จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 565 ตกตะลึง
หลี่มู่ได้ยินเขาซุบซิบ ก็รู้สึกเกิดอยากหันหน้ากลับไปซัดเจ้าคนๆ นี้ ให้ตายๆ ไปเสีย
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอสังหารคุกรุ่นจากตัวหลี่มู่ ติงอี้รีบร้อนยิ้มอธิบาย แก้ต่าง “ข้าก็แค่คิดเผื่อท่อนล่างกับช่วงชีวิตบั้นปลายของเจ้าเท่านั้นนา ถึงอย่างไรองค์ประกอบของมังกรกับมนุษย์ก็ยังแตกต่างกันอยู่ เผื่อ เอาไว้ว่าตอนนั้นพวกเจ้าสองคนเข้ากันไม่ได้…”
ผัวะ!
หลี่มู่ทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว ซัดหมัดตรงๆ ไปหนึ่งหมัดจนอีกฝ่าย ลอยหวือไป
คนอื่นๆ ก็เห็นจนชินตา
ติงอี้เป็นพวกทําอะไรไม่ค่อยเข้าที ไม่กี่วันนี้ก็มักจะถูกจ้าวลัทธิ จัดการเช่นนี้ ศิษย์ในลัทธิล้วนชินชาเสียแล้ว
ตอนนี้เอง สตรีมังกรอู๋เยี่ยเหินที่ยืนอยู่ข้างสระ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงประกายสีเขียวส่องสว่างอยู่ในดวงตาของนาง ตอนแรกดวงตาของ นางราวกับยังงงงวยอยู่ ทว่าไม่นานก็ได้สติกลับมา
สายตากวาดไปยังกลุ่มคน ท้ายสุดตกมาอยู่บนร่างของหลี่มู่ ใน ดวงตาของอู๋เยี่ยเหินเปล่งแสงประกายระยิบระยับ
…
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป
ในวิหารเซียนทะยาน
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ‘มังกรทะยาน’ ของจ้าวลัทธิเก่าแก่ ก็คือเลือด มังกรแท้หยดหนึ่ง หลังจากกลั่นพลังออกมาสามารถปลุกอภินิหารของ ชนเผ่ามังกรได้?”
ฟังเยี่ยอู๋เหินเล่าจนจบแล้ว พวกของหลี่มู่ถึงกับตกตะลึง
ที่แท้ก็เป็นเลือดมังกรแท้นี่เอง
สมบัติยุทธ์ที่เซียนกระบี่บัวครามหลี่ไป๋ทิ้งไว้ให้ ช่างดูฟุ่มเฟือยเสีย นี่กระไร
ชนเผ่ามังกรเป็นชนเผ่าใหญ่แห่งจักรวาล มีอภินิหารติดตัวแต่ กําเนิด ในตํานานเรื่องเล่ามากมายบนดาวโลก มังกรเป็นสัญลักษณ์แห่ง พลังและอภินิหาร คนจีนบนดาวโลก ยังเรียกตนเองว่าเป็น ‘ผู้สืบทอด แห่งมังกร’
หลี่มู่ไม่รู้ว่าการที่ชาวดาวโลกถูกเรียกว่านักโทษผู้ผิดบาป จะเกี่ยว ขอ้งกับชนเผ่ามังกรหรือไม่ ทว่าชัดเจนแล้ว เลือดแห่งมังกรแท้สําหรับ ความสําเร็จของจอมยุทธ์แล้วถือเป็นอะไรที่เหลือเชื่อเอามากๆ
ยิ่งไปกว่านั้นหลี่มู่ยังมองออกว่าเยี่ยอู๋เหินยังไม่ได้ผสานเข้ากับ เลือดแห่งมังกรอย่างสมบูรณ์ มิเช่นนั้น เกล็ดมังกรบนร่างกายนาง เขา บนศีรษะของนางจะสามารถปรากฏและหายไปได้ตลอดเวลา ไม่ เหมือนกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ อยู่ในลักษณะครึ่งชัดครึ่งไม่ชัด
แล้วถ้าเยี่ยอู๋เหินผสานเข้ากับเลือดแห่งมังกรแท้ในร่างกายได้ จะ แข็งแกร่งขึ้นถึงระดับไหนกัน?
หลี่มู่รู้สึกเฝ้ารออย่างมาก
“ท่านจ้าวลัทธิเก่าแก่บอกว่า สิ่งสืบทอดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ แต่เป็นอาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์เขาทิ้งเอาไว้ และ ส่งต่อมาให้กับข้า” เยี่ยอู๋เหินอ้าปากอธิบาย เอ่ยต่อว่า “ท่านจ้าวลัทธิ เก่าแก่บอกอีกว่า เชื้อไฟการบําเพ็ญบนดาวโลกก็เป็นปรัชญาเมธีผู้นี้ที่ จุดขึ้น วิถีเซียนทางช้างเผือกก็เป็นปรัชญาเมธีผู้นี้เป็นผู้เบิกทาง…รอจน ข้าสามารถผสานเข้ากับเลือดแห่งมังกรแท้หยดนี้ได้ เส้นทางในอนาคต ก็จะไร้ขีดจํากัด น่าเสียดายที่ตลอดจนถึงช่วงปิดด่านของท่านจ้าวลัทธิ เก่าแก่กําหนดไว้ ข้ายังผสานไปได้ไม่ถึงหนึ่งในร้อย”
ทุกคนในที่นี้ล้วนอดสูดปากขึ้นมาไม่ได้ นี่ยังมีหลักการแห่งสวรรค์อยู่ไหม หนึ่งส่วนร้อยยังแข็งแกร่งขนาดนี้ กระโดดเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ ได้ แล้วหลังจากผสานจนสมบูรณ์จะไปถึงไหนกัน? หลี่มู่ก็ยังลูบจมูกตนเอง ให้ตายเถอะ วันนั้นตนเองถือดีไปหน่อย ปฏิเสธของขวัญที่หลี่ไป๋ มอบให้ นี่มันพลาดโอกาสระดับไหนไปกันนี่ แต่ว่า เขาก็เพียงแค่ทอดถอน ไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลัง
หนึ่งคือวิชาที่ตนเองฝึกฝน เดิมทีก็ลึกลับเป็นหนึ่งไม่มีสองอยู่แล้ว จนถึงปัจจุบันยังคงไม่ได้แสดงพลานุภาพออกมาทั้งหมด สองคือเซียน กระบี่บัวครามหลี่ไปที่ยินยอมส่งต่อวิชานี้ให้กับคนอื่น ก็อธิบายได้ว่าหลี่ ไป๋เห็นพ้องกับความเห็นของหลี่มู่ พลังที่ได้จากการผสานกับเลือดของผู้ แข็งแกร่ง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นทางลัดที่เสียหายอะไร แต่พลังที่ได้จากการ ฝึกฝนทีละก้าวของตนเอง จึงจะเป็นวิถีของตนเองที่แท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ไป๋เองก็คงจะมองออกถึงร่องรอยบางส่วน วิชาบน ร่างหลี่มู่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่ามังกร ไม่จําเป็นจะต้องผสานเข้ากับเลือด แห่งมังกรแท้
แต่จากปากของเยี่ยอู๋เหิน อาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์ของ อาจารย์ของหลี่ไป๋คนนั้น ดึงดูดความสนใจของหลี่มู่อย่างมาก
“แล้วอาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์คนนั้นชื่อว่า อะไรหรือ หรือว่ามีฉายาอะไรบ้างไหม?” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้
เยี่ยอู๋เหินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกําลังทบทวนความทรงจํา จากนั้น จึงค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “ท่านจ้าวลัทธิเก่าแก่เหมือนจะเอ่ยถึงอยู่ ว่าเท วะคนนี้ไม่มีชื่อ แต่มีฉายาว่ามหาราชันแรงดลใจ”
มหาราชันแรงดลใจ?
หลี่มู่ขมวดคิ้ว
เขาขบคิดอยู่นานสองนาน นอกจากในตํานานไซอิ๋วที่มีภูตปลาตน หนึ่งชื่อว่ามหาราชันแรงดลใจที่ท้ายสุดถูกซุนหงอคงตีจนตายแล้ว อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพงศาวดารหรือบันทึกประวัติศาสตร์ รวมไปถึงนิยายต่างๆ ก็ไม่มีคนที่ใช้ชื่อว่า ‘มหาราชันแรงดลใจ’ แล้วนี่นะ?
แปลกจริงๆ
เมื่อแปลคําพูดของหลี่ไป๋ออกมา สิ่งที่เป็นไปได้ก็คือ ตอนแรกที่ เล่าจื้อบรรลุธรรม ส่งต่อให้กับปรัชญาเมธีก่อนยุคฉินบรรลุธรรม
จากนั้นเหล่าปรัชญาเมธีบนดาวโลกได้สืบทอดต่อ และการที่เล่าจื้อก้าว สู่วิถีเซียน ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้
คนที่เก่งกาจเช่นนี้ บนประวัติศาสตร์โบราณของจีนน่าจะมี ชื่อเสียงอย่างมากจึงจะถูก ทําไมจึงไม่มีการบันทึกไว้เลย
เยี่ยอู๋เหินมองเห็นว่าหลี่มู่ค่อนข้างสนใจ จึงเสริมเติมต่อว่า “ท่าน จ้าวลัทธิเก่าแก่ยังแสดงภาพของมหาราชันแรงดลใจให้ข้าดูด้วย บอกว่า เมื่อได้รับสิริมงคลโอกาสนี้แล้ว นับจากนี้ก็ถือว่าเป็นผู้สืบทอดสํานักแรง ดลใจ ด้วยเหตุนี้จึงจําเป็นต้องรู้จักว่าบรมครูคือใคร”
พูดจบ นางใช้ปราณแท้รังสรรค์นําภาพที่ตนเองเห็นวาดออกมา กลางอากาศ
ผู้คนจากภูเขาสู่มองเห็นภาพร่างในชุดเต๋า เป็นภาพที่ค่อนข้าง สกปรกมอมแมม ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร
ทว่าหลี่มู่กลับเหมือนถูกอัสนีผ่าลงมา ตาค้างลิ้นพันอยู่กับที่พูด อะไรไม่ออกอยู่นาน
ให้ตายเถอะ!
ซินแสเฒ่า!
ภาพที่เยี่ยอู๋เหินวาดออกมา เป็นภาพของซินแสเฒ่าเทพเซียนลับๆ ล่อๆ ที่เก็บหลี่มู่มาอุปการะตั้งแต่ยังเล็กในวัดหรานเติงบนดาวโลกคน นั้น
หลี่มู่มองไม่ผิด และไม่มีทางเข้าใจผิด
เพราะมันเข้าใจได้เช่นนั้นจริงๆ
ต่อให้หน้าตาในรายละเอียดบางส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ว่า กลิ่นอายลับๆ ล่อๆ ขี้เกียจของซินแสเฒ่าคนนั้น ต่อให้ทักษะการวาด ภาพของเยี่ยอู๋เหินจะไม่ได้สูงส่ง แต่ก็แสดงออกมาได้อย่างหมดจด จน ทําเอาหลี่มู่ไม่สามารถนําคนในภาพไปเทียบกับคนๆ อื่นได้เลย
เรื่องที่ทําให้แปลกใจนี้….มันมากเกินไปแล้ว
ผ่านไปนานสองนาน หลี่มู่จึงได้นวดใบหน้าแข็งของตนเองที่ค้าง จากการตกตะลึงเป็นระยะเวลานาน และเริ่มจัดกระบวนการความคิด
ซินแสเฒ่าเห็นได้ชัดว่าเป็นคนในยุคปัจจุบัน ต่อให้บํารุงสุขภาพได้ ดีแค่ไหน แต่อย่างมากก็น่าจะอายุเจ็ดแปดสิบปี อย่างมากสุดก็ไม่น่า เกินหนึ่งร้อยปี แล้วจะไปส่งผลกระทบถึงคนโบราณได้อย่างไรกัน…
เอ่อ ก็ไม่ถูก
หลี่มู่จู่ๆ ตระหนักขึ้นมาได้ ว่าการคิดแรงเฉื่อยของตนเองนั้นผิด ถนัด
ที่มาของซินแสเฒ่านั้นลึกลับไม่ชัดเจน แรกสุดที่สถานีตํารวจ ท้องถิ่นก็ไม่มีทะเบียนบ้านของคนผู้นี้อยู่ เป็นคนเถื่อนโดยแท้จริง ต่อมา เห็นว่าชาวบ้านในหมู่บ้านวัดหรานเติงได้ร่วมกันหาวิธีจนทําให้ซินแส เฒ่าทําทะเบียนบ้านขึ้นมาได้
เอ่อ หรือว่าตาเฒ่าคนนี้จะเป็น ‘ผู้เจนโลก’ ก่อนยุคสมัยฉินที่มีชีวิต มาจนถึงปัจจุบันกัน?
อยู่มากว่าสองสามพันปี?
หลบซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศจีนมาโดย ตลอด?
เรื่องเช่นนี้ ถ้าพูดออกมาก่อนหน้าหลี่มู่จะต้องคิดว่าเป็นเรื่อง เหลวไหลพกลมเป็นแน่
แต่ว่าตอนนี้ ได้มาเห็นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่อายุร้อยปีพันปีอยู่ บ่อยครั้ง ว่ากันว่ามีพวกรุ่นใหญ่ที่มีอายุถึงหมื่นปีอีกด้วย…ซินแสเฒ่าที่ ลึกลับไม่อาจคาดเดา สามารถส่งคนออกจากดาวโลก และยังสามารถ ถ่ายทอดวิชาอันลึกลับอย่าง ‘วิชาก่อนกําเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ให้ อีก น่ากลัวว่าคงจะไม่แตกต่างจากพวกรุ่นใหญ่ที่เล่าลือกันเท่าไรนัก…
ตาเฒ่าคนนี้กบดานได้ลึกจริงๆ…
หลี่มู่คิดว่าตนเองต้องเปลี่ยนมุมมองกับนิยามในตัวของซินแสเฒ่า ใหม่เสียแล้ว
ต้องจัดระเบียบใหม่เสียหน่อย มึนไปหมดแล้ว
“หรือว่าจ้าวลัทธิจะรู้จักกับผู้อาวุโสคนนี้?” คุณชายเงาจันทร์ที่ ละเอียดรอบคอบ มองเห็นสีหน้าเช่นนี้ของหลี่มู่ก็คาดเดาออกมาได้
หลี่มู่ยิ้มขืนๆ พยักหน้า ตอบว่า “เพื่อนเก่าคนหนึ่ง แต่ก่อนหน้านี้ ข้าก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะเก่งกาจเช่นนี้”
เลือดแห่งมังกรแท้เชียวนะ!
ของแบบนี้ ซินแสเฒ่าก็ยังเอาออกมาได้ นี่มันอวดของกันเห็นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงแค่สิ่งของที่เขาทิ้งให้กับลูกศิษย์ของลูก ศิษย์ จินตนาการได้เลย ว่าของขวัญการพบกันที่เขามอบให้กับศิษย์รุ่น แรก ศิษย์รุ่นที่สองและศิษย์รุ่นที่สาม น่ากลัวว่าจะฟุ่มเฟือยกว่าหาได้ ยากยิ่งกว่าเลือดแห่งมังกรแท้นี่เสียอีก
ตาเฒ่าคนนี้ ‘รวย’ ชัดๆ แต่กลับไม่ยอมให้หลี่มู่ ยังให้เขาไปคอยฆ่า หมู ท้ายสุดยังโยนเขาไปดิ้นรนเองที่แผ่นดินใหญ่เสินโจวอีก…
หลี่มู่หมดแรงที่จะแขวะเลยจริงๆ
ถ้าตอนแรกซินแสเฒ่ามอบเลือดอะไรพวกนี้ให้กับตนเองบ้าง ตนเองก็คงจะไล่ล่าสังหารทั่วสารทิศในแผ่นดินใหญ่เสินโจวได้แล้ว ไม่ เห็นจะต้องคอย ‘พัฒนาตัวอย่างลับๆ ล่อๆ’ อยู่ตั้งห้าปีถึงจะยึดตัว ตระหง่านขึ้นมาได้
หรือว่าซินแสเฒ่าจะคิดว่า สอนคนให้หาปลาดีกว่าส่งปลาให้กับคน ดังนั้นจึงถ่ายทอดวิชาให้กับหลี่มู่ แต่ไม่ใช่มอบสมบัติล�าค่าอะไรให้กัน?
แต่ว่า หลังจากที่ได้รู้เรื่องนี้ ความกังวลในใจของหลี่มู่ที่มีต่อตัว ซินแสเฒ่า จู่ๆ ได้มลายหายไปอย่างมาก
ในเมื่อซินแสเฒ่าคือยอดฝีมือที่ ‘ปลอมเป็นหมูจับเสือกิน’ มีวิชา และอภินิหารเช่นนี้ เช่นนั้นการที่เขาหายตัวไปบนดาวโลก ก็แทบจะ ยืนยันได้เลยว่าออกจากที่นั่นด้วยตนเอง ไม่ได้ถูกคนลอบทําร้ายหรือ ล้อมจับ ไม่มีอันตรายใดๆ แน่นอน
ลําพังแค่พวกบู๊ลิ้มกับพวกตระกูลใหญ่บนโลกเหล่านั้น แค่จะเช็ด รองเท้าให้ซินแสเฒ่า โอ๊ะ ไม่สิ แค่จะคอยเช็ดก้นให้ซินแสเฒ่าก็ยังไม่ คู่ควรเลย
เขาไปอยู่ที่ไหนแล้วกันแน่นะ?
หลี่มู่เดาไม่ออกเลย แต่ว่า เขาไม่จําเป็นต้องเปลืองแรงไปเดาแล้ว ขอแค่ซินแสเฒ่าปลอดภัยก็พอ ถัดไป แผนการของหลี่มู่ยังต้องทําให้บรรลุผลต่อ
เขาถามขึ้น “การพุ่งทะลักของปราณสมบัติบัวคราม เกี่ยวข้องกับ ปราณชีพจรดินใต้แผ่นดิน จ้าวลัทธิเก่าแก่ยังทิ้งสมบัติลับอื่นๆ ไว้อีก ไหม?”
หลี่มู่ตอนนี้เป็นจ้าวลัทธิภูเขาสู่ แน่นอนว่ามีคุณสมบัติในการ สอบถาม
เยี่ยอู๋เหินตอบ “ในถ�าใต้สระบัวครามยังมีค่ายกลอําพรางบางส่วน อยู่อีก รวมไปถึงสมบัติลับมากมายที่ลัทธิเทพรวบรวมเอาไว้ในอดีต จ้าว ลัทธิเก่าแก่ได้ชี้แนะไว้ด้วย ว่าข้าสามารถพาท่านไปได้”
หลี่มู่คิดๆ ดู ตอบว่า “เอาไว้วันหลังเถอะ”
ติงอี้ที่อยู่ข้างๆ กระซิบเสียงต�าอย่างตกตะลึง “ตรงไปไหม? เก็บ อาการหน่อยสิ”
หลี่มู่ยกหมัดขึ้นซัดปลิวออกไป เอ่ยต่อว่า “เจ้าไปดูยายเฒ่าเยี่ย หน่อยเถิด แล้วก็คุณลุงนิรนามด้วย พรุ่งนี้ค่อยไปสํารวจสมบัติใต้ถ�าก็ยัง ทันถมเถ”
เยี่ยอู๋เหินพยักหน้า ตอบกลับ “ได้”
นางได้ยินเรื่องราวทั้งหมดของศึกใหญ่บนเวทีลอยแล้ว และรู้ถึง สถานการณ์ของคุณย่าและนิรนาม ในใจจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร รีบทํา ความเคารพหลี่มู่ด้วยใบหน้าซาบซึ้ง จากนั้นจึงออกจากวิหารเซียน ทะยานไปพร้อมกับสาวใช้ข้างกายฉิงเอ๋อร์ รวมไปถึงยอดฝีมือสํานัก ชําระดาบคนอื่นๆ
หลี่มู่ถอนหายใจ
เรื่องของซินแสเฒ่าทําเอาเขาตกตะลึงอย่างมาก และได้เติมเต็ม ปริศนามากมายในสมองของเขาอีกด้วย
เดิมทีคิดว่าตนเองได้เข้าใจความจริงไปมากมายหลายเรื่อง ทว่า ตอนนี้ดูท่าจะห่างจากความจริงที่แท้จริงไปอีกก้าวหนึ่งเสียแล้ว
……………………………………….