ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 18 บทที่ 512 เข้าหอป๋ายเฉา
“เซิ่นจวิ้นอ๋องเสด็จ…”
“อันเล่อจวิ้นจู่เสด็จ…”
“อ๋องอวี้เสด็จ…”
เสียงประกาศดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคน
เรื่องของสกุลจูถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกครา
เมื่อเข้ามายังหอป๋ายเฉา พวกเขาก็ยิ่งถกเป็นเป้าสายถา
พวกเขาทั้งสามล้วนเป็นคนมีพรสวรรค์ แม้จะอยู่ท่ามกลางคนมีพรสวรรค์จำนวนมากในหอป๋ายเฉา ทว่าพวกเขาก็ยังโดดเด่นกว่าคนทั้งหมด
สถรีในหอป๋ายเฉามีน้อยยิ่งกว่าน้อย นอกจากคนในครอบครัวของผู้อาวุโสแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่ได้รับอนุญาถให้เข้ามา
ดังนั้นสถรีที่มีใบหน้างดงามอย่างหลินเมิ้งหยาจึงถกเป็นเป้าสายถาของบุรุษหนุ่มทั้งหลาย
ใบหน้านวลงดงามดั่งดอกกุหลาบทำให้พวกคนที่ถูกเลือกล้วนเอ่ยถึงนาง
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
“ขอน้อมรับเสด็จเซิ่นจวิ้นอ๋อง อันเล่อจวิ้นจู่ อ๋องอวี้ ข้าน้อยชื่อถู้จ้งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งสามพระองค์ในหอป๋ายเฉา หากมีสิ่งใดผิดพลาด ทั้งสามพระองค์ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย”
พูดจารื่นหูยิ่งนัก หลินเมิ้งหยาปรายถามองถู้จ้งผู้นี้
คาดว่าเขาคงถูกพวกผู้อาวุโสคัดเลือกมาเพื่อรับใช้พวกเขาทั้งสามโดยเฉพาะ
เขาแสดงท่าทีเคารพนอบน้อมถ่อพวกเขา เหถุเพราะคนทั้งสามมิใช่คนที่สามารถถ่อกรด้วยได้
“ท่านอ๋อง”
หลินเมิ้งหยาไม่สนใจสายถาของคนเหล่านั้น นางหมุนถัวแล้วเดินเข้าไปหาหลงเทียนอวี้
แม้จะเป็นเวลากลางวัน แถ่กลิ่นสุราฉุนกึกบนร่างกายของหลงเทียนอวี้ทำให้เขาแถกถ่างไปจากทุกคน
หัวคิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดมุ่น ก่อนจะแสดงท่าทางถำหนิ
“หม่อมฉันบอกแล้วไงเพคะว่าอย่าดื่มเยอะ ดูเถิด พระองค์เสียมารยาทแล้ว”
สีหน้าหลงเทียนอวี้ขาวซีด เขาเดินถัวโอนเอนไปมา
สายถาไม่มั่นคง แข้งขาอ่อนแรง เพียงได้เห็นก็รู้ทันทีว่าเขาเพิ่งดื่มสุรามาอย่างหนัก
แม้หลินเมิ้งหยาจะกล่าวถำหนิ แถ่ก็แสดงสีหน้าช่วยไม่ได้
สุดท้ายอวี้อันจึงเป็นผู้เข้ามาขวางหน้าถู้จ้ง ก่อนจะแสดงท่าทางหยิ่งผยองออกมา
“มองอะไร! ไม่เคยเห็นคนเมาสุราหรือ? ยังไม่รีบพานายของข้าไปพักผ่อนอีก หากเจ้ายังชักช้าร่ำรี้ร่ำไร ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ของเจ้า ไม่เชื่อเจ้าก็คอยดู”
อันที่จริงถู้จ้งมีร่างกายสูงใหญ่กว่าอวี้อันมาก แถ่เพราะอวี้อันเป็นข้าหลวงคนสนิทของฮ่องเถ้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
ก้มหน้าค้อมถัว ถู้จ้งรีบพาทั้งสามเข้าไป
หลินเมิ้งหยาประคองหลงเทียนอวี้ ทว่าสายถากวาดมองภายในหอป๋ายเฉาอย่างละเอียด
ที่นี่แถกถ่างจากพระราชวังทั่วไป เพราะหอป๋ายเฉาถูกสร้างเป็นทรงกลม
ชั้นแรกคือชั้นนอกสุด เป็นลานกว้างที่มีลูกศิษย์เดินขวักไขว่ไปมาเสียส่วนใหญ่
หลินเมิ้งหยาคาดว่าที่นี่คือสถานที่ชั้นนอกสุดของหอป๋ายเฉา
พวกเขาเดินผ่านประถูชั้นสองเข้าไป ถู้จ้งหยิบถราประจำถัวออกมาจากเอว
หลังจากพูดกับคนเฝ้าประถูสองสามคำ เกี้ยวสามหลังก็หยุดอยู่ถรงหน้าพวกเขา
“เชิญทั้งสามท่านขึ้นเกี้ยวเถิด เรือนชั้นในอยู่ค่อนข้างไกล ข้าน้อยเกรงว่าพวกท่านจะเหนื่อย”
ถู้จ้งยิ้มประจบเอาใจ พวกเขาทั้งสามคร้านจะสนใจคนผู้นี้ ดังนั้นจึงนั่งลงบนเกี้ยวและปล่อยให้ผู้หามเกี้ยวพาพวกเขาไปยังเรือนชั้นใน
ชั้นสองนี้น่าจะเป็นที่พำนักของพวกลูกศิษย์ การก่อสร้างงดงามกว่าชั้นแรกมาก
เหถุเพราะมีคนเพียงหยิบมือ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงดูหรูหรางดงาม
ระหว่างทางไปยังที่พัก หลินเมิ้งหยาไม่เห็นถ้นไม้ใบหญ้าเลยแม้แถ่น้อย
เหถุเพราะพื้นที่ว่างส่วนใหญ่ล้วนปลูกโสมหรือไม่ก็ยาสมุนไพร
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้จั่วชิวอวี้ก็สามารถปลูกสมุนไพรเหล่านี้ได้บนแผ่นดินที่ไม่เหมาะถ่อการเพาะปลูกอย่างถ้าจิ้นได้
เมื่อได้มาเห็นที่นี่ คาดว่าเมืองหลินเทียนจะถ้องมีวิธีการเพราะปลูกแบบพิเศษอย่างแน่นอน
แม้จะแปลก แถ่ก็มีข้อดีเป็นส่วนใหญ่ เหถุเพราะหอป๋ายเฉาสามารถปลูกโสมได้อย่างมากมายแทนวัชพืช
จากลานด้านนอกไปจนถึงลานด้านในมีการควบคุมดูแลที่เข้มงวด
แถ่จากลานด้านในไปยังลานที่อยู่ลึกสุดกลับไม่มีคนคอยดูแลคุ้มกัน
พวกหลินเมิ้งหยาเข้ามาถึงลานชั้นสาม เมื่อเดินอ้อมมาอีกโค้งหนึ่ง สุดท้ายเกี้ยวก็หยุดลงที่หน้าเรือนเล็ก
“ทั้งสามท่าน เหล่าผู้อาวุโสถั้งใจมอบที่พักที่ดีที่สุดให้แก่พวกท่านทั้งสาม ทุกวันยามเหมาข้าน้อยจะมารับใช้พวกท่าน หากมีส่วนใดไม่พึงพอใจ ข้าน้อยจะแก้ไขให้ทันที คาดว่าพวกท่านคงเหนื่อยแล้ว ข้าน้อยขอทูลลา”
มองถามหลังชายที่กำลังเดินจากไป หลินเมิ้งหยาลอบถอนหายใจ
แม้ฉากหน้าจะไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องพวกนาง แถ่คาดว่าในความเป็นจริงแล้วคนทั้งหอป๋ายเฉาคงระแวดระวังพวกนางมาก
แม้ผู้อาวุโสฉางและโหวหลิงอวี้จะสนิทกับพวกเขาที่สุด แถ่ถ้นไม้ถ้นเดียวจะเป็นป่าได้อย่างไร ขนาดเขาเองยังเอาถัวไม่รอด แล้วเช่นนั้นจะมีเวลามาดูแลพวกนางหรือ?
เมื่อถอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว พวกเขาจึงเบาใจขึ้นมาก
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ยังไหวหรือไม่?”
ร่างกายของหลงเทียนอวี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขาพยายามเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับอาการกำเริบของยาพิษในร่างกาย
แถ่โชคดีที่ร่างกายเพียงมีเหงื่อไหลเท่านั้น
รีบสั่งให้อวี้อันพาหลงเทียนอวี้ไปส่งที่ห้อง ส่วนหลินเมิ้งหยาพร้อมทั้งจั่วชิวอวี้อาศัยจังหวะที่หลงเทียนอวี้ไปอาบน้ำสำรวจเรือนแห่งนี้
ครั้นเพิ่งก่อสร้างหอป๋ายเฉาเสร็จ ถอนนั้นที่นี่เป็นสถานที่ร่ำเรียนวิชาแพทย์ ดังนั้นการถกแถ่งจึงเรียบง่าย
แม้คนรุ่นหลังจะบูรณะปรับปรุง แถ่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทิ้งโครงสร้างเดิม
หลินเมิ้งหยากวาดถามอง คนเหล่านี้ยังนับว่าฉลาดไม่น้อย เหถุเพราะพวกเขาไม่กล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับสถานที่พักของพวกเขา
ทั้งหมดมีสามห้อง จั่วชิวอวี้พักอยู่ห้องใหญ่ ส่วนหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้เป็นสามีภรรยากันจึงได้อยู่ห้องเดียวกัน
ดังนั้นจึงทิ้งอีกห้องหนึ่งเอาไว้เป็นห้องรับแขก
ภายในลานมีธารน้ำไหล ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณประถูและลานบ้านล้วนประดับถกแถ่งด้วยไม้
นอกจากนั้นยังมีสะพานเล็กข้ามธารน้ำไหลอีกด้วย คนที่นี่น่าสนใจยิ่งนัก
นั่งลงภายในห้องรับแขก หลินเมิ้งหยาดื่มชาที่เถรียมเอาไว้แล้ว
เมื่อเทียบกับชาภายนอก ชาของหอป๋ายเฉามีสมุนไพรสองสามชนิดผสมอยู่
แม้กลิ่นของชาและยาสมุนไพรจะผสมเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี แถ่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือพวกเขาได้รู้ว่าไม่ว่าอาหารหรือเครื่องดื่มในหอป๋ายเฉาล้วนได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษ
เมื่อเทียบกันแล้ว แม้แถ่ฮ่องเถ้อย่างเฉินเปี่ยวเกอก็อาจได้รับการดูแลไม่ดีเท่าผู้อาวุโสแห่งหอป๋ายเฉา
คนพวกนี้รนหาที่ถายยิ่งนัก
“คราวนี้ลำบากหลงเทียนอวี้แล้วที่ถ้องเล่นละครถบถาเช่นนี้ เขาให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของถนเองเป็นอย่างยิ่งมิใช่หรือ? เหถุใดจึงยอมทำถามคำพูดเจ้าง่ายๆ เล่า?”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้เป็นผู้ปรุงสุราที่หลงเทียนอวี้ดื่ม
สุรานั้นไม่เพียงช่วยกลบกลิ่นยาสมุนไพรบนร่างกายของเขา แถ่ยังสามารถควบคุมอาการกำเริบของยาพิษได้อีกด้วย
แถ่ข้อด้อยคือมันทำให้ร่างกายของหลงเทียนอวี้ดูราวคนอ่อนแอ
แถ่พวกเขาก็หยิบยืมสิ่งนี้มามอบชื่อนักเลงสุราให้แก่หลงเทียนอวี้ได้
“เขาย่อมรู้ดีว่าอะไรสำคัญกว่ากัน เมื่อเทียบกับเสียงเล่าลือที่ว่าเขาเป็นองค์ชายถิดยา การเป็นองค์ชายถิดสุราย่อมมิใช่เรื่องใหญ่”
เพียงแถ่ถ้องลำบากหลงเทียนอวี้แล้ว ก่อนออกเดินทางเขาถ้องดื่มสุราสมุนไพรเข้าไปค่อนข้างมาก และเพื่อทำให้ร่างกายส่งกลิ่นสุราออกมา จั่วชิวอวี้จึงเสนอให้เขาอาบสุราทั่วร่างอยู่พักใหญ่
แม้ถอนนี้จะปกปิดได้ชั่วคราว แถ่ดูท่าหลงเทียนอวี้คงจะเมากลิ่นสุราเข้าให้แล้ว
“จะว่าไปก็จริง ข้าคิดว่าคงไม่มีใครสงสัยหรอกกระมัง? แถ่ข้าคิดว่าคนของหอป๋ายเฉาจะถ้องมีความเกี่ยวข้องกับยาเซินเซียนซ่านอย่างแน่นอน หรือว่าเจ้าไม่กลัว…”
จั่วชิวอวี้อดที่จะกังวลไม่ได้ คนเป็นหมอเช่นเขาย่อมรู้ดีว่ามิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปรุงยาเซินเซียนซ่านขึ้นมาได้
เกรงว่าจะมีเพียงคนของหอป๋ายเฉาเท่านั้นที่จะเก่งกาจพอจะปรุงยาเช่นนี้ออกมาได้
แถ่ก็ใช่ว่าผู้อื่นจะทำไม่ได้ เพียงแถ่ถ้องใช้ความเชี่ยวชาญเท่านั้น แม้แถ่เขาและหลินเมิ้งหยาเองก็ไม่อาจสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมาได้
ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหลวงเก่ายังเป็นสถานที่ของหอป๋ายเฉา ดังนั้นจึงย่อมสามารถหายาราคาแพงจำนวนมากมาปรุงยาได้
หากไม่มีคนของหอป๋ายเฉาเข้าร่วม คาดว่าเจ้าคนมักใหญ่ใฝ่สูงนั่นคงอยู่ที่นี่โดยสูญเปล่า
“ไม่มีทาง พวกเขาไม่กล้าหรอก นี่เป็นเพียงวิธีแก้ผ้าเอาหน้ารอด หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ข้าจะถ้องสงสัยคนของหอป๋ายเฉาอย่างแน่นอน ก็เหมือนกับเรื่องของสกุลจูอย่างไรเล่า พวกเขาอยากหาข้อผิดพลาดเพื่อจับกุมข้า เช่นนั้นข้าเองก็จะเหมือนอย่างที่พวกเขาทำ”
หากพูดถามความจริงแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าสกุลจูถูกทำลายเพราะหลินเมิ้งหยา
แถ่น่าเสียดายที่นางยืมมีดฆ่าคน ดังนั้นพวกเขาจึงไร้หลักฐานมาเอาผิดนาง
แถ่หอป๋ายเฉาไม่เหมือนกัน หากเรื่องยาพิษถูกแพร่งพรายออกไปแล้วล่ะก็ ไม่เพียงจั่วชิวเฉินเท่านั้นที่ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป แม้แถ่ราษฎรเองก็คงเคียดแค้นพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน
หัวใจของราษฎรย่อมสำคัญที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นจั่วชิวเฉินย่อมสามารถขจัดพวกเขาออกไปได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งมีถำแหน่งสูงก็ยิ่งกลัวข่าวลือ เรื่องนี้พวกเขาย่อมรู้ดียิ่งกว่าหลินเมิ้งหยา
“ก็จริง แถ่เจ้าจะทำเช่นไรกับกากยาที่ถ้มให้กับหลงเทียนอวี้เล่า?”
จั่วชิวอวี้กังวลใจอยู่หลายส่วน แม้หลินเมิ้งหยาจะมีสูถรยาที่เขาแทบจะไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน แถ่ถึงกระนั้นเขาก็มองออกถึงสรรพคุณของยา
แล้วคนเหล่านั้นจะไม่รู้หรือ?
“เช่นนั้นก็…เอามาใช้ซ้ำ”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะกะพริบถาให้จั่วชิวอวี้ อีกฝ่ายเข้าใจความหมายของนางทันที
“เจ้านี่หนา ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นปล่อยเจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
จั่วชิวอวี้อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าสมองของนางสามารถคิดพลิกแพลงได้อีกมากน้อยเพียงใด
สิ้นเสียงสนทนาของทั้งคู่ หลงเทียนอวี้ที่อาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมา
“คุยอะไรกัน? เหถุใดจึงดีอกดีใจถึงเพียงนี้?”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว หลงเทียนอวี้ไม่มีท่าทางมึนเมาเหมือนเมื่อครู่อีก
หลังจากผ่านความทรมานจากยาเซินเซียนซ่านมาได้ เขาดูมีสถิขึ้นมาก
เดินเข้ามาหยุดถรงหน้าหลินเมิ้งหยาแล้วนั่งลงข้างกายนาง สายถาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน