จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 542 หนึ่งดาบแสกหน้า
คําพูดนี้ของติงอี้ พูดขึ้นด้วยรังสีฆ่าฟันพลุ่งพล่าน
ทั่วร่างของเขาอาบไปด้วยเลือด บาดแผลเต็มตัว ราวกับเทพแห่ง
ความตายเดินสังหารออกมาจากทะเลโลหิตก็มิปาน
คุณชายเมืองธารเหมันต์อันสูงส่ง ‘ลิขิตฟ้าฝ่ามือเทพ’ ชวีเสวี่ยหนิง
ที่ชื่อเสียงเลื่องลือยุทธจักร ตายไปต่อหน้าต่อตายอดฝีมืออันดับหนึ่ง
ของสองขั้วอํานาจใหญ่อย่างเจ้าเมืองธารเหมันต์และเจ้าสํานักกระบี่
ทะเลประจิมลงเช่นนี้
คนบางส่วนถึงกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
หลายปีมานี้ ‘ลิขิตฟ้าฝ่ามือเทพ’ เป็นศิษย์ของเก้าสํานักที่ตายลง
อย่างร้ายแรงที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกสังหารลงต่อหน้าธารกํานัลเช่นนี้
เจ้าเมืองธารเหมันต์เห็นลูกชายตนเองตายไปคาตา ร่างกายถูก
เหยียบจนป่นไม่มีชิ้นดี ตายอย่างหมดจด ในใจเดือดดาลราวกับคลื่น
ยักษ์ล้างโลกที่จะถล่มฟ้าดินให้พินาศก็มิปานเขาจ้องมองติงอี้เขม็ง แต่ละคําแต่ละประโยคล้วนเต็มไปด้วยความ
โกรธแค้นในดวงตา “นับจากวันนี้ ฟ้าดินอันยิ่งใหญ่จะไม่มีที่ให้เจ้ายืน
อีก ข้าจะทําให้เจ้าได้รู้ ว่าอะไรคือการตายก็ไม่ได้จะเป็นก็ไม่ได้”
“โอ๋? งั้นหรือ?” ติงอี้หัวเราะขึ้นอย่างเบิกบาน เอ่ยต่อว่า “พูดมา
เช่นนี้ อย่างกับว่าก่อนที่ข้าจะสังหารลูกชายเจ้า เจ้าไม่เคยคิดที่จะทําให้
เหล่าลัทธิมารต้องตายก็ไม่ได้เป็นก็ไม่ได้หรือไรกัน?”
ทั้งสองฝ่ายเดิมทีก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตอยู่แล้ว คําพูดคุกคามเช่นนี้จึง
ไม่ได้มีแรงสังหารใดๆ เลย
ความโกรธของชวีอี้ราวกับเป็นเปลวไฟที่มีรูปร่าง รอบตัวของเขามี
สนามพลังแปลกประหลาดกางออกมาในพริบตา
ภายใต้ความเดือดดาลของเขาเมื่อครู่ ทําเอาสติปัญญาพังทลายลง
เอ่ยคําพูดคุกคามจนดูน่าขัน ทว่าตอนนี้ค่อยใจเย็นลงมาแล้ว พยายาม
ข่มไฟแห่งความโกรธในตนเองลง ในหัวสมองได้ทําการวิเคราะห์ขึ้นมา
อย่างรวดเร็ว
อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในคืนนี้ไม่ใช่ติงอี้
แต่เป็นชายหนุ่มลึกลับที่ชื่อต้วนสุ่ยหลิวคนนี้ต่างหากติงอี้เป็นผู้สืบทอดฝืนชะตา พลังบําเพ็ญขั้นมหาเทวะ ถึงจะเป็นรุ่น
ใหม่ที่อยู่ในระดับสุดยอดบนดาวทุรกันดารก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับจอม
ยุทธ์เก่าอย่างพวกเขาเหล่านี้ยังแตกต่างอยู่หลายขุม ต่อให้อยู่ด้านใต้
ยอดเขาโต๊ะ สามารถหยิบยืมพลังจากยอดเขาโต๊ะได้ แต่เมื่ออยู่ใต้พลัง
อันเด็ดขาดของยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ทั้งสองนี้ ต่อให้จะมีจิต
สงครามแข็งแกร่งเพียงไหน ปณิธานแน่วแน่เพียงใด ท้ายสุดก็ยังต้องมี
ดวงชะตาที่ถูกกุมขังในจุดที่ต�ากว่าอยู่ดี
แต่ว่า ชายหนุ่มที่ชื่อต้วนสุ่ยหลิวคนนี้ พลังสุดแสนจะน่ากลัวราว
กับเทพมังกรทะยานฟ้า เห็นหัวไม่เห็นหาง
ถึงแม้เมื่อครู่จะประมือกันหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถตัดสิน
ระดับพลังของอีกฝ่ายได้เสียที ดูอย่างผิวเผินแล้ว คลื่นพลังจัดอยู่ใน
ระดับสูงสุดขั้นมหาเทวะเท่านั้น แต่พลังการรบกลับน่ากลัวเหลือคนา
อยู่เหนือขั้นทะลวงสวรรค์ขึ้นไปอีก หรือว่าจะเป็นขั้นสะพานเป็นตายใน
ตํานานนั่นกัน?
‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงยืนอยู่ด้านหน้าป่าหิน สีหน้า
เคร่งขรึมอย่างมาก
เดิมทีคิดว่าเป็นแค่การจัดการสายของลัทธิมารคนหนึ่งเท่านั้น ใคร
จะคิดว่าจะมาจนถึงขั้นนี้‘กระบี่เงาทะเล’ ในมือเขา รวมรวมพลังปราณ เตรียมพร้อม
สุดกําลัง
เพียงแค่หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกของติงอี้ทั้งสองคนเข้าไปในป่าหิน จน
ใช้พลังลี้ลับของฝืนชะตาในวันวานที่ซ่อนเอาไว้ในยอดเขาโต๊ะหลบหนี
ออกไป สถานการณ์ในวันนี้ก็ยังคงอยู่ในการควบคุมของเก้าสํานักใหญ่
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงเก้าสํานักเลยนะ เคยพ่ายแพ้เสียเมื่อไรกัน?
“นี่ พี่ติง ประกาศวีรบุรุษของท่านจบแล้วหรือยัง?” หลี่มู่มองดูติงอี้
ทําเป็นเก่งจนจบ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ไหว “พวกเรามาคุยจริงจัง
กันดีกว่า ตอนนี้พวกเราต้องคิดวิธีหนีออกไปก่อน ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวพวก
เจ้าสํานักกับยอดฝีมือของเก้าสํานักมาถึงล่ะก็ ล้อรถสงครามจะมาบี้
พวกเราสองคนเอานา แล้วท่านก็พิกลพิการไปครึ่งตัวแล้วด้วย”
“อะไรคือพิกลพิการไปครึ่งตัว?” ติงอี้เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ต่อให้
ข้าเหลือแค่ขาข้างเดียว ก็ยังสังหารได้อีกเป็นสิบ”
หลี่มู่ยกมือประคองหน้าผาก เอ่ยขึ้นอย่างพูดไม่ออก “พี่ใหญ่ ตั้งใจ
หน่อย ตอนนี้ใช่เวลาโอ้อวดเสียที่ไหนกัน”
ติงอี้ยิ้มขึ้นอย่างสอพลอ “โอ้ เช่นนั้นหรือ? ฮ่ะๆ ชินไปแล้วน่ะชิน
ไปแล้ว…เอ๋? ไอ้เจ้าโอ้อวดนี่หมายถึงขี้โม้ใช่ไหม? คํานี้น่าสนใจดี”จากนั้น เขาชี้ไปยังป่าหินด้านหลังถานหรูซวง เอ่ยขึ้นว่า “ขอแค่
บุกเข้าไปในป่าหินได้ พวกเราก็จะปลอดภัยชั่วคราวแล้ว”
ทั้งสองคนไม่ได้สนใจกับสายตาดุดันของยอดฝีมือจากทั้งสอง
สํานักใหญ่ที่อยู่รอบๆ เลย ปรึกษาหารือเรื่องการหนีราวกับรอบข้างไม่มี
คนอยู่
สําหรับเหล่าศิษย์ของสองสํานักใหญ่แล้ว ความรู้สึกเช่นนี้
ประหลาดเป็นอย่างมาก
ความรู้สึกถูกเหยียดหยามที่ไม่เคยมีมาก่อน
ก่อนหน้านี้ เคยมีคนจากยุทธจักรคนไหนที่กล้ามากําเริบเสินสาน
ต่อหน้าเก้าสํานักใหญ่เช่นนี้บ้างกัน
“ได้เลย เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว” หลี่มู่หันกลับ มองไปยัง ‘หนึ่งกระบี่
ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง หัวเราะขึ้นเอ่ยต่อว่า “เจรจากันหน่อย สุนัขที่
ดีไม่ขวางทางคนอื่นเขานา ถ้าไม่อยากตายล่ะก็ รบกวนเจ้าหลีกทางให้
หน่อยได้ไหม?”
ถานหรูซวงโมโหจนหัวเราะขึ้น
หนึ่งร้อยปีมานี่ ไม่เคยมีใครกล้าพูดเช่นนี้กับเขาติงอี้ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จึงได้ยกนิ้วมือขึ้น “น้องชาย เจ้าต่างหาก
ที่เป็นพวกโอ้อวด”
หลี่มู่เอ่ยตอบ “อ่อนข้อให้ด้วย อ่อนข้อให้ด้วย”
เสียงยังไม่ทันขาด
ร่างของเขาบุกเข้าไปในสนามพลังของถานหรูซวงแล้ว
ดาบสงครามเล่มหนึ่งที่หยิบมาจากใจกลางสุสานเทพ ถูกกําอยู่ใน
มือนานแล้ว ฟันแสกหน้าอย่างอหังการ ฟาดลงไปยังใบหน้าของเจ้า
สํานักกระบี่ทะเลประจิมคนนี้
เรียบง่าย
ตรงไปตรงมา
นี่คือรูปแบบการต่อสู้ของหลี่มู่
วิชาดาบของเขาฝึกฝนจากขั้นตอนการแปรง่ายเป็นซับซ้อน
จากนั้นแปรจากซับซ้อนกลายเป็นง่าย การฟาดดาบครั้งนี้ไม่ได้มีการ
เปลี่ยนแปลงใดๆ ที่น่ามหัศจรรย์ อาศัยเพียงจุดตันเถียนหนึ่งอึดใจ
โพรงเลือดในทรวงอก จิตวิญญาณในสมอง ดาบเล่มหนึ่งในมือ พลังไร้
เทียมทานของดาบสามดอกไม้รวมยอด ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง
นี่คือวิถีดาบของหลี่มู่
ตรงไปตรงมา ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ
เพียงออกดาบ ก็เท่ากับหนึ่งดาบ
นี่ก็เป็นการจัดการความคิดการเรียนยุทธ์ของตัวหลี่มู่ในช่วงที่ผ่าน
มา จนถ่องแท้ได้ถึงจิตสูงสุดแห่งดาบ
“อวดดีนัก”
ถานหรูซวงถูกวิชาดาบแสกหน้าที่ไม่มีความนอบน้อมทําให้เดือด
ดาล โบกกระบี่ขึ้นรับ
ชิ้ง!
เสียงปะทะของโลหะดังขึ้น จากนั้นจึงเป็นเสียงสั่นสะเทือนของ
ดาบและกระบี่
ซูม!
เลือดสาดกระเซ็น
ร่างคนตัดสลับกัน‘กระบี่เงาทะเล’ ในมือของ ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง
หักสะบั้น
เขาถูกดาบนี้ของหลี่มู่ ฟันแสกหน้าเข้ากลางคิ้วแยกออกเป็นสอง
ซีกเท่ากัน ราวกับหุ่นสลักไม้ถูกมีดผ่าออกอย่างไรอย่างนั้น ลอยกระเด็น
ออกไปทั้งสองด้าน
“ฮ่ะๆๆ หนึ่งกระบี่ทะเลประจิมก็แค่นี้เอง”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะร่าของหลี่มู่ เขาดึงติงอี้พุ่งตรงเข้าไปด้านใน
ของป่าหิน
ติงอีกกระตุ้นปางมือ ตราประทับนับสิบพุ่งเข้าไปในป่าหินนับสิบ
พลังมหัศจรรย์ฟุ้งออกมา เสาหินเริ่มหมุน หมอกมิติไหลเวียน พริบตา
ต่อมาทั่วทั้งป่าหินได้หายเข้าไปจากด้านใต้ของยอดเขาโต๊ะ ราวกับไม่
เคยมีมันอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ฟิ้ วๆๆ!
เงานับสิบพุ่งผ่านความมืดใต้ภูเขา ตรงเข้ามายังสถานที่สู้รบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เกิดเรื่องอะไรจึงได้ส่งสัญญาณเร่งด่วน?”“ทําไมมีคนตายตั้งขนาดนี้ หรือว่าพวกลัทธิมารจู่โจมกะทันหัน?”
ที่ปรากฏตัวขึ้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งจากทั้งเก้าสํานัก ประกอบไป
ด้วยสามเมืองที่เหลือ เจ้าสํานักดาบสองสํานักใหญ่ และยังมีผุ้นําตระกูล
ของสองตระกูลใหญ่
ตอนที่หลี่มู่ชกหนึ่งหมัดสกัดถานหรูซวงและชวีอี้เมื่อก่อนหน้า
สัญญาณเร่งด่วนนี้ก็ได้ถูกส่งออกไป เป็นสัญญาณเร่งด่วนที่สุด ซึ่ง
หมายถึงสถานการณ์ร้ายแรง พวกยอดฝีมือจากสํานักต่างๆ จึงรีบตรง
มาในทันที เมื่อมาเห็นภาพเช่นนี้ก็ล้วนตกตะลึงไปตามๆ กัน
ตรงหน้าเห็นได้ชัดว่าเกิดศึกใหญ่ระดับเจ้าลัทธิ
ในอากาศยังคงมีกลิ่นอายของจิตดาบหลงเหลืออยู่
“เดิมทีกําลังจะจับผู้สืบทอดของฝืนชะตาได้อยู่แล้ว แต่มีลัทธิมาร
ชั่วร้ายคนหนึ่งโผล่ออกมาทําเรื่องเสีย”
แสงเลือดไหลเวียน ร่างของ ‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวง
ประกบเข้ากันใหม่อีกครั้ง สีหน้าเคร่งขรึมเดือดดาล
“พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว”
ในดวงตาส่วนลึกของเขา มีความตกตะลึงไม่มั่นคงอยู่ด้านในดาบเมื่อครู่ แน่นอนว่าไม่ได้สังหารเขาจนตาย
ความมหัศจรรย์และพลังบําเพ็ญของขั้นทะลวงสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่
คนธรรมดาจะจินตนาการถึง ปราณเลือดเกิดได้ใหม่ แม้กายเนื้อจะถูก
ตัดขาดทําลาย ก็เป็นแค่ทําให้เขาบาดเจ็บหนัก ทําให้พลังปราณของเขา
เสียหายอย่างหนัก แต่สิ่งที่เสียหายมากกว่าพลัง และทําให้ถานหรูซวง
เดือดดาลมากกว่าก็คือ ดาบนี้แทบจะบดขยี้ทําลายจิตใจอันไร้คู่ต่อการ
ที่เขาสั่งสมมาหนึ่งร้อยปีจนสิ้น
พอคิดถึงดาบเมื่อครู่ ในใจของเขาไม่ใช่คิดว่าหากเจอดาบนั้นอีก
ครั้งจะรับมืออย่างไร จะทําอย่างไรให้พลิกเป็นชนะ แต่กลับเกิดความ
หวาดกลัวขึ้นในจิตใจอย่างสกัดกลั้นไว้ไม่อยู่ต่างหาก
เขาไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับดาบเช่นนั้นอีกแล้ว
ความมั่นใจในชัยชนะที่สะสมมา พริบตาที่เกิดรอยแตกเล็กๆ ก็
เท่ากับว่าวิถียุทธ์ของเจ้าได้เกิดบาดแผลขึ้นแล้ว
“คนเช่นไรกันที่ขนาดพวกเจ้าสองคนร่วมมือกันก็ยังรั้งไว้ไม่อยู่?”
เจ้าสํานักกระบี่ค�าฟ้าหลี่มู่จื่อรู้สึกสั่นสะเทือนในใจ ลัทธิมารมียอดฝีมือ
เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ต่อให้ในสํานักทั้งสี่สายก็ไม่เคยเห็นคนที่สามารถทํา
ได้ระดับนี้เลยนี่นา
ถานหรูซวงปิดปากไม่พูดจาเขาสมาธิตั้งมั่น กําลังซ่อมเสริมช่องโหว่ในจิตวิญญาณ เสริมเติม
ความศรัทธาในวิถียุทธ์ของตนเองอยู่
ชวีอี้เจ้าเมืองธารเหมันต์ที่อยู่อีกด้าน ค่อยๆ ตั้งสติกลับมามองไป
ยังคนอื่นๆ อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสั้นๆ เสียรอบหนึ่ง เอ่ยเสริมมาอีก
ว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งลัทธิมารที่มาจากนอก
พิภพ บนดาวทุรกันดารไม่มีทางมีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้” หลังจากที่เขา
มองเห็นดาบนั้นของหลี่มู่ ถามตนเองขึ้นว่าถ้าหากเปลี่ยนเป็นตนเอง น่า
กลัวว่าดาบนั้น แม้แต่ ‘ธารเหมันต์ผนึกฟ้า’ ก็คงจะทานไว้ไม่อยู่เช่นกัน
ดาวทุรกันดารถึงแม้จะไม่เล็ก แต่ก็ไม่สามารถเพาะบ่มผู้แข็งแกร่ง
เช่นนี้ขึ้นมาได้แน่นอน
ต้องมาจากนอกพิภพเท่านั้น
“แต่ถ้าหากเขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ทําไมยังต้องหนีด้วย?” ผู้นํา
ตระกูลค่ายกลจูน่งจู่ๆ เอ่ยถามขึ้น
ถานหรูซวงและชวีอี้ทั้งสองคนล้วนงงงัน
“อาจจะเพราะพวกเราเก้าสํานักมาล้อมโจมตีกระมัง” มีคนเอ่ยขึ้น
เหล่าเจ้าสํานักทั้งเก้าต่างไม่มีใครพูดอะไร
มีคนแอบสั่นศีรษะความแข็งแกร่งอ่อนแอของจอมยุทธ์ห่างกันเพียงแค่เส้นกั้น
เป็นไปได้ว่าอาจจะห่างกันระดับฟ้ากับดิน
หนึ่งดาบฟาดฟันถานหรูซวง กระทั่ง ‘กระบี่เงาทะเล’ ก็ยังหัก
สะบั้นไปด้วย คนระดับนี้ไม่น่าจะกลัวการล้อมโจมตีหรอก
ผู้นําตระกูลหุ่นเชิดกลไกกงซุนเปี๋ ยหลีเอ่ยขึ้นว่า “น่าจะเป็นเซียน
นอกพิภรที่น่ากลัวมากๆ”
เหล่าเจ้าสํานักล้วนพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดนี้
เก้าสํานักฝ่ายธรรมะก็มีคนที่คอยสนับสนุนอยู่เช่นกัน
ศึกใหญ่ธรรมะอธรรมครั้งนี้ เดิมทีไม่ได้จํากัดอยู่เพียงแค่ดาว
ทุรกันดาร แต่เป็นการปะทะกันของธรรมะอธรรมแห่งทางช้างเผือก
นอกพิภพ
ลัทธิมารในทางช้างเผือกก็เป็นตัวละครที่ผู้คนเกลียดชังอยู่ แม้จะมี
ผู้แข็งแกร่งแต่ก็ทําตัวไม่โดดเด่น ถ้าหากจะบอกว่าชายหนุ่มลึกลับคน
นั้นเป็นผู้แข็งแกร่งลัทธิมารจากทางช้างเผือก ลงมาเยือนยังดาว
ทุรกันดารเพื่อสนับสนุนภูเขาสู่ ก็คงจะต้องรู้ว่าฝ่ายธรรมะก็มีเทพเซียน
ที่ลงมาเยือนเช่นกัน การหนีไปอย่างรีบร้อน จะต้องกังวลกับการลงมือ
ของเทพเซียนฝ่ายธรรมะอย่างแน่นอนมีคนเริ่มตรวจสอบในพื้นที่
“ฮ่ะๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…ข้าเข้าใจแล้ว ทุกท่าน ขอแค่ล้อมพื้นที่นี้
เอาไว้ก็พอ เสาหินนั่นถึงแม้จะสามารถอําพรางตัวได้ แต่ก็หลบหนีไป
ไหนไม่ได้ พวกเขาถ้าหากคิดจะออกจากป่าหินก็ยังต้องปรากฏตัวขึ้น
ที่นี่อยู่ดี” ผู้นําตระกูลค่ายกลจูน่งสรุปออกมาหลังจากตรวจสอบไปรอบ
หนึ่ง
เก้าสํานักฝ่ายธรรมะหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจวางผนึกต้องห้าม
และกําลังคนเพื่อปิดล้อมสถานที่นี้ ใช้แผนปิดประตูตีสุนัข
แน่นอนว่าคนที่เข้ามาตั้งมั่นป้องกัน จําเป็นจะต้องมีผู้แข็งแกร่งขั้น
ทะลวงสวรรค์ระดับเจ้าลัทธิคนหนึ่ง
มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่การปิดประตู แต่เป็นการยกอาหารมาให้แทน
คนที่เข้ามาตั้งมั่นป้องกันในคืนแรก ก็คือเจ้าสํานักกระบี่ค�าฟ้าห
ลี่มู่จื่อ
“ปล่อยข่าวออกไป บอกว่าผู้สืบทอดฝืนชะตาหนึ่งในเจ็ดสายลัทธิ
มารปรากฏตัวขึ้น ถูกพวกเราล้อมกรอบเอาไว้ใต้ยอดเขาโต๊ะ ใกล้จะดับ
ดิ้นอยู่รอมร่อ ข้าจะดูสิ ว่าพวกลัทธิมารในเมืองไป๋ตี้จะส่งคนมา
ช่วยเหลือไหม” เจ้าเมืองธารเหมันต์ชวีอี้เอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียมเขาจะสังหารคน เพื่อระบายความแค้นในใจ และแก้แค้นให้กับลูก
ชายของตนเอง
……………………………………