จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 17 ฉีกหน้า
นายตรวจการเจิ้งหลงซิงที่อยู่อีกด้านได้ยินเข้า ก็รู้สึกดีใจในหายนะของอีกฝ่าย “เฮ้อ ผู้ช่วยขุนนางเมืองโจว อย่าเพิ่งฉุนเฉียวสิ ให้นายทะเบียนเฝิงพูดให้จบก่อน ผู้บริสุทธิ์ย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ คนชั่วย่อมเป็นคนชั่ว ผู้ช่วยขุนนางเมืองโจวจะกลัวไปไย?”
สิ่งที่โจวอู่พูดไปเมื่อครู่ถูกเจิ้งหลงซิงย้อนกลับมาหมด
โจวอู่โกรธจนตัวสั่น
เขาไม่นึกเลยว่าเฝิงหยวนซิงคนที่เชื่อฟังเขาทุกคำ ต่อหน้าเขาปฏิบัติตามทุกอย่างจนเกือบเหลาะแหละ จะหันดาบมาหาและหักหลังเขาในยามคับขัน ช่างร้ายกาจเยี่ยงงูพิษ ก่อนนี้มันหลอกเขามาโดยตลอด
หลี่มู่กินเนื้อย่างหัวเราะร่า ทำท่าเหมือนพวกเจ้าทะเลาะกันไปก่อน ไม่ต้องมาสนใจสีหน้าข้า
ช่างเป็นฉากที่น่าขัน หลี่มู่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องราวกับกำลังชมการแสดง
ด้านหมิงเยวี่ยน้อยไม่สนใจการหลอกกันไปมาของพวกใต้เท้าทั้งหลายเลยสักนิด
นางหยุดความตะกละของตัวเองไม่ไหว จึงไปหาลูกศรเขี้ยวหมาป่ามาสองสามดอก แล้วตัดเนื้องูมาย่างเองเสีย
กลับเป็นเด็กชายผู้รับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่ราวกับคิดอะไรอยู่ ท่าทีดูไปแล้วคล้ายผู้ใหญ่
เฝิงหยวนซิงคุกเข่าที่พื้น ไม่กล้าลุกขึ้น เหงื่อไหลลงจากหน้าผากหยดแล้วหยดเล่า
ท่าทางของหลี่มู่ทำให้เขาที่ฉลาดมากแผนการมาตลอดไม่มีปัญญาเดาได้เลยว่ายามนี้ท่านขุนนางเมืองคิดอะไรอยู่
เดิมทีเขาคิดไปว่าหลังฟังรายงานของตนแล้ว ขุนนางเมืองที่โกรธหุนหันพลันแล่นผู้นี้ต้องบันดาลโทสะ ตัดสินลงโทษโจวอู่และเจิ้งหลงซิง เพราะดูจากเรื่องพรรคเสินหนงในวันนี้ ขุนนางเมืองหนุ่มน้อยต้องมีนิสัยวู่วามเป็นแน่
ทว่า ปฏิกิริยาของหลี่มู่ในตอนนี้กลับทำให้เขาไม่มั่นใจ เกิดความกลัวขึ้นมาทีละน้อย
มีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
หม่าจวินอู่พาหมอจากโรงหมอคนหนึ่งมาเพื่อรักษาบาดแผลของหลี่มู่
หมอท่านนี้อายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างผอมบาง เขาเคยเห็นหลี่มู่ที่โรงหมอมาก่อน ตอนนั้นเขาทั้งโกรธ เฉยชา เศร้าเหมือนหัวใจตายด้าน เขาสิ้นหวังต่อโลกใบนี้แล้ว แต่ในเวลานี้ สายตาที่มองหลี่มู่กลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและเทิดทูน
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าขุนนางเมืองวัยเยาว์ผู้นี้จะลงมือจัดการพรรคเสินหนงด้วยตนเอง เพื่อแก้แค้นให้ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บในโรงหมอจริงๆ
หลังจากได้รับอนุญาต เขาตรวจอาการบาดเจ็บของหลี่มู่ ก็เกิดความประหลาดใจ และยิ่งเทิดทูนมากขึ้น
ลูกศรแทงทะลุกระดูก หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงเจ็บจนหมดสติไปนานแล้ว แต่หลี่มู่กลับกำลังกินเนื้อย่างโดยที่สีหน้าไม่แสดงความเจ็บปวด เป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ใต้เท้า ก่อนจะพันแผลต้องดึงลูกศรออก อาจจะสร้างความเจ็บปวดให้ท่านสักหน่อย ขอให้ท่านอดทนไว้” หมอท่านนี้เตรียมจะทำความสะอาดเศษเนื้อและกระดูกตรงปากแผลอย่างเบามือ
“อ้อ” หลี่มู่พยักหน้า “เดี๋ยวข้าทำเอง”
เขาหพลิกมือจับลูกศรเขี้ยวหมาป่า และดึงออกมาตรงๆ
เกิดเสียงดังพรวด เลือดพุ่งออกมา สาดไปถึงเฝิงหยวนซิงที่คุกเข่าอยู่หน้าเขา ทำให้นายทะเบียนผู้นี้ร้องตกใจพลางก้าวถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าหวาดกลัว แต่หลี่มู่ไม่ได้มองเขา กลับดึงธนูออกมาเช็ดเลือดกับเสื้อบนศพซือคงจิ้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วคว้าเนื้องูมาย่างกินต่อ
“ตอนนี้เจ้าพันแผลได้แล้วสินะ?” เขากัดสองสามคำ หันไปมองหมอที่ทำหน้าราวกับเจอผี เขาหัวเราะแล้วกล่าวว่า “อยากกินสักไม้สองไม้ไหมเล่า เนื้องูอร่อยมากนะ”
“ไม่ๆๆ ขอรับ ใต้เท้า…ท่านนี่เหมือนเทพเซียนจริงๆ”
เมื่อหมอตั้งสติได้แล้วมองตาหลี่มู่ ก็ยิ่งรู้สึกเลือดร้อน ราวกับมองเห็นเทพ เขารีบลงมือพันแผลให้หลี่มู่ทันที
แต่โจวอู่และเจิ้งหลงซิงที่เห็นเหตุการณ์ ในใจรู้สึกหนาวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ขึ้นมาโดยพลัน
ขุนนางเมืองหนุ่มน้อยผู้นี้ช่างเป็นคนเหี้ยมโหดนัก
ลูกศรเขี้ยวหมาป่านั่นมีหนามแหลมอยู่ เมื่อดึงออกจึงกระชากเนื้อติดมาด้วย ปากแผลกลายเป็นโพรงเลือด หลี่มู่กลับยังคงนิ่งเฉย พลังใจและความเด็ดเดี่ยวของคนผู้นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว คนประเภทนี้เป็นเด็กรุ่นเยาว์ที่ไหนกัน? หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ พวกเขาคงร่วมมือกันจัดการหลี่มู่ก่อน ไม่ควรหันมาฟาดฟันกันเองแบบนี้
ทั้งสองมองตากัน ภายในใจรู้สึกกระสับกระส่าย
ตอนนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว
ในเวลาต่อมา
หลี่มู่ทำแผลเสร็จเรียบร้อย
เขายืนขึ้นลูบๆ ท้องตัวเอง ร้องออกมาอย่างพึงพอใจแล้วกล่าวว่า “เอาละ กินอิ่มแล้ว สบายตัว”
หลังหันไปมองศพงูที่ยังเหลืออยู่เก้าในสิบส่วน เขาพูดกับหมิงเยวี่ยว่า “พอแล้ว แม่เด็กตะกละ หยุดกินได้แล้ว หาคนมาแบกงูตัวนี้กลับไปที่ว่าการ เจ้ายังกินได้อีกหลายวัน จำไว้ เก็บไว้ที่ห้องน้ำแข็งอย่าให้มันเน่าเสีย”
“เจ้าค่ะๆๆ” หมิงเยวี่ยที่กินจนท้องป่องแล้วยังคงกินอย่างตะกละตะกลาม
หลังจากเด็กโง่กินหมดไม้จึงค่อยยืนขึ้นอย่างพึงพอใจ มือขาวนุ่มนิ่มเช็ดปาก แล้วยิ้มตาหยีเรียกหม่าจวินอู่ จากนั้นนำองครักษ์หลายสิบนายแบกงูเขียวยักษ์ออกไปจากถ้ำ
หลี่มู่ตบบ่าชิงเฟิงแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็ไปด้วยเถอะ เด็กคนนั้นทำอะไรไม่ระวัง ข้าไม่วางใจ”
ชิงเฟิงลังเลอยู่สักครู่ เห็นทีหลี่มู่คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรจริง เขาคิดเอ่ยปากพูดอะไรสักสองสามประโยคแต่หลี่มู่ยกมือขึ้นห้ามไว้ สื่อนัยว่าไม่ต้องพูดตนก็เข้าใจ ในที่สุดชิงเฟิงจึงได้แต่ออกไปพร้อมหมอผู้นั้น
แสงแดดยามบ่ายสาดลงมาจากเพดานถ้ำหิน กระบี่เงินสายเล่มส่องลงมา ทำให้เห็นฝุ่นควันที่ต้องแสงล่องลอยอยู่ในอากาศ
ในถ้ำหินเหลือเพียงหลี่มู่ คนฝ่ายโจวอู่ และคนฝ่ายเจิ้งหลงซิง
หลี่มู่ค่อยๆ หย่อนตัวลงบนเก้าอี้หิน หยิบธนูสีขาวหน้าตาประหลาดจากศพซือคงจิ้งมาเล่น จากนั้นก็หยิบลูกศรเขี้ยวหมาป่ายี่สิบดอกปักลงที่พื้นด้านข้าง แล้วค่อยเงยหน้ามองกลุ่มคนเหล่านั้น เอ่ยขึ้นมาว่า “ใครหน้าไหนมันอยู่เบื้องหลังการจัดฉากในครั้งนี้ คิดจะยึดอำนาจข้า?”
หา?
ไม่ว่าจะโจวอู่หรือเจิ้งหลงซิงต่างก็ตื่นตกใจไปชั่วขณะ
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจไม่ใช่เพราะคำถามที่หลี่มู่ถาม แต่เป็นท่าทางและน้ำเสียง
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เหมือนขุนนางเมืองผู้สูงส่งเอ่ยถาม น้ำเสียงกลับเหมือนอันธพาลที่ถูกต่อยตีจนใบหน้าเขียวช้ำข้างถนนแล้วมาเรียกร้องให้ทหารจัดการ
“คือ…” สีหน้าโจวอู่ย่ำแย่ถึงขีดสุด
แต่ด้านเจิ้งหลงซิงเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่อยากกระพือไฟที่ดับมอดแล้วขึ้นมาอีก
เขารับรู้ว่าสถานการณ์ในวันนี้ค่อนข้างอันตราย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาอยากฆ่าโจวอู่มาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาคงเป็นคนโง่หากพยายามที่จะกำจัดโจวอู่ในตอนนี้…อยากจะรอดจากภาวะคับขันวันนี้ ไม่แน่อาจต้องแอบร่วมมือกับโจวอู่ ร่วมคุกคามขุนนางเมืองหนุ่มผู้นี้ด้วยกัน
“พับผ่าสิ กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ? ขี้ขลาดอะไรเช่นนี้!” หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น
หลังจากนั้นเขามองเฝิงหยวนซิง กล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูดมาล้วนเป็นความจริง?”
เฝิงหยวนซิงเหมือนได้รับการปลดปล่อย เช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วตอบว่า “ข้าน้อยกล้าใช้ชีวิตตัวเองรับประกัน”
“ฮ่าๆ นายทะเบียนเฝิงเจ้าควรคิดให้ดีก่อนตอบ ชีวิตของเจ้าไม่ค่อยมีค่านักหรอก” โจวอู่หัวเราะเหยียดเสียงเบา ในเวลานี้ เขาโกรธเฝิงหยวนซิงที่ทรยศเขา เคืองแค้นยิ่งกว่าเจิ้งหลงซิง ภายใต้ความโกรธนั้น เขาเองก็รู้ว่าต่อให้ไม่ยินยอมเพียงใด ก็ต้องร่วมมือกับเจิ้งหลงซิงให้รอดจากวิกฤตนี้ก่อน
“ใช่ เฝิงหยวนซิง เจ้าควรตรองดูให้ดี คำพูดเจ้าหมายความว่าอะไร” นายตรวจการเจิ้งหลงซิงเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนมีอะไรแอบแฝง รู้สึกถึงคำขู่ในนั้นอย่างชัดเจน
หลี่มู่หัวเราะ “มารดามันเถอะ กล้าโป้ปดต่อหน้าข้า…พูดตามตรง พูดกับตัวตลกอย่างเจ้าสองคนแล้วข้ารู้สึกสะอิดสะเอียน”
โจวอู่และเจิ้งหลงซิงแค่นเสียงหยัน เหยียดหลังตรง สีหน้าไม่ยิ้มให้หลี่มู่เหมือนเก่าอีกต่อไป
พวกเขาตัดสินใจแล้ว เวลานี้ใช้ไม้อ่อนในการแก้ไขปัญหาไม่ได้แล้ว
แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้สื่อสารกันโดยตรง แต่จากที่ฟาดฟันกันมาหลายปี ทำให้พวกเขาสามารถตกลงกันได้โดยไม่ต้องเอ่ยปาก ตัดสินใจจะร่วมมือกันต่อต้านหลี่มู่
แต่หลี่มู่ไม่สนใจพวกเขา ยังคงมองที่เฝิงหยวนซิงพลางเล่นลูกศรในมือ ถามอย่างนุ่มนวลว่า “เจ้าลองพูดมา ร่วมมือกับพรรคเสินหนง ทำร้ายผู้คนบริสุทธิ์ ปองร้ายข้า…ตามกฎหมายของจักรวรรดิมีโทษเช่นไร?”
“มีโทษตัดหัวขอรับ” เฝิงหยวนซิงพูดเน้นทุกคำออกมาอย่างหนักแน่นมั่นคง
สี่คำนี้ทำให้สีหน้าโจวอู่และเจิ้งหลงซิงเปลี่ยนไปทันใด
เจ้าลูกคนสำส่อนเฝิงหยวนซิง ต้องการบรรลุเป้าหมายให้ถึงที่สุดเลยหรือ
“ดีมากเจ้าคนแซ่เฝิง บัญชีนี้พวกเรามาค่อยๆ คิดกัน” เจิ้งหลงซิงแสดงออกถึงความมุ่งร้าย
เขาวางหมากไว้แล้ว ตั้งตาคอยให้มาถึงวันนี้ เพื่อหาโอกาสให้คนหลักลอยอย่างเฝิงหยวนซิงรู้ว่าคำว่าตายสะกดอย่างไร
โจวอู่กลับไม่พูดอะไร เพียงแต่หัวเราะเหอะๆ อย่างเย็นชาไม่หยุด
แต่คนที่รู้จักเขาดีจะรู้ได้ นี่เป็นท่าทางของโจวอู่ในเวลาที่เขาโกรธจัดจนอยากฆ่าคน
“เจ้าหนูสองตัว ยังอยากจะพูดอะไรอีกไหม?” หลี่มู่มองไปยังหัวหอกทั้งสอง
โจวอู่และเจิ้งหลงซิงแค่นเสียงพร้อมกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ พวกเขาไม่หวาดเกรงหลี่มู่อีก และไม่กลัวว่าหลี่มู่จะฆ่าพวกเขาจริง ในเวลานี้ไม่ต้องแสร้งทำสุภาพอีกแล้ว
“ใต้เท้าหลี่ ในเมื่อเรื่องที่นี่จบลงแล้ว ข้าน้อยขอตัวลา” โจวอู่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ข้าเองก็มีเรื่องต้องทำ ใต้เท้าหลี่ค่อยๆ เก็บกวาดที่นี่ไปแล้วกัน” เจิ้งหลงซิงก็หัวเราะเสียงเย็น
คนทั้งสองขบคิดไว้แล้วว่าต่อไปจะร่วมมือกันต่อกรขุนนางเมืองหลี่ผู้แข็งแกร่งอย่างไร ไม่ว่าพลังแท้จริงของหลี่มู่จะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่มีคนหนุนหลังในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ มีเพียงตัวคนเดียว หากอยากจะพึ่งความกล้าเพียงอย่างเดียวมาต่อสู้กับสิ่งที่พวกเขาลงแรงสั่งสมมายี่สิบกว่าปี เช่นนั้นก็รอดูกันไปเถิด…
หลี่มู่พยักหน้า พูดว่า “ได้ พวกเจ้าอยากไป ข้าก็จะไม่รั้งไว้”
…………………………..