ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 18 บทที่ 514 บริภาษผู้อาวุโส
เพียงประโยคนี้หลุดออกจากปากของอีกฝ่าย สีหน้าของหลินเมิ้งหยาพลันถมึงทึง
พวกเฉียนอวี้หมิงเป็นถึงผู้อาวุโส พวกเขาไม่ควรเอื้อนเอ่ยเช่นนี้
บางทีอาจเพราะได้ถือครองตำแหน่งใหญ่มานานหลายปี ดังนั้นพวกเขาจึงลืมกำพืดของตนเอง
ดวงตาคู่ฉายแววดูแคลนมองอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
“เช่นนั้นหรือ? วันนี้ทุกท่านคงได้ยินแล้ว เฉียนอวี้หมิงเป็นเพียงราษฎรคนหนึ่งของเมืองหลินเทียน แต่ถึงกระนั้นก็มีตำแหน่งใหญ่ในหอป๋ายเฉา อีกทั้งยังเป็นขุนนางคนหนึ่ง แม้มารดา าของข้าจะมิใช่ลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉา แต่ท่านแม่ก็มีฐานะเป็นถึงจ่างกงจู่ พวกเจ้าควรลงท้ายชื่อของท่านแม่ว่าองค์หญิงด้วยซ้ำ ทว่าวันนี้เจ้ากลับพูดจาให้ร้ายมารด ดาของข้า นี่หรือว่าผู้อาวุโสฉางไร้ซึ่งความจงรักภักดีแล้ว? หรือเจ้าคิดว่าเมืองหลินเทียนแห่งนี้เป็นของพวกเจ้าสกุลเฉียน!”
บางคำพูดเฉียนอวี้หมิงเคยคิด แต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา
ทว่าหลินเมิ้งหยาไม่เหมือนกัน คำพูดของนางเปรียบดั่งฝ่ามือที่ฟาดลงบนหน้าของเขา
ดังนั้นบางคำพูดแม้จะไม่เหมาะสม นางก็พูดโพล่งออกมาจนหมด
แม้แต่เฉียนอวี้หมิงเองก็คิดไม่ถึงว่าอันเล่อจวิ้นจู่จะมีวาจาคมกริบเช่นนี้
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา เขาทำได้เพียงนิ่งอึ้งไม่อาจเอื้อนเอ่ยอันใดต่อได้
ยิ่งไปกว่านั้นจั่วชิวอวี้กำลังจ้องหน้าเขาจนตาแทบจะหลุดจากเบ้าแล้ว
หากเขายังกล้าเสียมารยาทต่อไป เกรงว่าตนเองจะต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างแน่นอนแล้ว
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ผู้อาวุโสฉางเพียงแค่เลอะเลือนไปบ้างเท่านั้น หวังว่าจวิ้นจู่จะให้อภัยเขาด้วย”
ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด ตวนมู่หยางเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
ทว่าคราวนี้ตาเฒ่าทั้งสองต้องยอมเอ่ยวาจามีมารยาทกับนางแล้ว
นางกล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่า หากยังไร้มารยาท เช่นนั้นพวกเขาคงตกอยู่ในฐานะกบฏ
พวกเขามิได้โง่เขลา ในเมื่อสตรีตรงหน้ากล้าเอ่ยเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่คิดต่อกรกับนางต่อไป
“ฮึ เช่นนั้นหรือ? แต่วันนี้ข้าต้องการคำตอบว่าตกลงท่านผู้อาวุโสสูงสุดมอบของสิ่งนั้นให้ท่านแม่จริงหรือท่านแม่เพียงแค่โกหกพกลมเท่านั้น!”
คราวนี้หลินเมิ้งหยาไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกต่อไป
เฉียนอวี้หมิงไม่ควรพูดจาให้ร้ายจ่างกงจู่ หลินเมิ้งหยายังคงเค้นถามเอาความจนถึงที่สุด
“คือ…เรื่องนั้น…พวกเรามิได้เห็นกับตาตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าตวนมู่หยางถูกหญิงสาวร่างเล็กไล่ต้อนจนทำอะไรไม่ถูกตั้งแต่เมื่อไร
แต่เพราะด้านหลังของนางมิได้มีเพียงองค์ชายแห่งเมืองหลินเทียนเท่านั้น บัดนี้ยังมีองค์ชายแห่งต้าจิ้นที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์อีกด้วย ดังนั้นตวนมู่หยางจึงอดที่จะด่าเฉียนอวี้หมิง งในใจไม่ได้
ทว่าคำตอบของเขายังไม่อาจสร้างความพอใจให้แก่หลินเมิ้งหยาได้
ดวงตากลมโตยังคงถลึงมองจนตวนมู่หยางทำอะไรไม่ถูก
“แต่ด้วยอุปนิสัยของจ่างกงจู่ ข้าคิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะต้องมอบมันให้แก่จ่างกงจู่อย่างแน่นอน จวิ้นจู่คิดเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เอื้อนเอ่ยอย่างระมัดระวังจนจบ หลินเมิ้งหยาทำเพียงปรายตามองเขา เม้มปากแน่นไม่ยอมเอ่ยอันใด
แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่บีบคั้นพวกตนแล้ว ตวนมู่หยางจึงรู้ได้ทันทีว่าเรื่องในคราวนี้คงจบแต่เพียงเท่านี้
วันนี้พวกเขาเพียงแค่ต้องการมาถามหยั่งเชิงหลินเมิ้งหยาและจั่วชิวอวี้เท่านั้น
แต่ใครจะคิดเล่าว่าอันเล่อจวิ้นจู่จะแผ่แม่เบี้ยไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ราวกับว่าพร้อมจะพ่นพิษได้ทุกเมื่อเช่นนี้
รีบบอกให้เฉียนอวี้หมิงขออภัยอีกฝ่าย ก่อนจะพากันกลับออกไปจากเรือนของหลินเมิ้งหยา
“พวกอันธพาล!”
มองตามทั้งสองที่เดินจากไป หลินเมิ้งหยาตบโต๊ะเสียงดัง
หอป๋ายเฉาตัวดี! ผู้อาวุโสตัวดี!
บ้าอำนาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หากวันหนึ่งพวกเขาได้อำนาจสูงสุดไป เกรงว่าเมืองหลินเทียนคงตกเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน
“อันที่จริงจวิ้นจู่ไม่จำเป็นต้องมีโทสะถึงเพียงนี้ ข้าอยู่ในหอป๋ายเฉามานาน ดังนั้นย่อมรู้จักนิสัยใจคอของพวกเขาทั้งสองดี แม้พวกเขาจะได้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด แต่ก็คงไม่กล้าเป็น นศัตรูกับฝ่าบาท ทว่าหากเป็นผู้อื่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”
ฉางเทียนหัวเอ่ยชี้แนะ ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรู้อุปนิสัยใจคอของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นบางคำพูดจึงมีเพียงความหวังดี แต่บางคำพูดก็ไม่อาจพูดออกไปได้
แต่ดูเหมือนจวิ้นจู่พระองค์นี้จะยอดเยี่ยมยิ่งนัก
แม้เขาเองก็อยากขึ้นครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดมานานแล้ว แต่เขายอมรับว่าตนเองไม่อาจเทียบพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นได้
เหตุที่มาในคราวนี้ก็เพื่อต้องการแสดงความจริงใจเท่านั้น
“ขอบคุณคำแนะนำของผู้อาวุโสฉางมากเจ้าค่ะ ฮึ พวกเขาเห็นฮ่องเต้เป็นอะไรกัน? พระองค์เปรียบดั่งทวยเทพบนสวรรค์ชั้นฟ้า ตำแหน่งฮ่องเต้มิใช่ตำแหน่งที่จะสามารถเป็นได้ง่ายดาย พวกเขาทำให้ หอป๋ายเฉาต้องมัวหมอง ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าหากพวกเขาสามารถสั่งฟ้าสั่งดินได้ เช่นนั้นคงเกิดภัยพิบัติเป็นแน่!”
คำพูดของหลินเมิ้งหยามิได้กล่าวออกมาให้หลงเทียนอวี้ฟัง แต่หลงเทียนอวี้ที่ได้ยินกลับชะงักไปครู่หนึ่ง
ทุกคนล้วนเอ่ยว่าฮ่องเต้เปรียบดั่งทวยเทพ ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากได้ตำแหน่งนี้มาครอบครอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
เพราะเหตุนี้นางจึงพยายามสร้างกำลังใจให้เขาชิงตำแหน่งฮ่องเต้มาให้จงได้
ที่แท้นางก็มองสิ่งเหล่านี้ออกอย่างถ่องแท้แล้ว
หรือเหตุที่สกุลหลินเลือกที่จะเป็นกลางมาโดยตลอดก็เพราะมองเห็นทุกสรรพสิ่งอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
หลงเทียนอวี้อดที่จะชื่นชมการมองการณ์ไกลของสกุลหลินไม่ได้
แต่เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนางได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากโลกในยุคปัจจุบัน
หลายพันปีต่อมา ความคิดของคนล้วนพัฒนาไปไกลกว่าตอนนี้มาก
“เอาล่ะ หากยังโมโหต่อไป เกรงว่าเจ้าจะไม่สบายเอาได้ วันนี้เจ้าแสดงท่าทีไร้เยื่อใยกับพวกเขาไปแล้ว คาดว่าพวกเขาคงเข็ดหลาบแล้วเช่นกัน แต่ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าไปฝึกฝนวิธีบันดาลโ โทสะเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
จั่วชิวอวี้ย่อมต้องการออกมาร่วมตอบโต้พวกเขาด้วย เหตุเพราะเขาล่วงรู้ถึงความทะเยอะทะยานของคนเหล่านั้นดี
เมื่อก่อนเขามีความคิดอยากเป็นผู้อาวุโสสูงสุดเพียงสองสามส่วน แต่ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นห้าหกส่วนแล้ว
“ข้ามิได้บันดาลโทสะเสียหน่อย แต่….ช่างเถิด ผู้อาวุโสฉางอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ ผู้น้อยทำให้ท่านต้องมัวหมองใจแล้ว”
หลินเมิ้งหยาเพียงมีโทสะเพราะคำพูดของเฉียนอวี้หมิงเท่านั้น
แต่แม้อารมณ์จะโหมกระพืออย่างรวดเร็ว แต่ก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
เพียงพริบตาเดียว นางก็กลับมาส่งยิ้มให้ผู้อาวุโสฉางดั่งเดิม
ดังนั้นผู้อาวุโสฉางจึงตัดสินใจได้ในทันทีว่าเขาจะเข้าร่วมเป็นพรรคพวกของพวกหลินเมิ้งหยา
ดังนั้นเขาจึงเผยข้อมูลการแข่งขันออกมาไม่น้อย
จั่วชิวอวี้พาผู้อาวุโสฉางไปส่งด้วยตัวเอง หลินเมิ้งหยานั่งจิบชาภายในห้องรับแขก
“อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องลำบาก จั่วชิวอวี้คนนี้หาใช่คนธรรมดาเหมือนที่แสดงออก”
หลงเทียนอวี้ไม่อาจทนเห็นหลินเมิ้งหยาเหนื่อยได้
โดยเฉพาะช่วงนี้ร่างกายของนางซูบผอมลงมาก ดังนั้นหลงเทียนอวี้จึงอดที่เจ็บปวดใจไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ หม่อมฉันออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นตำราชิงเจิงผู่ต้องถูกทำลายเพราะมารดาของหม่อมฉัน หม่อมฉันเองก็รู้สึกผิดต่อหอป๋ายเฉาเช่นเดียวกัน”
คำพูดนี้มิใช่คำโป้ปด
ตำราชิงเจิงผู่เป็นตำราแพทย์ที่ยอดเยี่ยม หากมิใช่เพราะเรื่องส่วนตัวของนาง ก็คงถูกสืบทอดต่อไปแล้ว
ดังนั้นนางจึงมีส่วนในความผิดคราวนี้
เชื่อว่าท่านแม่เองก็คงไม่อยากให้เป็นเช่นนี้
ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงตัดสินใจแล้วว่าหากจั่วชิวอวี้ได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแห่งหอป๋ายเฉา เช่นนั้นนางจะหาคนเขียนตำราชิงเจิงผู่ขึ้นมาใหม่
หากจั่วชิวอวี้ล้มเหลว เช่นนั้นนางก็มีวิธีป้องกันตำราเล่มนี้มิให้ถูกทำลาย
“เมิ้งหยา อันที่จริงข้ามีเรื่องอยากบอกกับเจ้า…”
หลงเทียนอวี้รวบรวมความกล้า เขาอยากเล่าเรื่องที่เสด็จพ่อส่งตัวเองมาตามหาตำราชิงเจิงผู่
ทว่าเขาพูดได้เพียงครึ่งเดียว เสียงตะโกนของอวี้อันพลันดังขึ้น
“นั่นใคร! หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลินเมิ้งหยารีบวิ่งไปที่ประตู
นางเห็นอวี้อันกำลังวิ่งไล่ตามใครบางคนไปทางเรือนเล็กฝั่งซ้ายมือ
เมื่อครู่มีคนสอดแนมอย่างนั้นหรือ?
หลงเทียนอวี้รีบตามหลังหลินเมิ้งหยาไป แต่ไหนแต่ไรมาประสาทสัมผัสของเขาว่องไวกว่าหลินเมิ้งหยามาก
แต่หากเมื่อครู่ไม่ได้ยินเสียงของอวี้อัน เขาก็คงไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของคนคนนั้น
หรือคนคนนี้จะมีวิทยายุทธ์ลึกล้ำ?
“เมื่อครู่คนคนนี้แอบอยู่ล่างหน้าต่าง”
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองร่องรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้
ผลปรากฏว่าด้านล่างหน้าต่างมีรอยหญ้าที่ถูกเหยียบ
หลงเทียนอวี้สังเกตเห็นแล้ว ดังนั้นทั้งสองจึงเดินไปยังข้างหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง
“จริงๆ ด้วย แต่เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกตัวเล่า?”
สีหน้าหลงเทียนอวี้เริ่มไม่น่ามอง
หลินเมิ้งหยาเอื้อมมือลงไปที่พื้นแล้วหยิบของชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลิกดู ก่อนนางจะรู้ว่ามันคือส่วนปลายของธูป
“นี่คือสาเหตุเพคะ ของสิ่งนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเราด้านชา แต่เพราะถูกใช้ที่ด้านนอก ดังนั้นจึงทำให้ประสาทสัมผัสของพวกเราช้าลงเท่านั้น ร่างกายของพระองค์ ยังอ่อนแอ ดังนั้นจึงถูกของสิ่งนี้รบกวนได้ง่าย”
อันที่จริงหากไม่ได้ระบบเซินหนงคอยช่วย นางก็คงไม่สังเกตเห็นของสิ่งนี้
หยิบมาดมกลิ่น นางที่เคยมั่นใจประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นของตนเองเสมอรู้สึกข้องใจเล็กน้อย
ดูจากการเผาไหม้ของธูปแล้ว คาดว่ามันคงถูกจุดตั้งแต่ตอนที่พวกเฉียนอวี้หมิงมาถึง
แปลก หรือพวกเฉียนอวี้หมิงเองก็ถูกจับตามองเช่นเดียวกัน?
มิเช่นนั้นเหตุใดจึงมีคนพรางตัวอยู่ด้านล่างหน้าต่างเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาถูกอวี้อันพบตัว ซ้ำยังรู้ทางหนีทีไล่ แสดงว่าวิทยายุทธ์ของเขามิได้สูงนัก
ดูเหมือนการคาดเดาในคราวก่อนของนางจะมีข้อบกพร่องเสียแล้ว
ที่นี่คือหอป๋ายเฉา ยาสมุนไพรมีมากมายนับไม่ถ้วน
ดูท่าการป้องกันของนางจะล้มเหลวเสียแล้ว!