จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 226 สังหารไปพร้อมกัน
เหลียงอี้เฟยอยู่ในเมืองฉินขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเกกมะเหรกไม่เอาถ่าน โดยเฉพาะเรื่องบ้าตัณหา เรื่องเที่ยวฉุดสาวชาวบ้าน ไม่รู้เคยทำไปเท่าไหร่ และก็เพราะเคยฉุดสาวชาวบ้าน บังเอิญถูกถังฉงที่เพิ่งรบชนะกลับมาจะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิพบเข้าพอดี ขุนพลถังไม่ให้เขาได้แก้ตัวก็จัดการหักขาทั้งสองข้างของเขาทิ้งแล้วจับโยนเข้าคุก หากไม่ใช่บิดาผู้เป็นราชครูคนนั้นพยายามวิ่งเต้นขอความช่วยเหลือจากฝ่ายสำคัญต่างๆ เกรงว่าตอนนี้คงถูกเนรเทศไปเฝ้าชายแดนกันดารแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเคียดแค้นถังฉงสุดขีด
“เด็กเล็กนี่ข้าไม่สนใจ ข้าอยากได้แค่ถังถังลูกสาวคนโตของถังฉง” หลานชายเสนาบดีกรมพิธีการหานเฝ่ยหรานกล่าว “หึๆ เลือดสดๆ ของหญิงงามวัยกำดัดจะต้องเลิศรสมากแน่”
เขาเป็นชายหนุ่มแต่งตัวเหมือนบัณฑิต หน้าตาขาวสะอาด ใช้คำว่าสุภาพเรียบร้อยมาบรรยายได้
แต่คนที่รู้จักเขาดีล้วนรู้ว่า หานเฝ่ยหรานคนนี้ที่จริงแล้วเป็นพวกวิปริต ชอบทรมานคนเป็นๆ ว่ากันว่าเคยมีจอมยุทธ์ในยุทธจักรคนหนึ่งตำหนิเขา หานเฝ่ยหรานก็จับลูกเล็กเด็กแดงผู้แก่ผู้เฒ่าทั้งบ้านเขามาแล่เป็นชิ้นๆ ถึงยี่สิบเอ็ดวันจึงจะทรมานจนตาย
หานเฝ่ยหรานเคยเกี้ยวพาลูกสาวคนโตของถังฉง แต่ถังฉงปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าศีลธรรมต่ำช้า เขาคิดว่าเป็นการหยามหมิ่นครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ดังนั้นครั้งนี้จึงมาเมืองฉางอันก็เพื่อครอบครองถังถัง ลบล้างความอับอาย
“ฮ่าๆ พี่หานเหี้ยมโหดไม่ทะนุถนอมดอกไม้งาม จะเป็นการสูญเปล่าไปหน่อยกระมัง” ผู้สืบทอดสำนักแสงศักดิ์สิทธิ์จินเซวียนพูดเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ได้ยินว่าถังถังนั่นงดงามโดดเด่น เป็นสาวงามอันดับหนึ่งในอันดับหนึ่ง หากพี่หานจะแค่เสพสุขกับการสังหารคน มิสู้ให้ข้าลิ้มรสความงดงามของนางก่อนแล้วค่อยมอบให้ท่านก็ยังไม่สาย”
หานเฝ่ยหรานแค่นเสียงเย็น “มีเพียงเลือดสาวบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะเลิศรส”
ไป๋หย่วนเคาะพัดจีบในมือ กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เจ้าสารเลวถังมีเมียหนึ่งลูกสาวสอง แบ่งกันง่าย ข้าขอแค่เมียของมัน ส่วนลูกสาวสองคนพวกเจ้าตามสบาย” เขาชอบสตรีมีประสบการณ์ เด็กสองคนไม่ประสีประสา เขาไม่สนใจ
จินเซวียนพูดอย่างกำกวม “เหอะๆ สี่คน ผู้หญิงสาม จะแบ่งยังไงให้ยุติธรรม”
เหลียงอี้เฟยยิ้มบางๆ แล้วเอ่ย “ตอนนี้พวกเราจะทะเลาะกันเองไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นก็ทำตามข้อเสนอของข้าตอนแรก รวมเงินกันประมูลสตรีทั้งสามคนนี้มาก่อน ถึงตอนนั้นทุกคนพลัดกันใช้ คนที่ออกเงินมากที่สุดได้ไปก่อน คนที่ออกเงินน้อยสุดรอทีหลัง สุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมอบให้พี่หานจัดการเป็นอย่างไร?”
หานเฝ่ยหรานแค่นเสียง สุดท้ายก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
ไป๋หย่วนพูดอย่างไม่พอใจ “สาวงามนุ่มนิ่มแบบนั้น รอบเดียวจะพอได้อย่างไร?”
จินเซวียนหัวเราะเสียงเย็น “หรือเจ้าจะเลี้ยงผู้หญิงของถังฉงเอาไว้จริงๆ? หากพวกบัณฑิตคุณธรรมสูงส่งในราชสำนักรู้เข้า เหอะๆ ใครจะรับผิดชอบไหว เล่นๆ แล้วฆ่าทิ้งระบายอารมณ์ก็พอแล้ว อย่าให้ผู้หญิงมาทำเรื่องของพวกเราเสีย”
ไป๋หย่วนคิดๆ ดูแล้วก็ได้แต่พยักหน้า
ทั้งสี่คนนับว่าตกลงกันได้ชั่วคราว
ตอนนี้ ราคาเสนอประมูลด้านนอกยังดำเนินต่อไป
ราคาเสนอประมูลถังมี่ของหอหมายเลขสิบขึ้นไปถึงสองแสนตำลึงทองแล้ว
“มารดามันเถอะ ในหอหมายเลขสิบเป็นใครกันแน่ กล้าเป็นศัตรูกับพวกเรารึ?” เหลียงอี้เฟยฉุนเฉียว “ข้าจะส่งคนไปสั่งสอนพวกมันสักหน่อย” ว่าแล้วก็สั่งองครักษ์ข้างกายคนหนึ่งไปเผยฐานะของตน
แต่ราคาเสนอก็ยังเพิ่มขึ้น
“สองแสนสองหมื่นตำลึงทอง” หานเฝ่ยหรานเอ่ย
……
ในหอหมายเลขหนึ่ง
“ละครฉากนี้ ตอนนี้ถึงเพิ่งจะสนุกขึ้นมานิดๆ”
องค์ชายสองนั่งเอนอยู่บนตั่ง ท่าทางเอื่อยเฉื่อยไร้กังวล หยีตาเล็กน้อย มุมปากยกยิ้ม ข้างๆ มีสาวใช้หน้าตาสวยสะหลายคนคอยนวดเท้านวดบ่า หอหมายเลขหนึ่งไม่เหมือนกับหอหมายเลขอื่นๆ ค่ายกลวิชาเวทล้ำลึกยิ่งกว่า ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านนอก เขาจึงรู้กระจ่างเป็นอย่างดี
หัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองหลิวเฉิงหลงยืนอยู่ใกล้ๆ กับประตูอย่างนอบน้อม
นอกจากนั้นยังมีชายชราผมเทาขาวอีกสองคน คนหนึ่งจมูกงุ้ม คนหนึ่งตาโปน หน้าขาวซีดดุจหิมะทั้งคู่ สีแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ไว้ผมทรงเดียวกัน สวมชุดคลุมยาวสีเทาเหมือนกัน ที่ปกเสื้อมีสัญลักษณ์กระบี่ยาวสีดำ พวกเขาประหนึ่งผีดิบสองตน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกที่คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ นั่งอยู่ตรงข้ามองค์ชายสองพลางหลุบตามองพื้น สายตาไม่วอกแวก
หลิวเฉิงหลงไม่กล้าเข้าใกล้สองคนนี้มากเกินไป เพราะรัศมีอำนาจกดดันบนร่างของทั้งสองน่ากลัวเหลือเกิน
น่าจะเป็นองครักษ์หรือทหารอารักขาขององค์ชายสองกระมัง
และบนโต๊ะในห้องที่จัดวางสุราอาหารไว้ คนประหลาดสวมหน้ากากจากเปลือกไม้ คลุมทั้งร่างอยู่ในชุดคลุมสีเขียว กำลังกินล้างกินผลาญโดยไม่สนใจสิ่งใด
คนประหลาดคนนี้รูปร่างผอมบาง สูงประมาณเด็กอายุสิบขวบ น่าเสียดายที่เห็นใบหน้าไม่ชัด นิ้วผอมแห้งทั้งสิบเหมือนตีนไก่ มือหนึ่งคว้าเนื้อย่าง มือหนึ่งคว้ากาเหล้า กินดื่มมูมมามเหมือนผีอดอยากมาเกิด ทำเอาชุดคลุมสีเขียวตัวใหญ่ชุ่มโชกไปด้วยคราบสุราและคราบน้ำมัน
หลิวเฉิงหลงเดาในใจ แต่กลับเดาไม่ออกว่าคนประหลาดคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ถึงได้ไม่หวาดกลัวองค์ชายสองและชายชราผีดิบในชุดคลุมยาวสีเทาสองคนข้างๆ เลย
ผู้ร่วมโต๊ะเดียวกับคนประหลาดยังมีอีกหนึ่งคน หน้าตาอัปลักษณ์ รูปร่างเตี้ย สีหน้ายากจะคาดเดาอารมณ์ กำลังคิดอะไรอยู่ เป็นลู่หลีจื่อนายตรวจของสำนักตรวจการเมืองฉินที่มาจากเมืองหลวงนั่นเอง
“องค์ชาย ข้อมูลของท่านแม่นยำแน่หรือ? หลี่มู่เข้าร่วมประมูลคืนนี้จริงๆ?” ลู่หลีจื่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
องค์ชายสองเชิญเขามาลับๆ เป็นการชั่วคราว
ตามหลักแล้ว ระหว่างสำนักตรวจการกับเชื้อพระวงศ์และขุนนางแห่งจักรวรรดิจะติดต่อกันมากไปไม่ได้ นี่ก็เพื่อรับประกันความเป็นกลางและความยุติธรรมของสำนักตรวจการ กฎนี้ในตอนที่ตั้งขึ้นทีแรกก็ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาก ทว่ามาจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่แค่การปฏิบัติหน้าที่ของขุนนางจักรวรรดิจะเหลาะแหละ ภายในของสำนักตรวจการก็แบ่งฝักแบ่งฝ่าย คนที่รักษากฎนี้ไว้จึงน้อยลงทุกทีแล้ว
และเหตุที่เขามาในครั้งนี้ จากภายนอกแล้วเป็นเพราะองค์ชายสองบอกว่าช่วยเขากำจัดหลี่มู่ทิ้งได้ แต่แท้ที่จริงแล้วลู่หลีจื่อหลงใหลในอำนาจ อยากจะคบค้ากับองค์ชายสองที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนี้
“อยู่ในหอหมายเลขสิบแปด” องค์ชายสองหรี่ตาพูด
“ที่แท้คนที่ประมูลสาวน้อยมากมายขนาดนั้นไปก่อนหน้านี้ก็คือเขา?” ลู่หลีจื่อรู้สึกเหลือเชื่อนัก “หรือเจ้าเด็กนี่จะเป็นพวกบ้ากาม?”
“บ้ากามนั้นอาจจะไม่ใช่ ฮวาเสี่ยงหรงอยู่ข้างกายเขาหลายวันนี้ยังเป็นหญิงพรหมจรรย์ ความใจอ่อนแบบสตรีคงพอจะมีอยู่บ้าง ท่าทางคงหลงคิดว่าตนเป็นผู้ช่วยโลก คิดจะช่วยสตรีพวกนั้นจากห้วงทุกข์กระมัง ฮ่าๆ คนอายุน้อย…” องค์ชายสองเอ่ยอย่างหยอกล้อ
ต้องยอมรับว่าคำวิจารณ์หลี่มู่ของเขาตรงประเด็นมาก
“เช่นนั้นองค์ชายคิดจะจัดการหลี่มู่อย่างไร?” ลู่หลีจื่อถามอีก
องค์ชายสองเอนตัวลงไปอีกครั้ง มือทั้งสองประสานอยู่ที่ท้ายทอย ตอบว่า “สังหารไปพร้อมกันเลย”
……
“ฮ่าๆ ช่างอวดดีเสียจริงๆ”
หลี่มู่ลืมตาขึ้น
จากค่ายกลวิชาเต๋าสอดแนมที่ซัดเข้าไปในหอหมายเลขหนึ่ง หลี่มู่ได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้นในนั้นแล้ว…เพราะสัมผัสได้ว่าในหอหมายเลขหนึ่งมีผู้แข็งแกร่งพลังน่ากลัวอยู่หลายคน ดังนั้นเขาจึงแค่ฟัง ไม่ได้กระตุ้นค่ายกลเต็มที่เพื่อ ‘ดู’ ด้วยกลัวว่าคลื่นวิชาเต๋าจะสร้างจุดสังเกตให้ผู้แข็งแกร่งพวกนี้
หลี่มู่ได้ยินคำพูดและความเคลื่อนไหวทั้งหมดในหอหมายเลขหนึ่งแล้ว
สำหรับเรื่องที่องค์ชายสองรู้แล้วว่าตนอยู่ในหอหมายเลขสิบแปด เรื่องนี้เขาไม่แปลกใจเลย ป้ายของเขาเจิ้งฉุนเจี้ยนเป็นคนไปจัดการหามาให้ และตอนนี้คนในเมืองฉางอันรู้ความสัมพันธ์ของเขากับเจิ้งฉุนเจี้ยน ด้วยกำลังขององค์ชายสอง จะสืบสาวราวเรื่องก็ไม่ได้ยากอะไร
นอกจากหอหมายเลขหนึ่งแล้ว ในหอหมายเลขเจ็ด หมายเลขสิบ และหมายเลขสิบห้า หลี่มู่ก็มองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา รู้กระจ่างเป็นอย่างดี
พวกเศษสวะไป๋หย่วน หลี่มู่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอดออกไป
เขาเข้าร่วมการประมูลในคืนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องประมูล
เขาไม่ได้อยากประมูลสาวงาม แต่อยากจะเห็นการช่วงชิงและแข่งขันของขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ในจักรวรรดิฉิน ขั้วอำนาจที่มาจากชนชั้นบนสุดพวกนี้จะต้องมีผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้นแน่ กระทั่งว่าขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์และขั้นเหนือมนุษย์อาจจะปรากฏกายด้วย หลี่มู่อยากดูว่าผู้แข็งแกร่งระดับนี้จะแกร่งกล้าถึงเพียงใด
พูดตรงๆ หน่อยก็คือ เขาถือว่าตัวเองเป็นเป็นผู้ชมกินเผือก อยู่เพื่อดูเรื่องสนุกนั่นเอง
แน่นอนว่าหากเจอยอดฝีมือที่แท้จริง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะลงสนามสู้ด้วยสักรอบ
นับตั้งแต่เข้าสู่ขั้นฟ้าประทาน จิตใจของหลี่มู่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กลายเป็นชอบต่อสู้ขึ้นเรื่อยๆ มีความรู้สึกชั่ววูบว่าอยากสยบวีรบุรุษใต้หล้า มองอะไรก็เล็กจ้อยไปหมด
แน่นอน หากเป็นผู้ช่วยโลกได้ แล้วทำไมจะไม่เป็นเล่า?
ที่พูดกันว่ามอบกุหลาบให้คนอื่นกลิ่นหอมติดมือ สำหรับราชาปีศาจหลี่มู่แล้วเป็นเรื่องไร้สาระ
สิ่งที่ราชาปีศาจหลี่มู่สนใจคือชื่อเสียงจอมปลอมซึ่งได้รับจากการที่คนซาบซึ้งเลื่อมใส
นิสัยเงียบขรึมแต่แท้จริงทะเยอทะยาน ความอวดเบ่งจะเก็บไว้ก็เก็บไม่อยู่
หากฝึกยุทธ์ไม่ใช่เพื่อเอาไว้วางท่า เช่นนั้นก็ไร้ซึ่งความหมาย
อีกทั้งหากจะวางท่า ก็ต้องวางท่าแบบพลังบวก
นี่เป็นค่านิยมที่ซินแสเฒ่ายัดเยียดให้หลี่มู่เมื่ออยู่บนดาวโลก
ยามที่เพิ่งมาถึงดาวดวงนี้ หลี่มู่พลังอ่อนแอ ต้องเก็บตัวคอยระแวดระวัง แต่ตอนนี้พลังของเขาเพิ่มขึ้น กำเริบเสิบสานไปได้ทั่ว ย่อมไม่จำเป็นต้อง ‘ถ่อมตัว’ แบบนั้นอีกแล้ว
……
“ฮือๆๆ ลูกสาวข้า…” หญิงงามดวงตาบวมเป่งแดงก่ำ ดิ้นรนร่ำไห้อยู่ในรถเหล็กบุปผชาติ
มือเท้าของนางถูกลงตรวน ปากถูกมัดไว้ด้วยผ้าแพรขาว กันไม่ให้นางกัดลิ้นฆ่าตัวตายหรือส่งเสียงดัง ถังมี่ถูกเข็นขึ้นไปประมูลบนเวที ตกลงไปในหุบเหวแล้ว ส่วนนางที่เป็นมารดากลับทำอะไรไม่ได้ ความสิ้นหวังและความคับแค้นเสียใจในอกมากมายราวมหาสมุทร
ชะตาชีวิตช่างไม่ยุติธรรม
ส่วนลูกสาวคนโตถังถังอยู่ในรถเหล็กบุปผชาติอีกคันหนึ่งข้างๆ ถูกพันธนาการมือเท้า ไม่อาจขยับได้เช่นกัน รอเมื่อถังมี่ถูกประมูลออกไปเมื่อใด คนต่อไปก็เป็นนางแล้ว
……
สุดท้าย หอหมายเลขสิบประมูลเด็กหญิงตัวน้อยสี่ขวบครึ่งถังมี่ไปด้วยราคาสามแสนห้าหมื่นตำลึงทอง
ในหอหมายเลขสิบห้า ชายหนุ่มทั้งสี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ความโกรธแค้นนี้พุ่งถึงขีดสุดนับแต่องครักษ์คนสนิทที่ไป๋หย่วนสั่งให้ออกไปกลับมา…องครักษ์คนนั้นถูกหักแขนทิ้งและทำลายพลังฝึก แทบจะกลายเป็นคนไร้ค่า เขานำคำพูดขอคนหอหมายเลขสิบกลับมาบอก…
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร ไม่อยากตายละก็ ไสหัวออกไปจากเมืองฉางอันเสีย”
ความแข็งแกร่งของหอหมายเลขสิบเหนือกว่าการคาดเดาของไป๋หย่วน หานเฝ่ยหราน และเหลียงอี้เฟย
องครักษ์ที่ถูกทำลายวรยุทธ์โดนตัดหางปล่อยวัดไปตามยถากรรม
“มารดามันสิ ตกลงมันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ ไม่นึกว่าจะกล้าเป็นศัตรูกับพวกเรา?” ไป๋หย่วนกังวลสงสัย
หานเฝ่ยหรานเลียมุมปากพลางเอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นใคร จุดจบที่เป็นปฏิปักษ์กับข้า…มีเพียงตายอย่างเดียวเท่านั้น” เขามีทั้งพลังและอำนาจ จะถอยเพราะคำขู่ประโยคเดียวของอีกฝ่ายได้อย่างไร
เหลียงอี้เฟยก็แค่นหัวเราะกล่าวว่า “เกรงว่าพวกของถังฉงที่เหลือจะไม่กล้าใช้กำลังช่วยคน ทำได้แค่ใช้วิธีนี้ เหอะๆ ก็แค่เด็กอายุสี่ขวบเท่านั้น ไม่มีรสชาติอะไร ต่อไปคือลูกสาวคนโตถังมี่กับเมียคนนั้นของถังฉง ฮี่ๆ เป็นสาวงามหยาดเยิ้มกันทั้งคู่ จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด…”
“ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้แหละ” จินเซวียนพูดด้วยสีหน้าอำมหิต
ระหว่างพูด ถังถังลูกสาวคนโตของขุนพลเจิ้นกั๋วถูกเข็นขึ้นมาบนเวทีประมูลด้านนอก นางสวมชุดผ้าโปร่งบาง เท้าเปลือยเปล่า ผมดำยาวสยาย พยายามดิ้นรนแต่ก็หนีไม่พ้น ทั้งตัวถูกตรึงอยู่บนโครงเหล็กรูปทรงกากบาท
ได้ยินผู้ดำเนินการประมูลแนะนำฐานะของสาวงามคนนี้จบ ทั่วทั้งที่นั้นก็โกลาหล
ทั้งที่เป็นลูกสาวของขุนพลเจิ้นกั๋วเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าแรงดึงดูดของสาวงามวัยแรกแย้มมีมากกว่าเด็กน้อยอายุสี่ขวบครึ่งก่อนหน้านี้มากนัก
ทั้งสนามประมูลบ้าคลั่งกันหมดแล้ว
…………………………