพระหัวขี้เรื้อน พระนั่นกลับบอกว่าเทพภูเขาชอบนางก็เลยพานางไปบำเพ็ญเพียรแล้ว อีกสองสามปีจะส่งกลับมา กลับมาเมื่อไหร่นางก็จะมีวิชาเซียน สามารถช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์ แต่คนตระกูลหนิงไม่เชื่อ พวกเขาช่วยกันซ้อมพระหัวขี้เรื้อนนั่นรอบหนึ่งแล้วก็ขับไล่เขาออกจากหมู่บ้านไป”