คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 665 ใครบอกว่าพ่อแม่เจ้าตายแล้ว / ตอนที่ 666 วันนี้ยังอีกยาวนาน
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 665 ใครบอกว่าพ่อแม่เจ้าตายแล้ว / ตอนที่ 666 วันนี้ยังอีกยาวนาน
ตอนที่ 665 ใครบอกว่าพ่อแม่เจ้าตายแล้ว
สีหน้าของไป๋เจินจูพลันซีดเผือด มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ นางท่องคำพูดที่เผยชิงหานกล่า าวกับนางก่อนหน้านี้ไม่ยอมหยุด ต้องใจเย็น อย่าแตกตื่น อย่าลนลาน ยิ่งสถานการณ์ย่ำแย่ก็ยิ่งต้องใจเย็น ลนลานไม ม่ได้เด็ดขาด
นางคือคุณหนูใหญ่สกุลเผย
เมื่อสงบจิตใจได้แล้ว นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลุบตากล่าวว่า “ที่บ้านเกิดไฟไหม้ พ่อแม่ของข้ากับท่านย่าล้ วนตายตก” กล่าวจบนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา หมายจะร้องไห้อยู่หลายเสียง
แต่หูเฟิงกลับเอ่ยว่า “ใครบอกว่าพ่อแม่เจ้าตายแล้ว”
ไป๋เจินจูงุนงง นางเงยหน้าขึ้นในทันที มองเขาอย่างตกตะลึง “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่า ใครบอกเจ้าว่าพ่อแม่เจ้าตายแล้ว” หูเฟิงมองนางคล้ายยิ้ม คล้ายไม่ยิ้ม แววตาเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
“เจ้าหมายความว่า พ่อกับแม่ของข้ายังไม่ตายหรือ” ไป๋เจินจูเร่งถาม
เผยเซี่ยเฉินที่อยู่ข้างๆ รีบดึงแขนเสื้อของเซียงอี๋เหนียง ถามเสียงเบาว่า “พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน พ่อแ แม่ของนางไม่ได้อยู่ที่เรือนรับแขกของพวกเราหรือ”
เซียงอี๋เหนียงก็สับสนเช่นกัน ชางหยวนโหวเพียงบอกนางว่าเด็กคนนั้นตายไปแล้ว ที่พากลับมาตอนนี้เป็นเพียงตัว ปลอม แต่ไม่เคยพูดเรื่องอื่นให้นางฟัง
“ใช่ พวกเขายังไม่ตาย หากเจ้าคิดถึงพวกเขา ข้าออกแรงช่วยเจ้ารับพวกเขาเข้าเมืองหลวงมาก็ได้” หูเฟิงเอ่ย
ไป๋เจินจูโบกมือทันที “ไม่ๆๆ ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องรับพวกเขาเข้าเมืองหลวง”
หูเฟิงพลันถามบ้าง “เพราะเหตุใดเล่า ตอนนี้เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุลเผยแล้ว มีชีวิตสุขสบาย พ่อแม่ของเจ้าลำบากเ เลี้ยงเจ้าจนโตมาได้ขนาดนี้ ตามเหตุผลแล้วเจ้าก็ควรจะตอบแทนพวกเขาบ้าง”
ไป๋เจินจูพลันคิดไม่ทัน “ขะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ความหมายของข้าก็คือ ตอนนี้อย่าเพิ่งรับพวกเขามาเลย ผ่า านช่วงนี้ไปก่อน แล้วข้าจะไปรับพวกเขามาเอง”
“จริงหรือ” หูเฟิงยิ้มเย็น ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เขาหันไปเอ่ยกับพนักงานข้างๆ ว่า “คุณหนูตงฟางอยู่ที่ใด”
พนักงานรีบก้าวมานำทางพวกเขา ไปยังห้องรับรองที่ใหญ่ที่สุดด้านใน
ไป๋เจินจูหมดกำลังใจ อย่างไรนางก็คิดไม่ถึง นางมาที่เมืองหลวงได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน คนที่นางไม่อยากพบหมุนเวียนกัน นปรากฏตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง แล้วนางจะยังนั่งอยู่ในตำแหน่งคุณหนูใหญ่แห่งสกุลเผยได้มั่นคงอย่างไร
นางเพิ่งมีชีวิตสุขสบาย ก็มาถึงปลายทางแล้วหรือไม่
ไม่ ไม่ได้ นางไม่ยอม!
เสียงมากมายดังมาจากอีกด้านหนึ่ง ล้วนเป็นเสียงที่นางคุ้นเคยทั้งสิ้น ไป๋จื่อ จ้าวหลาน หูจ่างหลิน…
พวกเขาล้วนมาแล้ว มาถึงแล้วจริงๆ!
“เจ้าเป็นอะไรไป” เซียงอี๋เหนียงเห็นนางเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไป๋เจินจูส่ายหน้า รีบยกชายกระโปรงขึ้นเดินลงไปชั้นล่าง ออกจากหอเทียนอีไปราวกับหนีอะไรบางอย่าง
…
ภายในห้องรับรอง ไป๋จื่อกำลังถือผ้าต่วนสีม่วงทาบลงบนร่างของจ้าวหลาน “สีนี้สวยนัก เหมาะกับท่านแม่ยิ่ง”
ตงฟางหว่านเอ๋อร์ยิ้ม “ไม่เลวเลยจริงๆ เอาชิ้นนี้แหละ” พนักงานข้างๆ รีบจดบันทึกทันที
จ้าวหลานดันร่างไป๋จื่อ “เจ้าเลือกให้ตัวเองด้วยสิ อย่าเอาแต่เลือกให้ข้า”
ไป๋จื่อรับคำ เมื่อนางหมุนกายไป ประตูห้องรับรองเปิดออกพอดี ใบหน้าที่คุ้นเคยสะท้อนเข้าสู่ม่านตาของนาง นางพล ลันหลุดปากเรียกออกมา “หูเฟิง?”
เมื่อหูจ่างหลินที่กำลังสนทนากับเสี่ยวเฟิงได้ยินดังนั้น เขาก็หันร่างมาในทันที ทันทีที่เห็นหูเฟิงยืนอยู่ตรงห หน้าประตู เขาก็รีบเดินเข้าไปหา “อาเฟิง? เป็นเจ้าจริงๆ หรือ”
หูเฟิงจับมือที่หูจ่างหลินยืนมา เขายิ้มเอ่ยว่า “ท่านพ่อ เป็นข้าเอง ข้ากลับมาแล้ว”
หูจ่างหลินดีใจมาก ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา ปลายจมูกก็รู้สึกแสบเช่นกัน เขาพยายามอดทนไม่ให้ตนเองร้องไห้ออกมา ก่อน จะพยักหน้า “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้วละ!”
……….
ตอนที่ 666 วันนี้ยังอีกยาวนาน
เมื่อได้ยินหูเฟิงเรียกว่าพ่อ เขาก็รู้สึกว่าชีวิตนี้ของตนคุ้มค่ามาแล้ว
สามปีมานี้ ถือว่าไม่ได้รักและเอ็นดูเขาโดยเสียเปล่า สิ่งที่เขาทุ่มเทไป บัดนี้ราวกับได้รับคืนมาจนสิ้น
หูเฟิงไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นถึงองค์ชายของแคว้นฉู่ เป็นอ๋องเทพสงคราม เขาสกุลฉู่ ไม่ใช่สกุลหู ทว่าหลังจากเขาฟ ฟื้นความทรงจำกลับมาได้แล้ว เขาก็ยังคงเรียกตนว่าพ่อ ยังคงใช้สายตาของความรักที่เจือปนไปด้วยความเคารพนับถือมอ องมาเช่นเดิม
หรูเอ๋อร์โผเข้าสู่อ้อมอกของอาอู่ ร้องไห้โฮเสียงดัง
โจวกังพาตัวโจวเสี่ยวเฟิงไปที่ด้านหนึ่ง ก่อนจะพิจารณาบุตรชายตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำตาร้อนๆ ไหลเอ่อ
ไป๋จื่อผินหน้าไป ลอบเช็ดน้ำตาที่หางตาของตนเองบ้าง ก่อนจะเงยหน้าเล็กๆ พลางยิ้มกริ่ม “ร้องไห้กันหมดแล้ว ตอน นนี้ควรจะเป็นเวลาที่ต้องยิ้มและหัวเราะกันไม่ใช่หรือ พวกเราไปดื่มสุราที่ร้านสือเค่อกันเถอะ วันนี้เป็นวันดีน นัก ไม่เมาไม่เลิก!”
ฟู่เจิงพยักหน้าในทันที “ดี ไปดื่มสุรากัน วันนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิก!” ครอบครัวของฟู่เจิงไม่เหลือใครแล้ว บัดนี้สก กุลฟู่เหลือเพียงแค่เขาลำพัง เมื่อได้เห็นพวกเขาหวนกลับมาพบกันอีกครั้ง ในใจก็พลันรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาอย่างมาก ก
หูเฟิงตบบ่าของเขาเบาๆ แล้วพยักหน้าให้เขาด้วย
ฟู่เจิงยิ้มขื่น ก่อนจะถอนใจออกมาเสียงหนึ่ง
พวกเขาออกจากหอเทียนอี หูเฟิงจงใจผ่อนฝีเท้า เพื่อเดินอยู่เคียงข้างไป๋จื่อ เขากวาดสายตามองเหนือศีรษะของนาง ยั งคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
“ปิ่นที่ข้ามอบให้เจ้าเล่า” เขาถาม
ไป๋จื่อยิ้มถามบ้าง “ปิ่นอะไรหรือ!”
“อย่ามาแกล้งทำ!”
“ข้าไม่ได้แกล้งทำ!”
เพียงแค่สนทนากันไม่กี่คำ กลับก่อความรู้สึกอบอุ่นและหอมหวานจนเกือบพาให้คนเมามายได้เลยทีเดียว
ตงฟางหว่านเอ๋อร์มองหูเฟิง ในใจรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก นางมองออกว่าหูเฟิงจริงใจกับไป๋จื่อ ในดวงตาของเขามีเพี ยงไป๋จื่อคนเดียวเท่านั้น
เพียงแต่ตอนนี้จื่อเอ๋อร์เพิ่งอายุสิบสามปี ส่วนหูเฟิงอายุยี่สิบสามปีแล้ว เขายังจะรอจื่อเอ๋อร์อีกสักสองปีได้ห หรือไม่
ถึงแม้เขาจะไม่ได้รีบร้อน ทว่าฮ่องเต้คงจะรีบร้อนอยู่บ้างกระมัง
พวกเขาเดินทางถึงร้านสือเค่อแล้ว พนักงานเห็นพวกเขามากันหลายคน อีกทั้งตอนนี้ยังไม่ใช่เวลากินข้าว ห้องรับรองบน นอาคารยังว่างอยู่ จึงจัดเตรียมห้องรับรองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดให้พวกเขา
มากินข้าวในตอนที่ไม่ใช่เวลากินข้าว ข้อดีที่สุดคงจะเป็นการไม่ต้องรออาหาร เหล่าพ่อครัวใหญ่กำลังว่างมาก จึงทำอา าหารอย่างสุดฝีมือ ใช้เวลาเพียงไม่นาน อาหารก็ถูกจัดวางเสียเต็มโต๊ะแล้ว
ไป๋จื่อนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างจ้าวหลานและตงฟางหว่านเอ๋อร์ ส่วนหูเฟิงนั่งอยู่ข้างๆ หูจ่างหลิน คอยคีบอาหารเต ติมให้หูจ่างหลินไม่ยอมหยุดมือ เขารู้ว่าหูจ่างหลินชอบกินเผ็ด จึงสั่งอาหารที่มีรสชาติจัดจ้านกับพนักงานสองสา ามอย่างเป็นพิเศษ
หูจ่างหลินเบิกบานใจจนยิ้มไม่หุบ “พอแล้วๆ ข้าเองก็ไม่ได้หิว กินนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้วละ พวกเจ้าเพิ่งมาถึงเมือง งหลวงวันนี้ ระหว่างทางคงลำบากมาก พวกเจ้ากินให้มากหน่อยเถอะ”
อาอู่ยิ้มว่า “ไม่นับว่าลำบากหรอกขอรับ พวกข้าล้วนชินกันเสียแล้ว ที่ลำบากที่สุดคงจะเป็นการที่ไม่ได้กินอาหา ารที่อาจื่อทำ ข้ากับท่านอ๋องกินหรือกลืนอะไรไม่ลงทั้งสิ้น ดูสิ ท่านอ๋องผอมลงตั้งเยอะแน่ะ”
จ้าวหลานยิ้มกว้าง พลางโบกมืออย่างเบิกบานใจ “เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้พวกเจ้ามาที่คฤหาสน์ตงฟางเถอะ ข้ากับจื่อเอ๋อร ร์จะทำอาหารให้กินสักมื้อ”
หูเฟิงยิ้มจาง ก่อนจะยื่นมือไปคีบลูกชิ้นกุ้งแก้วใส่ลงในชามของไป๋จื่อ เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องทำเยอะนัก กั บข้าวห้าอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่างก็พอแล้ว”
กับข้าวห้าอย่างกับน้ำแกงหนึ่งอย่าง? ไป๋จื่อมองตาขวางใส่เขาครั้งหนึ่ง
อาอู่กล่าวอีกว่า “ต้องทำเกี๊ยวด้วยนะ ท่านอ๋องบ่นถึงมันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว”
หูเฟิงคีบเนื้อวัวหมักซีอิ๊วใส่ลงในชามของไป๋จื่ออีก เอ่ยเสียงเรียบ “เกี๊ยวทอดและเกี๊ยวน้ำล้วนต้องมี”
อาอู่ดีใจมาก อ้าปากหมายจะพูดอะไรอีก ทว่าไป๋จื่อกวาดสายตาคมกริบมองไปทางเข้าสียก่อน “วันนี้ยังอีกยาวนานนะเ เจ้าคะ พี่อู่!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อาอู่พลันป้องปากหัวเราะ โบกมือเอ่ยว่า “เอาละๆ ข้าไม่พูดแล้ว!”