คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 705 หนี / ตอนที่ 706 วังสือฝูหลอมยา
ตอนที่ 705 หนี
ไป๋เจินจูกล่าวด้วยความร้อนใจ “ป้าสะใภ้ เป็นเพราะเขาไม่มีทางไว้ชีวิตพวกเรา พวกเรายิ่งต้องหาทางหนีทีไล่ให้ตนเอง จะนั่งรอความตายได้อย่างไรกัน”
หลิวซื่อจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะ รู้สึกว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ไม่มีคนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูแล้ว จึงยกมือขึ้นคว้ามือของไป๋เสี่ยวเฟิง ร รีบพูดว่า “พวกเราหนีเถอะ หนีไปตอนนี้ยังอาจจะมีทางรอด ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปมีแต่จะต้องตายสถานเดียว”
หนี? ไปจากที่นี่?
ไป๋เจินจูไม่เคยคิดถึงหนทางนี้ กว่าจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายไม่ใช่เรื่องง่าย ตำแหน่งบุตรีของสกุลสูงศักดิ์ที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้ นางจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร
ไม่ นางไม่ยอม เพื่อชีวิตในตอนนี้ นางยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง บิดา มารดา ครอบครัว เกียรติ และความรัก ยากนักกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ สิ่งที่นางได้กลับมาคือการหนีตายหรือ
หนีออกจากจวนโหวแล้วนางจะไปที่ใดได้อีก นางกลับหมู่บ้านหวงถัวไม่ได้ เพราะไม่มีหน้าจะไปพบบิดามารดาแล้ว และนางไม่ยอมใช้ชีวิตอาภัพเช่นนั้นอีกเด็ดขาด
จู่ๆ ไป๋เสี่ยวเฟิงที่เอาแต่เงียบเชียบไม่พูดจาก็พูดโพล่งขึ้นมา “ข้ามีความคิดดีๆ แล้ว”
หลิวซื่อและไป๋เจินจูมองเขาในทันที รีบถามว่า “เจ้ามีความคิดอะไร รีบพูดมาเร็ว!”
ไป๋เสี่ยวเฟิงลุกขึ้นจากพื้นเย็นๆ เขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปที่หน้าประตู เปิดประตูแง้มดูข้างนอก เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนเฝ้าประตูไม่อยู่ เขาถึงจะหันไปมองไป๋เจินจู แล้วเอ่ย “เ เจ้ารีบช่วยพวกข้าออกจากจวนโหวก่อน มอบเงินให้พวกข้าเล็กน้อย พวกข้าจะเปลี่ยนตัวตนใหม่ เปลี่ยนชื่อสกุล ไม่ให้คนของจวนโหวตามตัวพบ เช่นนี้แล้วสกุลเผยถึงจะอยู่ในกำมือของ เจ้า ข้าขู่เข็ญพวกเขาได้หลังจากนั้น”
ไป๋เจินจูตาเป็นประกาย แผนการนี้ของไป๋เสี่ยวเฟิงเข้าท่าไม่หยอก ขอเพียงหลิวซื่อและไป๋เสี่ยวเฟิงออกจากจวนโหวไปได้ พักอาศัยในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก นั่นก็เท่ากับนำความลับ ของเผยชิงหานออกไปแล้ว ขอเพียงเผยชิงหานยังนึกถึงเกียรติของเขาอยู่ เขาย่อมไม่กล้าใช้หลิวซื่อมาบีบบังคับอะไรนาง และนางก็จะได้นั่งตำแหน่งคุณหนูใหญ่ของสกุลเผยต่อไป
หลิวซื่อเข้าใจเจตนาของเสี่ยวเฟิงในทันที นางพูดเสียงแหลมว่า “จะใช้ชีวิตในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย จะไปที่ใดล้วนต้องใช้เงิน ทั้งเสื้อผ้า อาหาร และที่อยู่อาศัย ไม่มีอะไรเป็น ของถูกเลย พวกข้าสองแม่ลูกคิดจะอยู่ที่นี่เกรงว่าจะไม่ง่าย!”
จะขอเงินอีกแล้วสินะ!
ไป๋เจินจูกลุ้มใจนัก ทว่านางก็หมดหนทางแล้ว จึงดึงปิ่นสีแดงฉุลายทองบนศีรษะลงมา จากนั้นยังถอดกำไลหยกบนมือด้วยอีกคู่หนึ่ง แล้วยื่นพวกมันไปยังเบื้องหน้าของหลิวซื่อ “ปิ นและกำไลหยกนี้เป็นของมีค่าระดับสูง อย่างน้อยน่าจะจำนำได้สองร้อยตำลึงเงิน พอให้พวกท่านอยู่กินในเมืองหลวงได้ระยะหนึ่ง อีกสักสองสามวันข้าจะหาเวลาว่างไปดูเครื่องประดับ บที่หอชุ่ยจิน ถึงตอนนั้นพวกท่านก็ปลอมตัวมาพบข้าอย่างลับๆ ให้ข้าได้รู้ที่อยู่ของพวกท่าน จะได้สะดวกยามส่งเงินไปให้ในภายหลัง”
หลิวซื่อรีบรับปิ่นและกำไลมาใส่ไว้ในกระเป๋าแขนเสื้อ ความเจ็บปวดและเซื่องซึมก่อนหน้านี้หายไปไม่น้อยเมื่อได้เห็นข้าวของราคาแพงนี้ พาให้นางอารมณ์ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
จากนั้นไป๋เจินจูก็เร่งฝีเท้าออกไปดูที่หน้าประตู คนเฝ้าประตูที่ได้เงินไปแล้วกำลังคุยอยู่กับข้ารับใช้อีกสองคนอยู่ไกลลิบๆ นางจึงรีบหันกลับไปกล่าวกับหลิวซื่อ “ตอนนี้เป็น นโอกาสดีแล้ว พวกท่านรีบหนีไปเถอะ ไปทางตะวันออกนะ ทางนั้นมีประตูเล็กๆ ที่พวกข้ารับใช้ใช้เข้าออก ปกติแล้วเวรยามหละหลวม พวกท่านวิ่งหนีออกไปอย่างสุดชีวิต เท่านั้นก็น่าจะ ะหนีรอดแล้ว”
หลิวซื่อและไป๋เสี่ยวเฟิงสบโอกาส พากันรีบลอดออกไปจากในประตูที่เปิดอยู่ครึ่งบาน ข้ารับใช้ที่กำลังคุยกันไม่ได้สังเกตทางนี้โดยสิ้นเชิง ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะกลับมาตรวจดู
และตอนนี้ไป๋เจินจูนอนอบู่บนพื้นดินที่สกปรกโสโครก ‘สลบไสลไม่ได้สติ’ ไปเสียแล้ว
………
ตอนที่ 706 วังสือฝูหลอมยา
วังฉู่
ไป๋จื่อหลอมยาตลอดทั้งคืน จนกระทั่งเที่ยงวันของวันต่อมาถึงจะเสร็จสิ้น
ครั้นเปิดหม้อต้มยาออกมา ภายในตำหนักสือฝูพลันมีกลิ่นหอมของยาตลบอบอวล หมอหลวงสวี่ได้กลิ่นแล้วรู้สึกประหลาดใจนัก
เขาเรียกตนเองว่าปรมาจารย์ยา นับว่ามีความรู้ลึกซึ้งต่อการหลอมยาทีเดียว หลายคนในสำนักหมอหลวงต่างก็ยกย่องเขา ไม่มีใครเทียบเทียม
ทว่ายามที่เผชิญหน้ากับอาการป่วยอย่างกะทันหันของไทเฮา เขากลับทำอะไรไม่ได้ ที่นึกออกก็มีเพียงการทำความอบอุ่นและดูแลร่างกายทั่วๆ ไป ซึ่งพวกเขามักจะใช้การรักษาเช่นนี้อยู่เ เสมอ แต่เขารู้ชัดแจ้งแก่ใจว่าการรักษานี้รักษาโรคไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ครั้นเด็กสาวอายุสิบกว่าปีปรากฏตัวขึ้น เขาจึงไม่เชื่อนางเลยสักนิด และไม่เชื่อว่าเด็กสาวเช่นนี้จะมีวิธีการใดรักษาอาการของไทเฮาได้ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นในผู้สูงวัยที่มีอา ายุมากแล้ว พบเห็นได้ทั่วไป หากเป็นผู้สูงอายุธรรมดาทั่วไป เมื่อพบโรคนี้แล้วก็จะเริ่มทำใจต่อเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง
แต่ทันทีที่กลิ่นหอมของยานี้เตะจมูกเขา ความคิดมากมายก็พลันผุดขึ้นมา เรื่องที่เขายังไม่เข้าใจก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที
ถูกต้อง ไทเฮาเกิดภาวะสมองขาดเลือดกะทันหัน ทวารต่างๆ ถูกปิดกั้น หากเขาใช้ยาคลายอาการความดันโลหิตสูงและทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ก็อาจจะได้ผลจริงๆ ก็เป็นได้
เหตุใดก่อนหน้าเขาไม่คิดถึงวิธีการรักษานี้กันนะ
หรือว่าประสบการณ์ทางการแพทย์เป็นเวลาสิบกว่าปีของเขา จะเทียบกับเด็กสาวคนหนึ่งไม่ได้
หมอสวี่ทั้งอาย ทั้งตื่นเต้น เขาคอยชะเง้อคอมองจากด้านนอกห้อง หวังว่าจะได้เห็นยามหัศจรรย์เร็วหน่อย ทว่าในใจก็รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ ด้วยกลัวว่าตนเองจะนั่งตำแหน่งหัวหน้าสำ ำนักหมอหลวงได้ไม่นานแล้ว
เมื่อประตูห้องยาเปิดออก กลิ่นหอมของยาที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นก็โชยมาเข้าจมูก ไป๋จื่อมีสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ใบหน้าเล็กๆ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงสดใส หูเฟิงเห็นดังน นั้นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“เจ้าคงเหนื่อยมากกระมัง” เขาก้าวเข้ามา พลางพาดเสื้อกันลมลงบนไหล่ของนาง “ข้างนอกอากาศหนาวนัก”
ไป๋จื่อยิ้มจาง นางส่ายหน้า “ข้ายังไหวอยู่ รีบไปดูไทเฮากันเถอะ!” หูเฟิงเองก็มีสีหน้าเหนื่อยล้าเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตอนที่นางหลอมยาอยู่ข้างใน เขาเอาแต่เฝ้าอยู่ข้างนอกไม่ห ห่างไปไหน จึงอดหลับอดนอนทั้งคืนจนถึงเที่ยงวันเช่นนี้
หมอหลวงสวี่อยากเห็นยาวิเศษนั้น ทว่าก็ลำบากใจที่จะเอ่ยปากออกมา ครั้นเห็นทั้งสองคนเดินตามกันไปยังห้องบรรทมของไทเฮา เขาจึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าตามไป
เวลานี้ไทเฮายังคงเหมือนกับตอนที่อาการกำเริบเมื่อคืนนี้ ดวงตาและปากบิดเบี้ยว ยังคงไม่ได้สติเช่นเดิม ทว่าหลังจากที่ไป๋จื่อฝังเข็มลงที่จุดไป๋ฮุ่ยให้แล้ว ชีพจรที่แต่เดิมสับส สนก็อ่อนลง และค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติแล้ว
ไป๋จื่อหยิบยาลูกกลอนออกมา นางให้นางกำนัลละลายมันในน้ำ แล้วป้อนให้ไทเฮาทีละนิด
ช้อนเงินคันเล็กบรรจุน้ำยาถูกหยอดเข้าปากของไทเฮาทีละเล็ก ทีละน้อย คนมองดูอยู่จึงเกิดความรู้สึกร้อนใจ หากเปลี่ยนเป็นไป๋จื่อที่กำลังเร่งรีบ นางจะบีบพวงแก้มทั้งสองข้างขอ องไทเฮา เปิดปากออก แล้วกรอกยาที่ปริมาณเพียงครึ่งจอกลงไปรวดเดียวให้รู้แล้วรู้รอด
ครั้นนางกำนัลป้อนยาอย่างพิถีพิถันเสร็จสิ้น นางก็ลูบหน้าอกของไทเฮาครั้งหนึ่ง แล้วจึงวางร่างของพระนางลงอีกครั้ง
ไป๋จื่อถอนใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็กินเสร็จเสียที แม้จะช้าไปบ้าง ทว่าก็ประณีตดีมาก ไม่ทำหกเลอะเทอะเลยแม้แต่หยดเดียว
หูเฟิงถามไป๋จื่อว่า “ไทเฮากินยาไปแล้ว อีกนานหรือไม่กว่าจะฟื้น”
เด็กสาวส่ายหน้า “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ ยานี้ไม่ใช่ยาวิเศษอะไร เพียงแค่รักษาอาการของพระนางในเวลานี้เท่านั้น แท้จริงแล้วจะเป็นเช่นไร ยังต้องดูอาการหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ด ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ พระนางพ้นขีดอันตรายแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น หูก็เฟิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
ไป๋จื่อเหล่มองหมอหลวงสวี่ที่อยู่ข้างๆ “หมอหลวงสวี่จ้องมองขวดยาในมือของข้าอยู่ตลอด ท่านอยากจะดูหรือไม่เจ้าคะ”
หมอหลวงสวี่พลันมีสีหน้าเก้อเขิน ใบหน้าแดงไปหมด “หากได้ดูสักครั้ง ข้าจะขอบคุณเจ้ามาก!”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้าค่ะ พวกเราเป็นหมอเหมือนกัน มีแค่การปรึกษาเรื่องโรคต่างๆ กับหมอคนอื่นเท่านั้น ถึงจะเป็นหัวใจสำคัญเรียนวิชาแพทย์” ไป๋จื่อยิ้ม