จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 230 ตราประทับ • ขึ้นเวทีอย่างเป็นทางการ
หญิงรับใช้วัยกลางคนสี่คนบังคับโครงเหล็ก ทำให้เทพธิดาแห่งสงครามแสดงท่าทางอย่างไม่อาจขัดขืน
นี่เป็นกลวิธีที่หน่วยเลี้ยงรับรองใช้เป็นประจำ
อีกทั้งการประมูลยังเริ่มทันทีที่ราคาหนึ่งล้านตำลึงทอง การเพิ่มราคาทุกครั้งก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนตำลึงทอง
ราคานี้ทำเอาคนตาลายไปหมด
หอหมายเลขเจ็ดที่ก่อนหน้านี้เหมาทาสสาวจากทุ่งหญ้าทั้งหมดไปทำลายความเงียบงันรอบๆ เสนอราคาหนึ่งล้านโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แต่ทว่า นี่เป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น
เพราะแขกผู้มีเกียรติคนอื่นรวมถึงบางหอที่ไม่ได้เสนอราคาตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ก็เข้าร่วมการแข่งประมูลแล้ว ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ราคาของเทพีแห่งสงครามก็พุ่งขึ้นไปถึงสองล้าน
สองล้านตำลึงทีเดียวเชียว
ตัวเลขแบบนี้ทำเอาคหบดีบนที่นั่งแขกทั่วไปสูดลมหายใจเย็น
พวกเขาพลันรู้สึกว่าหากเทียบกับคหบดีชั้นยอดที่แท้จริง ตัวเองก็เป็นแค่คนจนโดยแท้
แต่ว่าน่าแปลกนิดหน่อย
หอหมายเลขสิบไม่เข้าร่วมประมูลด้วย
หอหมายเลขสิบแปดก็ไม่เอ่ยปากอีกเช่นกัน
สำหรับคนทั้งหลาย คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินในหอหมายเลขสิบแปดทะนุถนอมสาวงามมาโดยตลอด ประมูลสาวงามประวัติดีไปไม่น้อย ทว่าครั้งนี้เขากลับไม่มีท่าทางว่าจะเสนอราคาอีก ส่วนคนหัวไวบางคนเมื่อสังเกตอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าไม่ใช่แค่เทพธิดาแห่งสงคราม ทาสสาวที่ราบทุ่งหญ้าทุกคนก่อนหน้านี้ คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินก็ไม่มีท่าทางว่าจะสอดมือเข้ายุ่งเช่นกัน
หรือคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินจะไม่สนใจสตรีต่างเผ่า?
เหตุผลในนี้ส่วนมากแล้วซ่างกวนอวี่ถิงและซินเอ๋อร์ไม่ค่อยเข้าใจ ส่วนเจิ้งฉุนเจี้ยนพอจะรู้บ้าง เพราะทาสสาวที่ราบทุ่งหญ้าย่อมมีคนมาช่วยอยู่แล้ว
ความคิดของหลี่มู่ก็เป็นอย่างนี้จริงๆ
หญิงงามถึงจะดี แต่ซื้อมากไปก็เป็นปัญหา
ก่อนหน้านี้เขาประมูลพวกสวีหว่านเอ๋อร์ ลู่เซิ่งหนาน และสาวงามคนอื่นๆ สิบเจ็ดคนก็เพื่อให้ใจอันบริสุทธิ์ของซ่างกวนอี่ถิงไม่เศร้าหมอง เพื่อปกป้องจิตวิญญาณกายเต๋าฟ้าประทานให้สมบูรณ์
สำหรับที่ไปของหญิงสาวทั้งสิบเจ็ด หลี่มู่ก็พอจะมีแผนรับมือเอาไว้แล้ว
ซ่างกวนอวี่ถิงจะต้องตามหลี่มู่ไปเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์แน่ แต่ในอำเภอผู้ชายเยอะผู้หญิงน้อย เกรงว่านางจะไม่คุ้นชิน เหตุที่พาหญิงสาวทั้งสิบเจ็ดไปที่ว่าการอำเภอด้วย หนึ่งคือเป็นเพื่อนซ่างกวนอวี่ถิง สองคือเป็นเพื่อนฝึกฝนกับนาง หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์สำรวจแล้ว สวีหว่านเอ๋อร์กับลู่เซิ่งหนานล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ฝ่ายหลังถึงแม้จะถูกทำลายตันเถียน แต่หลี่มู่มีวิชาปาฏิหาริย์ จะช่วยนางฟื้นฟูกลับมาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หญิงงามเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือออกมาหลังจากตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง ในใจจึงมีความซาบซึ้ง ควบคุมได้ค่อนข้างง่าย
ถึงแม้องครักษ์หญิงเทพหมาป่าแห่งทุ่งหญ้าเหล่านั้นพลังจะไม่เลว แต่พยศกำราบยาก หลี่มู่ไม่มีใจคิดจะไปปราบม้าพยศพวกนี้
เมื่อคิดถึงคำร่วมสาบานกับพี่กัวอวี่ชิง หลี่มู่เห็นใจหญิงสาวที่ราบทุ่งหญ้าเหล่านี้อยู่บ้าง
แต่ในเมื่อมีกลุ่มอำนาจที่ราบทุ่งหญ้าแฝงตัวเข้ามาในฉางอันเพื่อช่วยพวกนาง เช่นนั้นสิ่งที่หลี่มู่ต้องทำก็แค่ตามน้ำไปเท่านั้น
อีกทั้งมีนายน้อยแห่งสมาพันธ์การค้าใต้หล้าสนับสนุนคนที่ราบทุ่งหญ้าเบื้องหลัง พวกเขาคิดไถ่ตัวเทพธิดาแห่งสงครามผู้นี้กลับไปก็ไม่น่าจะยากอะไร อีกทั้งจำนวนเงินสองล้านตำลึงทองก็เกินขอบเขตกำลังทรัพย์ของหลี่มู่แล้ว
หลายวันมานี้หลี่มู่รับของกำนัลล้ำค่าจากกลุ่มอำนาจฝั่งต่างๆ และคหบดีทั้งหลายในเมืองฉางอันที่ส่งมาอย่างไร้ยางอาย ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีแม้แต่น้อย รวมกับหนึ่งล้านห้าแสนตำลึงที่โจวเต๋อเต้าแห่งสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลมอบให้ ทรัพย์สินรวมแล้วก็มีประมาณสามล้านตำลึงทอง พูดได้ว่ารวยในชั่วข้ามคืนทีเดียว
เงินจำนวนนี้ดูเหมือนมาก แต่ที่จริงแล้วเมื่อใช้ในด้านฝึกฝนก็ไม่ได้เยอะอะไร ซื้อพวกหยกชั้นดีนิดหน่อยไม่นานก็หมดแล้ว
ฝึกฝนวรยุทธ์ก็ต้องมีทรัพย์ คนชี้แนะ วิชา และสถานที่
ทรัพย์หมายถึงเงินทอง ไม่ว่าจะอยู่บนดาวโลกหรือโลกใบนี้ ล้วนแต่มีคำที่ว่ากันว่า ‘คนจนเรียนหนังสือ คนรวยฝึกวิชา’ คนจนไม่มีทางฝึกยุทธ์ได้เพราะสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก ตอนนั้นหลี่มู่คนนั้นตบมือสามครั้งตัดความสัมพันธ์กับบิดา ก็ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่น้อย สุดท้ายทำได้แค่ใช้ความรู้สร้างชื่อเสียง ส่วนผู้ชี้แนะหมายถึงผู้ร่วมฝึกฝน ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์และสำนัก วิชาก็หมายถึงวิชาฝึกฝน ส่วนสถานที่นั้นคือสภาพแวดล้อมการฝึก สภาพแวดล้อมดีงามก็จะเพิ่มประสิทธิภาพของการฝึกฝนได้ดีกว่าที่แร้นแค้นกันดาร
เพราะหลี่มู่มีเคล็ดวิชาเซียน ดังนั้นจึงโชคดีกว่าคนทั่วไปมาก แทบจะไม่เปลืองแรงอะไรก็โด่งดังได้ในพริบตา
แต่จากพลังที่เพิ่มขึ้น พลังฝึกยกระดับ หลี่มู่ค่อยๆ รู้สึกว่าประโยชน์ของทรัพยากรที่มีต่อการฝึกฝนก็เหมือนกับเด็กนักเรียนชั้นประถมต้องการสมุดการบ้านและดินสอ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย ลำพังแค่ฝึกฝนวิชาเต๋า สังเวยของวิเศษหรืออาวุธเต๋าก็ต้องใช้หยกจำนวนมหาศาล
หลี่มู่ต้องเริ่มหาเงินแล้ว
คืนนี้เขาให้องค์หญิงเบื้องหลังหวางเฉินยืมเงินหนึ่งล้านตำลึงอย่างใจป้ำ ทั้งยังซื้อถังถังมาด้วยเงินมูลค่ามหาศาลแล้วส่งตัวให้กับหอหมายเลขสิบ ไม่ใช่เพราะหลี่มู่มีเงินเยอะแยะมากมาย แต่เพราะในใจของเขามีเส้นทางหาเงินใหม่แล้ว
เขาจะปล้นคนรวยช่วยคนจน
ราคาของเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าสูงขึ้นโดยตลอด สุดท้ายสูงถึงสามล้านตำลึงทองก็ยังคงพุ่งขึ้นไปอีก
หลี่มู่ขมวดคิ้ว จู่ๆ พลันนึกอะไรอีกเรื่องขึ้นมาได้
ในเมื่อเป็นของประมูลจานเด็ดเหมือนกัน หากราคาของเทพธิดาสงครามพุ่งถึงสามล้านตำลึงทอง ถังฮูหยินที่เป็นของประมูลชิ้นสุดท้ายจะมิยิ่งสูงขึ้นไปอีกหรือ?
หากเป็นอย่างนั้นแล้วละก็…
อืม ด้วยกำลังทรัพย์ในมือของพวกหวางเฉินในหอหมายเลขสิบ คิดจะประมูลช่วยถังฮูหยินออกไปเกรงว่าคงจะไม่ง่าย
สถานการณ์อาจตึงเครียดกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
อีกทั้งหลี่มู่ยังรู้สึกเลาๆ ว่าราคานี้สูงเกินไปนิด ไม่ค่อยปกตินัก
เขามองไปยังเวทีหลัก
สีหน้าของเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเด็ดเดี่ยว ท่วงท่าสูงส่งบริสุทธิ์ ถึงแม้จะตกอยู่ในโคลนตมก็ยังคงหยิ่งทะนงไม่แปรเปลี่ยน เป็นสตรีที่ชวนให้คนเลื่อมใสนัก
หลี่มู่คิดในใจ
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็เพ่งจ้อง จิตใจสั่นไหว
เขามองเห็นว่าบนผิวขาวนวลตรงหัวไหล่ด้านหน้าของเทพธิดาสงครามมีรอยสักที่มองเห็นได้ชัดเจนอยู่รูปหนึ่ง เป็นรูปคันศรยาวประหลาดที่ง้างจนสุดเหมือนจันทร์เต็มดวง เต็มไปด้วยพลัง เหมือนว่าหากยิงออกไปก็จะพุ่งทะลวงท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น รอยสักสีดำกับผิวขาวราวหิมะ ก่อเป็นความงดงามที่ชวนให้คนรู้สึกตาพร่า
“นั่นมัน…”
หลี่มู่ผุดลุกขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เพราะมุมมองและมีเสื้อผ้าปกปิดไว้ เขาจึงมองไม่เห็นรอยสักรูปธนูยาวที่ประหลาดนี้
เมื่อคราวที่อยู่ในถ้ำภูเขาน้ำตกเก้ามังกร พี่ชายร่วมสาบานกัวอวี่ชิงดื่มสุราจนอารมณ์พุ่งพล่านและถอดเสื้ออวดหน้าอก บนร่างก็มีรอยสักแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นกัวอวี่ชิงพูดอย่างภาคภูมิใจว่าเขามาจากที่ราบทุ่งหญ้า ตระกูลของเขาใช้ธนูคันยาวเป็นสัญลักษณ์ บนร่างของสมาชิกในตระกูลล้วนมีรอยสักแบบนี้ทั้งสิ้น
รอยสักธนูคันยาวรูปร่างประหลาดนั้น เหมือนกับรอยสักบนร่างของเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าทุกกระเบียดนิ้ว
หรือว่า…
ในหัวของหลี่มู่คาดเดา หรือว่าเทพธิดาแห่งที่ราบทุ่งหญ้าคนนี้จะเป็นคนในตระกูลของพี่กัว?
ครั้นตระหนักได้ถึงตรงนี้ เขารู้ว่าตัวเองดูต่อไปไม่ได้แล้ว
“ถิงเอ๋อร์ จำที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?” หลี่มู่ลุกขึ้นพูดกับซ่างกวนอวี่ถิง เขามองไปรอบด้าน ทั่วทั้งหอหมายเลขสิบแปดวางค่ายกลเก็บกลิ่นอายและปกปิดเอาไว้มากมาย คนนอกไม่อาจสอดแนมเข้ามาได้ เขาตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างแล้ว
ซ่างกวนอวี่ถิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“ดี คืนนี้เจ้าจะได้เห็นยุทธจักรที่แท้จริงแล้ว เชื่อในพลังของตัวเองเถอะ”
หลี่มู่ยิ้มก่อนจะสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน “ทำตามข้อตกลงของพวกเรา จำเอาไว้ เชื่อมั่นซึ่งกันและกัน”
เขาออกไปจากหอหมายเลขสิบแปด
……
“อะไรนะ?” กัวจื้อฮุยผุดลุกขึ้นอย่างโมโห “ตั๋วทองถูกระงับ?”
บ่าวคนสนิททำหน้าทุกข์ระทม กล่าวว่า “คุณชาย เป็นสารด่วนมาจากฐานที่มั่นเมืองฉิน สิทธิ์ของท่านถูกระงับชั่วคราว”
“จะต้องเป็นตาแก่สมควรตายนั่นแน่” กัวจื้อฮุยโมโหจนตบโต๊ะ
สีหน้าของกุนซือแห่งทุ่งหญ้าเปลี่ยนไปทันที
เขาตระหนักได้ว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว
ผู้สนับสนุนหลักของเขากัวจื้อฮุยถูกระงับสิทธิ์การโยกย้ายเงิน หมายความว่าเขาจะไม่มีเงินมากพอประมูลต่อไป เช่นนั้นคิดจะช่วยชิงเยียนออกมาอย่างสันติสุขก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“วางใจได้ ข้ายังมีเงินเก็บของตัวเอง ฮี่ๆ ตาแก่นั่นคิดอยากจะใช้เงินมาขู่ข้า ฝันไปเถอะ” กัวจื้อฮุยกลอกตา กลับมายังที่นั่งแล้วพูดอย่างได้ใจ
ทว่าคนสนิทกลับพูดด้วยหน้าลำบากใจขึ้นอีก “คุณชาย เงินที่ท่านเปลี่ยนชื่อเก็บไว้ในสมาพันธ์ก็ถูกระงับเช่นกัน อีกทั้งในสารของนายท่านยังบอกไว้อีกด้วยว่า ในเมืองฉางอันหากใครกล้าให้ท่านยืมเงินก็จะหักขาคนคนนั้นทิ้งเสีย”
รอยยิ้มได้ใจบนใบหน้ากัวจื้อฮุยค้างแข็ง จากนั้นก็แปรเปลี่ยนไปราวกระต่ายถูกเหยียบหาง ดวงตาแดงก่ำ พูดอย่างโกรธแค้นว่า “ตาแก่สมควรตาย เขาขี้ขลาดขนาดนี้เลยหรือไง…น่าโมโหนัก นี่จะทำให้ข้าไร้คุณธรรมไร้สัจจะเลยนะ ข้าจะตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเขา” เห็นสาวงามหยาดเยิ้มอยู่บนเวที แต่กลับประมูลมาไม่ได้ ผิดสัญญากับสหาย จะให้เขาไม่โมโหได้อย่างไร
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์พลันลุกยืนขึ้น กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะต้องช่วยธิดาเทพชิงเยียนออกมาให้ได้” เขามองไปยังกุนซือหนุ่ม
ฝ่ายหลังเผยรอยยิ้มขมขื่น
ตอนนี้ บนเวทีหลักด้านนอกราคายังพุ่งไม่หยุด
เวลาบีบกระชั้น
เห็นทีคงยังต้องเปิดศึกสังหารแล้วกระมัง
กุนซือหนุ่มมองยังกัวจื้อฮุย ประสานมือพลางเอ่ยว่า “พี่กัว ครั้งนี้ขอบคุณที่ท่านให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังถึงได้ช่วยบุตรสาวที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฉางเซิงเทียนสี่สิบหกคนออกมาจากกรงเล็บมารได้ ข้ากับนายน้อยเถี่ยซาบซึ้งอย่างหาที่สุดไม่ได้ เรื่องต่อไปให้พวกเราจัดการเองเถิด ขอให้ท่านรีบจากไป หากสู้กันขึ้นมาท่านจะได้ไม่เข้ามาพัวพันด้วย”
กัวจื้อฮุยเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “พูดอะไรกัน วันนี้เป็นข้าที่ไม่ได้รักษาสัญญา ทำให้พวกเจ้าตกอยู่ในอันตราย ศิษย์พี่ศิษย์น้อง อย่าได้มองข้าเป็นคนนอก ก็แค่ใช้กำลังชิงตัวคนไม่ใช่หรือ? ให้ข้าร่วมด้วย”
ใบหน้าของนายน้อยเผ่ายิงจันทร์และเหล่าชายที่ราบทุ่งหญ้ารอบๆ ต่างฉายแววประหลาด
ที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างไกล บุตรชายหญิงแห่งฉางเซิงเทียนล้วนเคารพเลื่อมใสผู้กล้า บากบั่นพากเพียร ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่ง ที่นั่นเป็นดินแดนเขียวชอุ่มที่เลื่อมใสวีรบุรุษ แต่กลับไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้กัวจื้อฮุยสนับสนุนเงินจำนวนมหาศาลให้พวกเขา ก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ประโยคที่กัวจื้อฮุยพูดจากความกรุ่นโกรธเต็มไปด้วยความเป็นวีรบุรุษ ทำให้พวกเขาตาเป็นประกาย เคารพนับถือคนฉินผู้นี้อย่างแท้จริงทันที
……………