จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 55 นัดประลองของสองสำนักเริ่มขึ้นแล้ว
หลี่มู่รับรู้ความรู้สึกนี้อย่างละเอียด สุดท้ายจึงแน่ใจว่าแหล่งกำเนิดของพลังงานใหม่ก็คืออาหารพวกนั้น
‘ผู้คนบนโลกพูดกันว่ากินอิ่มแล้วถึงจะมีกำลัง คำพูดง่ายๆ แฝงไว้ด้วยหลักเหตุผลสูงสุด…พลังกำเนิดมาจากอาหาร นี่น่าจะเป็นหนึ่งในหลักพื้นฐานของการฝึกฝนเหมือนกัน’
หลี่มู่หยุดการเคลื่อนไหว คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาสูงมาก มักจะสรุปความรู้เชื่อมโยงได้
ความสามารถในการเรียนรู้เช่นนี้คือการคลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ ถูกหรือผิดจำต้องใช้เวลาและการพิสูจน์ผ่านการปฏิบัติจริง
สำหรับจอมยุทธ์ที่ควบคุมกำลังภายในได้แล้ว อาหารทั่วไปสามารถมอบพลังให้ได้ แต่พลังวิญญาณในธรรมชาติก็เป็นหนึ่งใน ‘อาหาร’ ที่มอบพลังให้ได้ชนิดหนึ่ง พลังที่ได้จาก ‘อาหาร’ ชนิดนี้รับมาผ่านวิชาฝึกตนพิเศษ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับพลังล้ำหน้าเกินคนทั่วไป
หลังจากที่สำแดงท่ายืนตั้งต้นของ ‘หมัดยุทธแท้’ หกรอบกับสองกระบวนท่าก่อนหน้านี้แล้ว หลี่มู่รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทั้งตัว
นี่เป็นเพราะการแบกรับของร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว
เขาเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ และเริ่มฝึกฝน ‘พลังก่อนกำเนิด’
‘หมัดยุทธแท้’ และ ‘พลังก่อนกำเนิด’ คือพื้นฐานพลังทั้งหมดของเขา
ในด้านการฝึกฝนวิชาทั้งสอง เขาไม่เคยขี้เกียจหรือหยุดพักเลย
ขณะหายใจ อากาศในห้องฝึกยุทธ์เกิดการเปลี่ยนแปลง
อากาศสองสายที่เปล่งแสงสีขาวยาวสามฉื่อยืดแผ่เข้าไปในจมูกหลี่มู่ราวกับงูสีขาวตัวเล็ก
ผิวกายของหลี่มู่เกิดประกายสีเงิน ร่างกายคล้ายกำลังเปล่งแสงอย่างไรอย่างนั้น เส้นผมทุกเส้นระยิบระยับ ในช่วงหลายเดือนที่ดาวดวงนี้ ผมของเขายาวเร็วมากจนเกือบจะถึงบ่าแล้ว
กล้ามเนื้อของเขาก็เหมือนจะโปร่งแสงจนแทบมองเห็นเส้นเลือดได้รางๆ
ทั้งตัวลี่มู่ถูกห้อมล้อมอยู่ในบรรยากาศที่ลึกล้ำมหัศจรรย์
ผ่านไประยะหนึ่ง หลี่มู่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น หยุดฝึกฝนการหายใจ
ประกายแสงบนร่างและบรรยากาศลึกลับสลายไป
เขาลุกขึ้นมา รู้สึกว่าทั้งตัวโล่งสบาย
โดยเฉพาะสมองยิ่งปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ความรู้สึกแบบนี้อย่างกับดื่มยาเซิงมิ่งอีเฮ่า[1]ในตำนานเลย หัวสมองแล่นปรื้ดเลย…” หลี่มู่เกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองฉลาดขึ้นจริงๆ
เขาย้อนคิดถึงประสบการณ์การต่อสู้เมื่อคืนวาน ก็พบจุดที่ก่อนหน้านี้ละเลยไปมากมายทันที และยิ่งเข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิม
โดยเฉพาะระหว่างการประลองดาบกับ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวบนหน้าผาที่ปรากฏซ้ำในหัวเขาไม่หยุด เขาเข้าใจจุดอ่อนเรื่องจังหวะ ขั้นตอน การโคจรพลัง และด้านอื่นๆ ของ ‘ชักดาบสะบั้น’ ที่ตนใช้ทันที
เขาทดลองเลียนแบบใหม่จนได้ผลออกมาอย่างรวดเร็ว
หากให้เขาประลองกับอู่เปียวอีกครั้งในสถานการณ์เดียวกัน กระบวนท่าเดียวกัน เขามั่นใจเต็มร้อยว่าสู้ได้สูสีกัน ไม่ใช่กระบวนท่าเดียวก็เกือบโดนอู่เปียวผ่าอกเอา
สิ่งที่ยิ่งน่าอัศจรรย์คือ เมื่อคิดย้อนถึงการเปลี่ยนกระบวนท่าและหลักการปล่อยพลังของ ‘เพลงดาบโลกันตร์’ อีกครั้ง ทั้งหมดก็กระจ่างขึ้นทันที มีความรู้สึกเหมือนเพียงแวบเดียวก็มองหลักการลึกล้ำทั้งหมดออก ราวกับว่าฝึกมาหลายรอบแล้ว
‘หรือ ‘พลังก่อนกำเนิด’ จะสามารถเปิดความสามารถด้านวิถียุทธ์ได้?’
หลี่มู่ตื่นตะลึงเป็นที่สุด
หากใช้ทฤษฎีของโลกมาอธิบายแล้วละก็ ‘พลังก่อนกำเนิด’ คล้ายจะมีความสามารถบางอย่างที่ปลดขีดจำกัดของสมองได้?
เขาตกใจเป็นอย่างมาก ในหัวจัดการตำราวิชาต่อสู้ที่เคยอ่านมาทั้งหมด รวมถึง ‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่คิดขึ้นเอง และได้ผลลัพธ์กลับมามหาศาล แม้กระทั่ง ‘ชักดาบสะบั้น’ กับ ‘ตัดอสุนี’ ของหกดาบวายุเมฆาที่เป็นรูปเป็นร่างขั้นต้นแล้วก็ยังมีช่องว่างให้พัฒนาไปอีกขั้น
แต่เมื่อเขาเปลี่ยนไปขบคิดโจทย์ข้อยากๆ ของฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ที่เรียนตอนอยู่บนโลก ก็พบว่าไม่มีความรู้สึกแบบกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที กลับยังคงมึนงง แก้โจทย์ได้ลำบากนัก ยากอย่างไรก็ยากอย่างนั้น ไม่อาจสัมผัสถึงความรู้สึกว่าสติปัญญาถูกยกระดับขึ้นจนแก้โจทย์ยากๆ ได้ทันที
‘แบบนี้ ความรู้ที่ยกระดับขึ้นก็แค่ความสามารถในการเข้าใจทฤษฎีของศิลปะการต่อสู้เท่านั้น?’
หลี่มู่คล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เขาเข้าใจได้ว่าการรู้แจ้งในหัวประเภทนี้คือการยกระดับความเข้าใจวิถียุทธ์
หลังจากนั้นสักครู่ เขาเปิดประตูห้องฝึกยุทธ์ออกมา
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงและนายทะเบียนเฝิงหยวนซิงยืนตาปริบๆ อยู่หน้าประตู
“เอ๋? พวกเจ้ามายืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน?”
“ใต้เท้า การประลองของพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์เริ่มได้ระยะหนึ่งแล้ว”
“อะไรนะ? เร็วขนาดนั้นเลย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอีกหนึ่งชั่วยามถึงจะเริ่มไม่ใช่หรือ?”
“คุณชาย ยามนี้ห่างจากเวลาอาหารเช้ามาหนึ่งชั่วยามครึ่งแล้วขอรับ”
“เร็วขนาดนั้นเลย?”
“อะไรเร็วขอรับ?”
“หมิงเยวี่ยเล่า?”
“แอบหนีออกไปแล้ว…น่าจะไปสอดรู้สอดเห็นที่ลานนัดประลอง”
……
“สู้ๆ สู้ๆ เอามันให้ตาย!”
ท่ามกลางฝูงชนที่เอะอะรอบเวทีประลอง ถึงแม้เสียงเด็กผู้หญิงใสแจ๋วจะไม่ดังก้องอะไร แต่ก็ดึงความสนใจจากผู้คนได้มากมาย
คนตะโกนเป็นเด็กหญิงที่ดูแล้วอายุไม่ถึงสิบขวบ
เด็กน้อยสวมชุดบัณฑิตเด็ก ผมดำขลับถักเป็นเปียสองข้างอยู่ข้างหลัง ผิวขาวกระจ่างเนียนละเอียด ดวงตาดำวาววับราวกับนิล ดูไปแล้วทั้งสวยทั้งน่ารัก แต่สีหน้าท่าทางไม่ต่างจากผีพนันคลุ้มคลั่ง ทำให้คนยากจะเดาอายุของนางจากภายนอกได้
“สู้มัน ซัดมันให้ตายไปเลย”
“ฮ่าๆ สู้ได้ดี…”
แม่หนูน้อยคนนี้ตัวเล็กนัก ฝูงชนบังสายตานางจนมิด จึงไม่อาจเห็นการต่อสู้บนเวทีประลองได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงกระโดดโหยงเหยงท่ามกลางฝูงชน ทุกครั้งที่กระโดดขึ้นมาก็จะได้เห็นการประลองแวบๆ เหมือนกระต่ายที่ใช้ยากระตุ้นอย่างไรอย่างนั้น
การประลองยี่สิบรอบระหว่างพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ดำเนินมาถึงรอบที่หกแล้ว
ทั้งสองสำนักต่างชนะไปคนละครึ่ง
ตอนนี้ รอบที่กำลังสู้กันคือรอบที่เจ็ด
เนื่องจาก ‘ดาบอัสนีวายุ’ เฉาเสียงฝ่ายมังกรฟ้า สู้ตอบโต้ไปมากับ ‘หอกปลิดวิญญาณ’ เฮ่อปิง ผู้คุมกฎนอกสำนักของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ บางครั้งรับมือกันด้วยกระบวนท่าที่ดึงดูดสายตา ทำให้ชาวยุทธ์รอบลานประลองต่างโห่ร้องกู่ก้อง
แต่ทว่า ศึกประลองยาวถึงยี่สิบรอบ สิบรอบแรกเป็นแค่ของเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ผู้ที่ออกมาประลองไม่ใช่ยอดฝีมือคนสำคัญของทั้งสองฝ่าย คนเช่น ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตง ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนล้วนแต่เฝ้าสังเกตการณ์เท่านั้น ยังไม่ได้ลงสนาม
หลายคนรู้ดีว่าศึกอันดุเดือดที่แท้จริงอยู่ที่สิบรอบหลัง พูดให้ถูกต้องอีกสักหน่อยคือเกิดขึ้นตอนห้านัดสุดท้าย
“ฟันมันให้ตาย เอามันให้ตายไปเลย”
เด็กน้อยยังคงกระโดดหยองแหยงเหมือนกระต่าย แผดเสียงตะโกนอย่างสะใจในความทุกข์ของคนอื่น
ตอนนี้ ‘ดาบอัสนีวายุ’ ของพรรคมังกรฟ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ กดดันจนคู่ต่อสู้ไม่ทันได้หายใจหายคอ ลูกศิษย์พรรคมังกรฟ้าพากันลิงโลด ส่วนคนของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์นั้นอัดอั้นตันใจ เห็นเด็กหญิงตะโกนสุดตัวถึงเพียงนี้ยังคิดว่านางเป็นคนของพรรคมังกรฟ้าเสียอีก
แต่ทว่า เวลานี้ไม่มีใครไปคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้หญิงพรรค์นี้
ไม่นานนัก ‘ดาบอัสนีวายุ’ เฉาเสียงก็สำแดงกระบวนท่าไม้ตาย ฟัน ‘หอกปลิดวิญญาณ’ เฮ่อปิงนิ้วขาดไปสามนิ้ว
คนของพรรคมังกรฟ้ากระโดดโลดเต้นพลางร้องยินดี
ส่วนลูกศิษย์สำนักเขี้ยวพยัคฆ์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
รอไม่นานนัก นัดที่แปดก็เริ่มขึ้น
ครั้งนี้ ‘กระบี่หิมะโปรย’ กงรุ่ยที่เป็นตัวแทนของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ออกมาประลอง บดขยี้ ‘หัตถ์เพลิง’ เนี่ยชิงหลินตัวแทนของพรรคมังกรฟ้าเสียราบคาบ
“สู้ได้ดี เอามันให้ตาย”
เด็กหญิงแปลกประหลาดคนนั้นยังกระโดดโลดเต้นตะโกนก้อง
ครั้งนี้หลายคนเริ่มเอะใจ
ไม่ถูกสิ ตกลงนางเป็นคนฝั่งไหนกันแน่?
ไฉนยามพรรคมังกรฟ้าได้เปรียบ แม่หนูนี่ก็ตะโกน ‘สู้ได้ดี เอามันให้ตาย’ พอสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ได้เปรียบก็ยังตะโกนว่า ‘สู้ได้ดี เอามันให้ตาย’ เช่นกัน รู้สึกเหมือนเด็กกะโปโลนี่ไม่ใช่คนของทั้งพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ แต่มาเพื่อยุแยงตะแคงรั่วล้วนๆ
ดังนั้นเพียงชั่วพริบตา คนของทั้งสองฝั่งจึงเริ่มมองเด็กหญิงอย่างโกรธแค้น
“เด็กบ้าที่ไหน…” ลูกศิษย์พรรคมังกรฟ้าที่อัดอั้นเต็มอกอยู่นานเลิกแขนเสื้อขึ้น ทำท่าจะไปจัดการเด็กคนนี้
สหายข้างกายรีบดึงเขาไว้ทันที
“อย่าได้บุ่มบ่าม เจ้าลืมแล้วรึ พระ ดรุณีวัยแรกแย้ม เด็ก คนแก่… ผู้ที่ดูแล้วอ่อนแอมักจะเป็นคนโหดเหี้ยมในยุทธจักร แม่เด็กนี่เกรงว่าจะมีคนตั้งใจพาเข้ามา ไม่เช่นนั้นไม่มีทางลำพองได้ถึงเพียงนี้หรอก อย่าลงมือเลย ดูต่อไปก็พอ…” สหายกระซิบบอก
ศิษย์พรรคมังกรฟ้าผู้นั้นได้แต่วางมือไปอย่างอาฆาต
ตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงร้องกู่ก้องดังขึ้นมาจากฝูงชน
รอบที่แปดจบสิ้นลงแล้ว ‘กระบี่หิมะโปรย’ กงรุ่ยเป็นฝ่ายชนะ แต่เหตุที่ผู้คนกู่ก้องฮือฮา เป็นเพราะตัวแทนของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ที่ปรากฏกายขึ้นบนเวทีประลองคือ ‘แส้เทพงูทอง’ หลี่เจิ้ง
ไม่เหมือนกับพวก ‘ดาบอัสนีวายุ’ เฉาเสียงหรือ ‘หอกปลิดวิญญาณ’ เฮ่อปิง ‘แส้เทพงูทอง’ หลี่เจิ้งเป็นถึงยอดฝีมือลือชื่อในยุทธจักรทิศพายัพที่เดินผ่านกระดูกขาวคาวเลือดมาอย่างแท้จริง เขาคือผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสในขั้นรวมจิต ถือเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งในแผ่นดินใหญ่เสินโจวแล้ว
คิดไม่ถึงว่าบุคคลสำคัญอันดับสองกลับขึ้นเวทีในรอบที่เก้า
บรรยากาศของการนัดประลองพุ่งขึ้นสู่จุดเดือดในทันที
“ไม่ทราบว่าสหายพรรคมังกรฟ้าผู้ใดจะลงมาให้คำชี้แนะ?”
‘แส้เทพงูทอง’ หลี่เจิ้งสะบัดแส้อ่อนสีทองในมือ แส้หนามที่หนาประมาณข้อมือเด็กเหยียดตัวออกไปบนเวทีราวกับงูเหลือมทองตัวยาวขนาดสามจั้ง
ภายใต้แส้งูหนามทองเส้นนี้ ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือในยุทธจักรฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือสังเวยชีวิตให้มันไปเท่าไหร่
ฝั่งพรรคมังกรฟ้า สมาชิกระดับสูงที่อยู่บนเวทีสังเกตการณ์หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน
“ฮ่าๆ ข้าจัดการเอง ข้าอยากจะกำจัดเจ้างูตัวเล็กนี่เต็มแก่แล้ว…” เสียงหัวเราะลำพองใจดังมา ร่างเงาหนึ่งบินมาจากเวทีสังเกตการณ์ฝั่งพรรคมังกรฟ้าดุจสายอัสนี ก่อนร่อนลงบนเวทีประลอง
“ ‘กระบี่เขาหิมะ’ ชิวจื่อหาน น้อมส่งผู้อาวุโสหลี่ลงนรก”
กระบี่ยาวถูกชักออกจากฝัก ไอเย็นน่าครั่นคร้ามแผ่กระจาย น้ำค้างแข็งขาวโพลนชั้นหนึ่งแผ่เต็มเวทีประลอง
ผู้ที่จับกระบี่คือชายหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบ หน้าตาขาวสะอาด ท่าทางหยิ่งยโส
เจ้าของสมญานาม ‘กระบี่เขาหิมะ’ ผู้นี้เป็นหนึ่งในสี่กระบี่ไวที่มีชื่อเสียงในยุทธจักรทิศพายัพ
……………………………………………………
[1] เซิงมิ่งอีเฮ่า เป็นชื่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงกำลังยี่ห้อหนึ่งของประเทศจีน