จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 554 ในที่สุดก็เข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์
อาวุธแห่งสํานักชําระดาบ เป็นดาบเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่าชําระจันทร์
ดาบเล่มนี้อยู่ในมือของเทพธิดาเยี่ยอู๋เหิน
แต่สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ก็คือ สํานักชําระดาบยังมีสมบัติอยู่อีกชิ้น ชื่อว่า
‘หอมหมื่นลี้’ เป็นกระบองยาวที่ว่ากันว่าสร้างมาจากต้นเทพหอมหมื่นลี้
ข้างวังเซียน
ดาบและกระบอง ล้วนเป็นสมบัติที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งภูเขาสู่ในครั้ง
นั้นเหลือทิ้งไว้
บนดาวโลก มีตํานานเรื่องเล่าถึงราชวังในดวงจันทร์ ด้านข้างราช
วังก็มีต้นหอมหมื่นลี้อยู่ มีจันทร์ก็จะต้องมีหอมหมื่นลี้ ดังนั้นอาวุธแห่ง
สํานักชําระดาบ นอกจากชําระจันทร์แล้วยังมีหอมหมื่นลี้ยู่อีกด้วย
กระบองยาวท่อนนี้ อยู่ในมือของเจ้าสํานักชําระดาบเยี่ยเฮิ่น เป็น
ไม้เท้าสีดําด้ามนั้นที่นางคอยเอาไว้ใช้ค�าพยุงอยู่ตลอดนั่นเอง
ชิ้ง!กระบี่เงาทะเลที่หลอมขึ้นมาใหม่ปะทะเข้ากับ ‘หอมหมื่นลี้’ ระเบิด
แสงสะเก็ดไฟแยงตาออกมา
จากการครวญคร�าและสั่นเทิ้มของกระบี่เงาทะเล ถานหรูซวงถอย
กรูดสามก้าว จ้องมองเยี่ยเฮิ่นด้วยสีหน้าตกตะลึง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้า…”
พลังที่ส่งออกมาจากกระบองยาวของอีกฝ่าย ทําเอาข้อมือของเขาชา
ดิก นี่เป็นพลังที่มากเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้
เจ้าสํานักชําระดาบเยี่ยเฮิ่นเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์จริง
อยู่ ทว่าพลังก็ไม่ควรที่จะสูงถึงระดับนี้
“ทําไมหรือ? แปลกใจใช่ไหม?” เยี่ยเฮิ่นผมยาวโบกสะบัดราวกับ
พญามังกรคลั่ง เอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดว่า มีแค่เจ้าหรือที่สามารถพึ่งพาพลัง
นอกพิภพมาเพิ่มพลังบําเพ็ญให้กับตนเองได้?”
ตูมๆๆ!
กระบองยาวโบกสะบัด ฟาดโจมตีลงมาหลายสิบครั้ง
สะเก็ดไฟไหลเวียน ประกายไฟสาดกระเซ็น
วิชากระบี่ของถานหรูซวง ถูกเงาของกระบองที่มาจากทุกทิศทุก
ทางกดดัน ภายใต้การโจมตีอย่างไม่หยุด เขาถ่อยร่นลงตลอด ง่ามนิ้ว
เกิดอาการชาจนแทบจะกํากระบี่เงาทะเลเอาไว้ไม่อยู่ผลลัพธ์นี้ทําเอาถานหรูซวงรับไม่ได้
และทําเอาฝ่ายเก้าสํานักเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น
เดิมทีเข้าใจว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือชัยชนะอีกศึกหนึ่ง ทว่า
สถานการณ์ในวันนั้นเหมือนจะไม่ค่อยดีแล้ว พลังเจ้าสํานักชําระดาบ
เยี่ยเฮิ่นน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ทว่าหญิงสาวชุดโปร่งสีดํา ดวงตาไหลเวียนด้วยประกายแปลก
ประหลาด
“ดีมาก ดูท่าเจ้าหลี่มู่นั่น ในที่สุดก็เริ่มลงมือแล้ว พลังของยายเฒ่า
คนนี้เป็นการกระตุ้นจากพลังนอกพิภพอย่างชัดเจน ใช้การเผาไหม้ต้น
กําเนิดเพื่อเพิ่มพลัง….เพียงแต่จะทนได้สักกี่น�ากัน?”
นางยิ้มเย็นชา เฝ้ารอ
ส่วนบนกระสวยแสงเทพฝ่ายภูเขาสู่ ภายใต้ความตกตะลึงของทุก
คน ผู้สืบทอดเขาหลี่หลี่เนี่ยนเห่าเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้า
สํานักเยี่ยเมื่อวานเข้ามาหาข้าและได้ทาน ‘ฝันมายาพราย’ ลงไป อย่าง
มากก็ทนได้อีกเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ถ้าหากภายในหนึ่งชั่วยามนี้ไม่
สามารถล้มถานหรูซวงลงได้ก็คงจะลําบากเสียแล้ว….”
ฝันมายาพราย!ยอดฝีมือภูเขาสู่บางส่วนที่เข้าใจถึงความหมายของสี่คํานี้ หน้า
ถอดสีไปในทันที
นั่นเป็นสิ่งที่จ้าวแห่งเขาหลี่ยุคแรกที่เข้าใจปรุโปร่งถึงวิชาโอสถ
โบราณ ใช้พลังการสร้างในวิถีโอสถสร้างโอสถเทพที่สามารถกระตุ้นต้น
กําเนิดชีวิตของจอมยุทธ์ให้ระเบิดออกเป็นพลังสู้รบที่แข็งแกร่งขึ้นมา
ได้
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ ภายใต้การกระตุ้นของ
โอสถเทพนี้ พลังก็ยังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
โอสถเทพนี้ถูกเรียกว่า ‘ฝันมายาพราย’
ที่ถูกตั้งชื่อนี้ก็เพราะหลังจากที่กินมันลงไป จิตวิญญาณของมนุษย์
จะเข้าสู่สถานะครึ่งตื่นครึ่งเคลิ้ม ความรู้สึกอันยอดเยี่ยมภายใต้การปะทุ
ของพลังที่เหมือนจะควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง เพียงพอที่จะทําให้คน
มากมายล้วนบ้าคลั่ง ราวกับฝันเข้าเดือยอย่างไรอย่างนั้น
แต่ทว่า โอสถชนิดนี้ก็มีผลข้างเคียงที่น่ากลัว
พอกินลงไปแล้ว หลังจากที่ต้นกําเนิดถูกเผาไหม้ หนักหน่อยก็ตาย
ลงเพราะพลังงานเหือดแห้งจนหมด เบาหน่อยก็คือสติปัญญาถูกทําลาย
ลงจนอยู่ในสภาพเลอะๆ เลือนๆ กลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปในศึกใหญ่เมื่อร้อยปีก่อนหน้า เคยมียอดฝีมือภูเขาสู่มากมายกิน
‘ฝันมายาพราย’ ลงไปเพื่อที่จะช่วยสํานักเทพให้รอดพ้นจากอันตราย
ระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมาเพื่อรักษาเมืองไป๋ตี้ ทว่าท้ายสุดก็
ทยอยๆ ร่วงหล่นกันไป
กระทั่งจ้าวแห่งเขาหลี่ยุคแรกที่เป็นผู้สร้างโอสถ ‘ฝันมายาพราย’
ขึ้น หลังจากที่กิน ‘ฝันมายาพราย’ แล้วออกทําศึกใหญ่ ก็ได้กลายเป็น
คนบ้า ต่อมาไม่ถึงสามปีก็ดับสูญไป
โอสถนี้ในลัทธิเทพ ท้ายสุดได้ถูกจํากัดให้เป็นโอสถต้องห้าม
ก่อนที่จ้าวเขาหลี่ยุคแรกจะดับสูญ สติปัญญากลับมารู้เรื่องขึ้น
ชั่วคราว จึงได้นําเอาใบตัวยา ‘ฝันมายาพราย’ มาทําลายทิ้ง เพราะมัน
มีอํานาจมากเกินไป สวรรค์ไม่ยินดีด้วย หากถูกคนนําไปใช้ในทางที่ผิด
จะเกิดผลร้ายอย่างมหาศาล
หลี่เนี่ยนเห่าก็เพิ่งจะเสริมเติมใบตัวยานี้จนสมบูรณ์ขึ้นได้ในไม่กี่ปี
ที่ผ่านมา
เมื่อได้ยินหลี่เนี่ยนเห่าพูดจนจบ ขณะที่คนของภูเขาสู่มองกลับไป
บนเวทีอีกครั้ง ในสายตาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและกังวล
เวลานี้ห่างจากตอนที่เริ่มทําศึก ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามแล้วเยี่ยเฮิ่นราวกับผนึกมาร เงาของกระบองหอมหมื่นลี้ประดุจชั้นเมฆ
กดขยี้ลงมาจากด้านบน กดดันถานหรูซวงเอาไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ว่าใน
จังหวะฉุกละหุกนี้ก็ยังไม่สามารถเอาชนะลงได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพอ
จนครบหนึ่งชั่วยาม ‘ฝันมายาพราย’ สิ้นฤทธิ์ลง จะต้องพบกับความ
พ่ายแพ้แน่นอน
บนเวทีลอย
‘หนึ่งกระบี่ทะเลประจิม’ ถานหรูซวงสีหน้าร้อนรน เดือดดาล
ท่ามกลางเงากระบองของอีกฝ่าย มีพลังกดดันทับซ้อนเป็นชั้นราว
กับแม่น�าสายใหญ่โถมมาไม่หยุดหย่อน ทําเอาเขารู้สึกหายใจไม่
ออกเป็นระยะ
กระบี่เงาทะเลในมือที่แรกสุดถูกต้วนสุ่ยหลิวตัดขาดในดาบเดียว
หลังจากนํากลับมาหลอมใหม่ รอยแตกยังไม่ทันจะประสานกันดี พอมา
อยู่ใต้สถานการณ์การโจมตีอันดุเดือดเช่นนี้ ก็ได้ปรากฏรอยแตกร้าว
เป็นสายขึ้นมาอีกครั้ง
นี่มัรนเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขาคิดหาคําอธิบายไม่ได้เลยหรือว่าผู้แข็งแกร่งลัทธิมารที่มาจากนอกพิภพจะลงมาเยือนแล้ว
หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองไป๋ตี้ ลอบใช้วิธีอะไรบางอย่างอยู่อย่างลับๆ? ถ้า
หากเป็นเช่นนั้น วันนี้ก็ไม่ใช่ว่าตนเองกําลังอยู่ในอันตรายหรอกหรือ?
ในใจเขาอดเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ได้มีเสียงหนึ่งดังลอดเข้ามาในหูเขา
มาจากเทพธิดาชุดดํา
เมื่อฟังจบ ความร้อนรนบนใบหน้าถานหรูซวงได้หยุดลง เปลี่ยน
กลับมาเป็นความยินดี อยู่ในท่าทีเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
“เหอๆ ยายเฒ่าบ้า เจ้าเผาไหม้เช่นนี้ได้มากสุดแค่หนึ่งชั่วยาม
สินะ? ถึงทางข้าจะต้องสิ้นเปลืองบ้าง แต่ก็จะเอาเจ้าให้ตายให้ได้” ถาน
หรูซวงหัวเราะเย็นชา วิชาดาบเปลี่ยนเป็นการป้องกัน เริ่มประวิงเวลา
ดวงตาของเยี่ยเฮิ่นมีประกายร้อนรนไหลเวียนขึ้นมา
แต่นางไม่พูดอะไร กระบองหอมหมื่นลี้ในมือโจมตีออกไปอย่างบ้า
คลั่งโดยไม่คํานึงถึงสิ่งที่ต้องแลกมา
…
…“เหลืออีกแค่สองประโยคแล้ว”
ใบหน้าหลี่มู่ปรากฏสีหน้ายินดี
อักษรจิตกระบี่จริยะบุรุษที่ลอยระบําอยู่เต็มฟ้า เขาซาบซึ้งได้
พอประมาณแล้ว เหลือเพียงแค่สองประโยคท้ายสุดที่ว่า ‘ผู้ใดเรียนรู้
จากปัญญาชนที่อยู่ในห้องหนังสือชั่วชีวิต แก่เฒ่าจักบันทึกอยู่ในคัมภีร์
ไท่เสวียนชั่วนิรันดร์’
นี่เป็นท่อนท้ายสุดของทั้งบท และเป็นเค้าโครงหลักของจิตกระบี่
ทั้งหมด
ในร่างกายหลี่มู่ ปราณสมบัติบัวครามอยู่ในขั้นเต็มเปี่ ยมแล้ว ไม่มี
การดูดซับเข้ามาอีก ‘วิชาก่อนกําเนิด’ ไหลเวียนปราณสมบัติบัวคราม
อย่างไม่หยุด กลั่นมันแล้วส่งต่อไปยังแขนขากระดูก และผสานเข้าสู่จุด
ตันเถียนผ่านเส้นทางพิเศษ นําเอาพลังของปราณสมบัติบัวครามกลั่น
ออกมาเป็นปราณแท้บริสุทธิ์ที่หลี่มู่มี
และพลังจิตของเขา ได้รวมตัวกันจนกลายเป็นหนวดยื่นออกไป จับ
เอาอักขระสีเงินสิบตัวของสองประโยคสุดท้ายเอาไว้ จากนั้นเริ่มทํา
ความเข้าใจกลั่นกรองอย่างไม่หยุด
ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรหลี่มู่ราวกับเป็นทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา
เขาจมดิ่งอยู่ในกระแสบัวคราม ทั่วตัวบนล่างแดงเป็นแถบๆ
คุณสมบัติร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์เต๋าในร่าง ตราประทับ
มรรคาอันยิ่งใหญ่ก็กําลังอยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงจากด้าน
ปริมาณไปสู่คุณภาพ
ถ้าหากมีผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์อยู่ที่นี่ จะต้องมองออกว่านี่
เป็นขั้นตอนการเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น ยังซับซ้อนลึกลับ
มหัศจรรย์ยิ่งกว่าการเข้าขั้นทะลวงสวรรค์ธรรมดาเสียอีก
ทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้นในขณะที่หลี่มู่ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
และอีกสิ่งหนึ่งที่หลี่มู่ไม่รู้เหมือนกันก็คือ ห่างจากเขาไม่ไกลมากนัก
ในสระบัวครามเดียวกัน เทพธิดาผมสีเขียวอันงดงามเยี่ยอู๋เหิน ก็กําลัง
ดําดิ่งอยู่ในกระแสวิญญาณบัวครามด้วยร่างที่เปลือยเปล่าเช่นกัน
ดวงตาของหญิงสาวปิดสนิท ดําดิ่งอยู่ในสภาวะลี้ลับลึกซึ้ง
วิชาสืบทอดที่หลี่ไป๋เหลือเอาไว้ หลี่มู่ไม่นํามาใช้ ดังนั้นเขาจึงส่งต่อ
ให้กับเยี่ยอู๋เหิน
สําหรับเยี่ยอู๋เหินแล้ว นี่ก็คือโอกาส
นางเข้าสู่สภาวะประหลาดที่ลืมตนเอง ลืมผู้คนและลืมวัตถุสําหรับการรับรู้สัมผัสของนาง โลกที่นางอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สระบัว
คราม แต่เป็นท่ามกลางจักรวาลความว่างเปล่าอันไร้ซึ่งขอบเขตผืนหนึ่ง
ฝึกบําเพ็ญอย่างไม่หยุด ทําความเข้าใจ กาลเวลาเหมือนหยุดอยู่กับที่
และเหมือนกับกระแสน�าไหลบ่า โถมบ่าผ่านไป ความหมายก็สูญสิ้น
นางเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วหลี่มู่ อยู่ห่างจากนางเพียงไม่ถึงสามจั้ง
จักรวาลการเดินทางของจิต จํากัดอยู่ในนี้เท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตูม!
ในหัวของหลี่มู่ เกิดความกระจ่างแจ้งขึ้นมากะทันหัน
ปราณแห่งความปั่ นป่วนค่อยๆ สลายออก ภาพอันงดงามค่อยๆ
สว่างขึ้น
เขาลืมตาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของอวัยวะกลับมาเป็นปกติอีก
ครั้ง
สิ่งแรกรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงรีบหันศีรษะกลับไป ในสายตาได้
ปรากฏรูปร่างอันงดงามดําดิ่งอยู่ในกระแสวิญญาณบัวครามห่างออกไป
ราวสามจั้งขึ้นราวกับรูปร่างของรูปสลักหยกขาว เต็มไปด้วยภาพฝันอันสมบูรณ์
แบบที่ชายหนุ่มมีให้ต่อเพศตรงข้าม ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธ์จนใจสั่น
เยี่ยอู๋เหินนั่นเอง
นางก็อยู่ที่นี่ด้วย
หลังจากที่หลี่มู่เห็นก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่ามองเข้าอย่างเสีย
มารยาท รีบร้อนหันศีรษะกลับ ทว่าหลังจากหันมาแล้ว ในหัวสมองก็ยัง
มีรูปร่างอันงดงามนี้ลอยฟุ้งอยู่ไม่ไปไหน
เขารีบกระตุ้น ‘วิชาก่อนกําเนิด’ เพื่อสลัดภาพติดตาในสมอง
ตนเองออก
เขาขยับร่างเดินออกมาจากสระบัวคราม
เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง ก็พบว่าเกราะคุ้มกันค่ายกลสีครามและ
ปราณหมอกกระแสวิญญาณสีขาวได้ปกคลุมทั้งหมดเอาไว้ มองไม่เห็น
สถานการณ์ด้านในอย่างสิ้นเชิง เขาจึงได้ถอนใจโล่งออกมา
ยังดียังดี
มิเช่นนั้น สถานการณ์ที่ตนเองร่างเปลือยเปล่าลงไป ‘แช่น�าร้อน’
อยู่กับเยี่ยอู๋เหินที่กําลังเปลือยแบบนี้ ถ้าถูกรู้โดยคนอื่น ก็จะทําให้สาว
น้อยคนนี้เสียชื่อเสียงเอานาหลี่มู่เปลี่ยนชุดคลุมยาวที่ใช้ประจําจากมิติเก็บของ มองเห็นว่า
รอบด้านไม่มีคน และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว
เมื่อบังคับไหลเวียนปราณแท้บริสุทธิ์ในร่างกายเล็กน้อย สัมผัสดู
เพียงครู่เขาก็สีหน้าเปลี่ยน
“อืม เปลี่ยนไปทั้งหมดเลย นี่มัน…” หลี่มู่สัมผัสได้ว่าพลังของ
ตนเองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว�าแผ่นดิน
ปราณแท้บริสุทธิ์ถาโถมซัดสาด ทรงพลังไร้ใดเปรียบ แทรกซึมเข้า
มาในชีพจรร่างกาย มีความรู้สึกพองขยายเต็มอิ่ม กระทั่งชีพจรเส้นเล็ก
ชีพจรซ่อนเร้นที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสัมผัสถึง ก็ได้พองขยายด้วยปราณ
แท้บริสุทธิ์ ไหลเวียนด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง
ร่างกายของมนุษย์ก็คือคลังสมบัติดีดีนี่เอง
ชีพจรก็คือ ‘กุญแจ’ ที่มีไว้เพื่อเปิดพื้นที่ต่างๆ ในคลังสมบัตินี้
มีเส้นชีพจรอยู่สักเท่าไรกันแน่นะ?
ไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน
ยิ่งเปิดชีพจรได้เยอะ พลังก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และสําหรับการเปิด
คลังสมบัติที่ซ่อนอยู่ในร่างกายก็จะมากตามไปด้วยผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ เมื่อเปิดชีพจรในร่างกายจะมากกว่า
ผู้แข็งแกร่งขั้นอื่นๆ นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุของพลังอันน่ากลัวของขั้น
ทะลวงสวรรค์
“นี่มันลางแห่งขั้นทะลวงสวรรค์นี่ ตอนนี้ข้าเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์
แล้วหรือ?”
………………………………………