จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 229 เทพีแห่งสงคราม
เจ็ดแสน?
การเสนอราคาเพิ่มจากคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินทำเอาชายหนุ่มทั้งสี่ในหอหมายเลขสิบห้าโกรธแค้นสุดฤทธิ์
“ไปสืบมาให้ข้า ไอ้เศษสวะนี่มันเป็นใคร? ข้าจะทำให้มันต้องเสียใจที่ลงมาเกิดบนโลก” เหลียงอี้เฟยยากจะระงับเพลิงโทสะ เขวี้ยงจอกชาสามสี่ใบลงพื้น
ในดวงตาของหานเฝ่ยหรานสะท้อนแววเหี้ยมเกรียม
ไป๋หย่วนในตอนนี้กลับไม่พูดอะไรแล้ว
ในบรรดาคนทั้งสี่ ฐานะและตำแหน่งของเขาพูดได้ว่าต่ำที่สุด กองกำลังขนกระเรียนเป็นหนึ่งในทหารรักษาวังของเชื้อพระวงศ์เมืองฉิน ลำดับขั้นขุนนางของนายพลไม่ถือเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่ง ต่ำกว่าถังฉงขุนพลเจิ้นกั๋วที่ถูกใส่ร้ายจนตายเสียอีก ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นกำลังทรัพย์หรือตำแหน่งล้วนเป็นรองเหลียงอี้เฟยบุตรชายราชครูคนปัจจุบันและหานเฝ่ยหรานหลานชายของเสนาบดีกรมพิธีการ ส่วนจินเซวียนเป็นคนในโลกของสำนัก พลังน่าหวาดกลัวมาก สำนักแสงศักดิ์สิทธิ์ก็นับว่าเป็นสำนักใหญ่ ตระหง่านอยู่ในจักรวรรดิต้าฉินตะวันตกมาหลายร้อยปี มีมรดกอำนาจล้ำลึกยิ่ง
ราคาการประมูลมาถึงจุดนี้ ไป๋หย่วนก็ตัดสินใจไม่ค่อยได้แล้ว
“เจ็ดแสนสองหมื่นตำลึงทอง” เหลียงอี้เฟยตะโกนเพิ่มราคา
แต่ทว่าราคาเพิ่งจะเสนอขึ้นไป ก็ได้ยินคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเอ่ยอย่างไม่คิดเลยแม้แต่น้อยว่า “แปดแสนตำลึงทอง” เพิ่มขึ้นไปอีกแปดหมื่นตำลึงทองทันที
เหลียงอี้เฟยนิ่งอึ้ง
ไป๋หย่วน จินเซวียน และหานเฝ่ยหรานต่างตกใจระคนแค้น
รัศมีอำนาจของอีกฝ่ายน่าสะพรึงกลัวนัก การเพิ่มเงินแบบนี้ราวกับว่าเงินที่จ่ายออกไปไม่ใช่ของตัวเอง หรือไม่ได้กำลังทุ่มเงิน แต่กำลังสาดน้ำเสียมากกว่า
นี่เป็นการโจมตีทำลายอย่างเด็ดขาด เป็นการท้าทายที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามอย่างหนึ่ง
สำหรับพวกเขา เงินแปดแสนตำลึงทองก็ยังพอจะทุ่มได้ แต่ปัญหาคือดูจากท่าทางของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินแล้ว ต่อให้พวกเขาเพิ่มราคาก็ยังคงถูกตี ถูกบดขยี้ย่อยยับเหมือนเดิม หากทะลุถึงหนึ่งล้านตำลึงทอง เช่นนั้นพวกเขาก็จนปัญญาแล้ว
“ทำอย่างไรดี?” ทั้งสี่คนมองหน้ากัน
พวกเขาล้วนกำเริบเสิบสานอยู่ในเมืองฉิน แต่ที่นี่คือเมืองฉางอัน คิดจะใช้ฐานะและอำนาจมาแก้ไขปัญหาก็ไม่ทันกาลแล้ว
และในยามที่พวกเขากำลังลังเล บนเวทีหลัก ผู้ดำเนินการประมูลเคาะค้อนสามครั้งกันติดๆ จบการประมูลที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนครั้งนี้ลง
สุดท้ายก็ปล่อยให้คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินประมูลบุตรสาวคนโตของขุนพลเจิ้นกั๋วไปได้ในราคาสูงลิ่วแปดแสนตำลึงทอง
สำหรับผู้ชมที่อยู่บนถนนกลิ่นกำจาย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เทียบได้กระทั่งศึกต่อสู้ครั้งใหญ่ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง ทำเอาพวกเขาตาลาย ผู้หญิงคนหนึ่งไม่ว่าฐานะจะสูงส่งเพียงใด หากประมูลได้ถึงแปดแสนตำลึงทองก็นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว ราคานี้พอๆ กับกำไรหลายปีของสมาพันธ์การค้าขนาดใหญ่ในเมืองฉางอันด้วยซ้ำ
และสิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็ยังคงเป็นคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน
ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานที่ลึกลับคนนี้ทีแรกก็อ่อนโยน ทะนุถนอมสตรี สู้กับผู้แข็งแกร่งระดับหนึ่งสุดยอดขั้นปรมาจารย์ทั้งหลายของหน่วยเลี้ยงรับรองเพื่อปกป้องถังถัง จากนั้นก็กลายมาเป็นเจ้าของหอผู้มีเกียรติชั้นยอดหมายเลขสิบแปด ประมูลถังถังไปด้วยสถิติใหม่ราคาแปดแสนตำลึงทอง คิดโยงกับก่อนหน้านี้ก็เป็นหอหมายเลขสิบแปดที่ประมูลสตรีตกทุกข์ประวัติดีสิบกว่าคนไปเช่นกัน…คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้เป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจไร้เทียมทานจริงๆ หรือ?
หลายคนสนใจใคร่รู้ตัวตนของเขานัก
ลี่มู่ไม่อยู่บนเวทีหลักอีกต่อไป
เขายื่นมือแตะทำลายโซ่เหล็กที่พันธนาการถังถังลง ก่อนอุ้มนางเดินลงไปจากเวที
ถังถังตั้งสติกลับมาได้ ดิ้นรนเล็กน้อย
หลี่มู่จึงบอกกับนาง “วางใจได้ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”
ถังถังหยุดดิ้น
มองหน้ากากสีเงินที่ละม้ายคล้ายจะยิ้ม แต่ก็คล้ายกับจะร้องไห้ รอยยิ้มผียังแฝงนัยเสียดสีเยาะหยัน ทั้งๆ ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดและน่ากลัว แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ถังถังกลับรู้สึกถึงความปลอดภัยรางๆ ยามอยู่ในอ้อมกอดของคนคนนี้ เสียงต่างๆ ข้างหูก็เหมือนหายไปหมด มีเพียงความอบอุ่นบางเบาจากอ้อมแขนทั้งสอง ทำให้นางสบายใจได้
หลี่มู่อุ้มถังถังเอาไว้ แขนสัมผัสความอบอุ่นจากกายของหญิงสาวและกลิ่นหอมจางๆ ได้อย่างชัดเจน
แต่ในใจของเขาไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นหญิงสาวที่น่าสงสารคนหนึ่ง ชะตาชีวิตไม่ยุติธรรมกับนาง
หลี่มู่อุ้มนางมาถึงหน้าหอหมายเลขสิบ สั่งให้สาวใช้รายงาน จากนั้นก็ส่งถังถังเข้าไป
“ท่านอาหวาง…มี่เอ๋อร์น้อย ท่านนี้คือ…พี่ฉิน? เป็นพวกท่านหรือ?” ถังถังเข้าไปในห้องด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ พอได้เห็นหวางเฉินและถังมี่ จากนั้นก็จำได้ว่าคนที่ปลอมตัวเป็นชายรูปร่างผอมบางเบื้องหน้าคือองค์หญิงฉินเจิน นางก็โล่งใจทันที “ท่านพี่ อุ้มๆ…” ถังมี่น้อยที่อายุเพียงสี่ขวบครึ่งไม่เข้าใจเลยว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้น ครั้นเห็นพี่สาวเข้ามาก็อ้าแขนพุ่งมาหาอย่างดีใจ ในมือยังถือน่องไก่เอาไว้ “ท่านพี่กิน มี่เอ๋อร์กินแล้ว มี่เอ๋อร์ไม่หิวแล้ว”
“มี่เอ๋อร์…” ความเศร้าเสียใจเอ่อล้นออกมา ถังถังกอดน้องสาวที่ใสซื่อไร้เดียงสาเอาไว้ ในที่สุดน้องสาวก็ได้รับการช่วยเหลือ รอดจากคราวเคราะห์แล้ว น้ำตานางจึงไหลรินอย่างกลั้นไม่อยู่ นี่เป็นน้ำตาของความตื่นเต้นและยินดี
หวางเฉินและฉินเจินเห็นถังถังถูกส่งตัวมาจริงก็ต่างโล่งใจ
“พี่ฉิน คนสวมหน้ากากสีเงินคนนั้นเป็นสหายของท่านหรือ?” ถังถังอุ้มน้องสาวเอาไว้พลางถามอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณพี่ฉินที่ช่วยเหลือ มิฉะนั้น…” หากตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรูของท่านพ่อ นางไม่กล้าคิดเลยว่าจะมีเรื่องน่ากลัวอะไรเกิดขึ้น
ฉินเจินยิ้มขื่น “น้องถัง คนคนนั้น…ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดให้ฟัง แล้วพูดต่อไป “คืนนี้หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์หน้ากากผียิ้มสีเงินแล้วละก็ เกรงว่าคงช่วยพวกเจ้าออกมาไม่ได้ราบรื่นเช่นนี้หรอก”
ถังถังฟังแล้วก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
นางพลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมถามชื่อแซ่และที่มาที่ไปของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเสียได้ หากวันหลังอยากจะตอบแทนบุญคุณก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใคร
……
ในหอหมายเลขสิบแปด
หลี่มู่ถอดหน้ากากออก หยิบสัญญายืมเงินในกล่องหยกมาดูแล้วยิ้มออกมา
“หึๆ ฝ่าบาทเบื้องหลังหวางเฉินคนนี้รู้ความนี่นา ไม่เสียแรงที่ข้าลงมือช่วย” จำนวนที่เขียนอยู่ในสัญญาคือหนึ่งล้านเจ็ดแสนตำลึงทอง แน่นอนว่าหลี่มู่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ถึงแม้สัญญายืมกับมูลค่ามหาศาลที่ประมูลถังถังมาจะขาดไปอีกหนึ่งแสนตำลึงทอง แต่ก็รับรู้เจตนาของอีกฝ่ายแล้ว
มุมมองของหลี่มู่ต่อองค์หญิงผู้นี้ยกระดับสูงขึ้นอีกครั้ง
ขุนพลเจิ้นกั๋วในวันนี้คือกบฏ ญาติสนิทมิตรสหายในวันวานต่างขีดเส้นแบ่งชัดเจน แต่องค์หญิงผู้นี้กลับไม่สนใจสายตาของผู้ใดและลงมือช่วยเหลือ นี่คือความมีคุณธรรมน้ำใจ สัญญายืมที่เขียนเกินมาเจ็ดแสนตำลึง นี่คือบุญคุณความแค้นแบ่งแยกชัดเจน เชื้อพระวงศ์ที่มีคุณธรรมน้ำใจและแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจนนั้นหายากยิ่ง
ไม่เสียทีที่คืนนี้เขาแอบช่วยนางลับๆ
“คุณชายมู่ พวกเรายังจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่?” ซินเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย
หลี่มู่พยักหน้า “ละครสนุกที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น”
เจิ้งฉุนเจี้ยนที่อยู่ข้างๆ เดาความคิดของหลี่มู่ไม่ออกนัก
ในเมื่อจะช่วยพวกหวางเฉิน เช่นนั้นไยจึงปฏิเสธคำร้องขอของหวางเฉินในตอนแรกเล่า?
……
ด้านนอก บนเวทีหลัก งานประมูลดำเนินต่อไปอีกครั้ง
แต่ว่าสตรีที่เข็นขึ้นมาไม่ใช่ถังฮูหยิน แต่เป็นทาสสาวองครักษ์เทพหมาป่าแห่งทุ่งหญ้า
ตามคำพูดของผู้ดำเนินการประมูล ถังฮูหยินและหัวหน้าองครักษ์เทพหมาป่าจะเป็นจานเด็ดสุดท้าย รอหลังจากประมูลทาสสาวพวกนี้เสร็จถึงจะออกประมูล
จังหวะเปลี่ยนไป
หอหมายเลขเจ็ดเริ่มเสนอราคาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เมื่อทาสสาวจากที่ราบทุ่งหญ้าทุกคนถูกเข็นขึ้นมา หอหมายเลขเจ็ดจะเสนอราคาอย่างบ้าคลั่ง กดคู่ต่อสู้คนอื่น แย่งชิงสตรีที่ราบทุ่งหญ้าผมทองนัยน์ตาเขียวมรกตเหล่านี้ไปโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนแม้แต่น้อย
กำลังทรัพย์ของหอหมายเลขเจ็ดช่างชวนให้คนครั่นคร้ามนัก
ก่อนหน้านี้คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินประมูลลูกสาวคนโตของขุนพลเจิ้นกั๋วไปด้วยสถิติสูงลิ่วแปดแสนตำลึงทอง ก็ทำให้คนมากมายตะลึงอ้าปากค้างแล้ว และตอนนี้การประมูลทาสสาวติดๆ กันเกือบสี่สิบคนมา แขกผู้มีเกียรติชั้นยอดหอหมายเลขเจ็ดสาดเงินออกไปเหมือนสาดน้ำเกือบล้านแล้ว ช่างน่ากลัวจริงๆ
“คนมีเงินรอบนี้เป็นบ้ากันหมดหรือไร?”
“มารดามันสิ นี่มันการละเล่นของพวกมีอำนาจชัดๆ พวกเราไม่มีปัญญาเล่นหรอก”
“นี่สิถึงจะเป็นผู้มีอำนาจชั้นยอดของจริง พวกเรา…ยังห่างชั้นอีกเยอะ”
คนที่ดูเรื่องสนุกจากตำแหน่งต่างๆ บนถนนกลิ่นกำจายและเหล่าคหบดีตรงที่นั่งแขกผู้มีเกียรติทั่วไปต่างทอดถอนใจ งานประมูลคืนนี้ช่างบ้าบิ่นนัก อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ประหลาดมากอย่างหนึ่งเผยออกมารางๆ เหมือนจะมีการเคลื่อนไหวสวนกระแสอย่างลับๆ
“ทุกท่าน ของล้ำค่าชิ้นสุดท้ายในคืนนี้ ก่อนอื่นข้าขอแนะนำทุกท่านรู้จัก ธิดาเทพต่างเผ่าจากที่ราบทุ่งหญ้า…” เสียงของผู้ดำเนินการประมูลเปลี่ยนไปเล็กน้อยเนื่องจากตื่นเต้น เพราะในที่สุดก็มาถึงรอบสุดท้าย และเป็นรอบที่บ้าคลั่งมากที่สุด ของชั้นยอดในการประมูลคืนนี้จะขึ้นเวทีแล้ว
เทพสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าชิงเยียนถูกตรึงข้อมือและข้อเท้าไว้บนโครงเหล็ก ถูกเข็นขึ้นมาภายใต้การอารักขาจากผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์สี่คน
เทพีแห่งสงครามผู้งดงามคนนี้สีหน้าท่าทางองอาจ ร่างสวมไว้เพียงเสื้อแบบง่ายๆ ที่พอจะปกปิดร่างกายเอาไว้ได้เท่านั้น ผิวขาวราวหิมะส่วนใหญ่เผยออกมาข้างนอก โซ่ตรวนจำกัดพลังสีเงินบนข้อมือและข้อเท้าของนางสร้างขึ้นมาเพื่อสกัดพลังฝึกและพละกำลังของนางโดยเฉพาะ ทำให้นางอ่อนแอเหมือนคนทั่วไปที่อดอาหารมาสามวันห้าวัน
แต่ทว่านางเชิดหน้าสูง กวาดมองฝูงชนข้างล่างเวทีด้วยสายตาแฝงความโกรธแค้นและดูถูก นางไม่รู้สึกหวาดกลัวหรืออับอายเพราะร่างกายบางส่วนของนางเผยออกมาแม้แต่น้อย กลับเหมือนเทพธิดาผู้สูงส่งก้มลงมองแมลงน่ารังเกียจในโคลนตม
นี่คือเทพีแห่งสงครามผู้หยิ่งทะนง
คนมากมายเลือกที่จะเมินเฉยต่อเสียงแหกปากแนะนำจากผู้ดำเนินการประมูล
เพราะเทพธิดาแห่งสงครามองค์นี้ช่างงดงามเหลือเกิน
นั่นเป็นความงามที่สามารถทิ่มแทงคนได้ เป็นความงามที่ทำให้รู้สึกแสบร้อน รู้สึกถึงความแหลมคม รู้สึกตื่นเต้น ประหนึ่งกริชเล่มงาม ไม่ก็ดอกไม้พิษร้ายรุนแรงที่มีเกสรหนาม…ทุกคนล้วนตื่นตะลึงเพราะความงามของเทพแห่งสงคราม ลำพังแค่ท่าทางก้มลงมองอย่างสูงส่งทั้งๆ ที่ยังถูกคุมตัวเช่นนั้น คืนนี้ก็มีแค่ฮวาเสี่ยงหรงที่ร่ายรำเลิศล้ำเท่านั้นถึงจะเทียบได้
ทุกคนล้วนตกตะลึงกับความงดงามเช่นนี้
แม้แต่ซ่างกวนอวี่ถิงก็ยังต้องตะลึงกับรูปโฉมของสตรีต่างเผ่าที่มาจากทุ่งหญ้า
หญิงสาวที่งามหยาดเยิ้มเช่นนี้ไม่ควรจะตกอยู่ในที่แบบนี้ ควรจะอยู่ในวิหารเทพสูงส่ง ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาและการหมอบกราบจากผู้คนมากกว่า
………………