จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 236 ตัวแปรมาถึงแล้ว
บนที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่มีทั้งสัตว์ปีศาจอยู่มากมายหลายประเภท ในนี้ฝูงหมาป่าเป็นกลุ่มที่น่าเกรงขามมากที่สุด พวกมันเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูงนับพันนับหมื่น ภายใต้การนำของราชาหมาป่า กล่าวได้ว่าแทบกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนท้องทุ่งหญ้าได้ แม้ว่าจะเป็นพวกเผ่าหมาน หากได้พบกลุ่มหมาป่าขนาดใหญ่ก็ยังต้องหลบลี้หนีถอย
ดังนั้น บรรดาเผ่าหมานในที่ราบทุ่งหญ้าจึงบูชาเทพหมาป่า
ชั่วระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา ระหว่างเผ่าหมานและฝูงหมาป่ามีการพบปะกันนับครั้งไม่ถ้วน ความสัมพันธ์กลมเกลียว เผ่าหมานมีนักรบที่ขี่หมาป่า นักรบเผ่าหมานกับหมาป่ายักษ์ก็สามารถสื่อสารผ่านจิตกันได้ วิหารเทพหมาป่ากลายเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในที่ราบทุ่งหญ้า ทุกๆ ชนเผ่าใหญ่ต่างก็ต้องเคารพนับถือวิหารเทพหมาป่า วิหารเทพหมาป่ามีอำนาจชี้นำสูงสุด ซึ่งอยู่เหนืออำนาจการเมืองขึ้นไปอีก
แน่นอน นอกจากวิหารเทพหมาป่าแล้ว บนที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ยังบูชารูปสักการะของสัตว์อื่นอยู่อีก
การบูชาแมงมุมแห่งทุ่งหญ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
สำนักนี้ถูกเรียกขานกันว่าวิหารเทพแมงมุม
วิหารเทพแมงมุมได้รับความนิยมอย่างมากในพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบทุ่งหญ้า สิ่งที่บูชานับถือกันก็คือแมงมุมแห่งทุ่งหญ้า นักล่าใช้พิษตามธรรมชาติที่น่ากลัวยิ่งประเภทหนึ่ง คอยหลบซ่อนอยู่ในความมืด และสังหารสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งว่ามันได้ แมงมุมที่โตเต็มวัยว่ากันว่ามีร่างกายสูงหลายฉื่อ เป็นสัตว์ขนาดมหึมา ราชาแมงมุมนั้นมีสติปัญญาชาญฉลาด สามารถต่อกรกับราชาหมาป่าที่มีฝูงขนาดใหญ่ได้ ชนเผ่าบางกลุ่มที่ไม่ได้สร้างกำแพงล้อมเผ่าของตนเองขึ้นมาถูกคุกคามจากพวกแมงมุม พอนานวันเข้าจึงเกิดการบูชาแมงมุม พวกเขายอมสยบต่อราชาแมงมุม ได้รับวิชามารและพลังประหลาดมา พร้อมทั้งสร้างวิหารเทพแมงมุมขึ้น
บนที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ วิหารเทพแมงมุมเป็นตัวแทนของความชั่วร้าย ความตาย เงามืด และความหวาดกลัว
ผู้แข็งแกร่งจากวิหารเทพแมงมุมมอบวิญญาณของตนเองให้กับราชาแมงมุมเพื่อให้ได้รับพลังมารมา เป็นพวกนักฆ่าแต่กำเนิด ทั้งลอบสังหาร จ้างสังหาร วางยาพิษ เรียกค่าไถ่ เรื่องที่ดีไม่เคยทำ และไม่รู้จักศีลธรรมผิดชอบชั่วดี
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ได้ยินคำว่าวิหารเทพแมงมุม บรรดานักรบจากทุ่งหญ้าจึงหน้าถอดสีกันหมด
และเมื่อได้เห็นชายชราร่างเตี้ยซูบผอมในชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มเดินออกมาจากเงามืด นายน้อยเผ่ายิงจันทร์กับกุนซือแห่งทุ่งหญ้าทั้งสองคนยิ่งหน้าถอดสีหนักกว่าคนอื่น
“แมงมุมเขียว หนึ่งในจตุรเทพความมืดแห่งวิหารเทพแมงมุม?” กุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
“เคี้ยกๆ เจ้าหนุ่ม รู้จักข้าเช่นนี้ก็ดีแล้ว” ชายแก่ร่างเตี้ยตัวซูบผอมเปล่งเสียงหัวเราะเสียดแก้วหู เอ่ยต่อว่า “รู้จักชื่อเสียงของข้าเช่นนี้ พวกเจ้าก็ตายได้อย่างหมดห่วงแล้ว”
“เมื่อไรกันที่วิหารเทพแมงมุมไปผูกมิตรกับชาวฉิน?” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์เอ่ยถามเสียงหนัก
ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวหัวเราะชั่วร้าย “ก็แค่ร่วมมือกันเท่านั้น มีคนคิดอยากจะทำลายเผ่ายิงจันทร์ให้ราบคาบ ข้าจึงตกลงแลกเปลี่ยนกันชาวฉิน พอรับเงินก็มาที่นี่เพื่อจับตาดู เคี้ยกๆ แน่นอนว่าถ้าเด็ดหัวเจ้าลงได้ก็เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่อีกเรื่อง จะโทษก็โทษความโง่ของเจ้าเถิด เพียงเพื่อสตรีนางเดียว ถึงกับต้องออกจากที่ราบทุ่งหญ้ามาจนถึงดินแดนห่างไกลของคนฉิน มังกรเกยตื้น พยัคฆ์ร้ายที่มาอยู่ในที่ราบ มันก็สมควรตายทั้งนั้น”
“พวกข้าเผ่ายิงจันทร์มีนักรบสามหมื่น ชาวเผ่าสามแสน ยอดฝีมือมากมายดุจเมฆ บิดาข้าก็เป็นผู้สืบทอดรุ่นใหม่ของเทพธนูเจ๋อเปี๋ยแห่งทุ่งหญ้า พรสวรรค์มากล้น ต่อให้ข้าต้องตายลง เผ่ายิงจันทร์ก็ไม่ได้สิ้นตามไปด้วย” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ตอกกลับ
“หึๆ ถ้าหากเจ้ากับองครักษ์ของเจ้าต่างต้องมาตายที่ดินแดนของชาวฉิน เจ้าเดาดูสิว่าบิดาของเจ้าคนนั้น แล้วก็ยังบรรดาพี่น้องของเจ้า จะคลั่งกันสักเพียงไหน? นักรบสามหมื่นของเผ่ายิงจันทร์ หากจะระดมพลเข้าโจมตีชาวฉินละก็ ท้ายที่สุดจะเหลือกลับไปเท่าไร? หรือถ้าหากมีคนฉวยโอกาสขณะที่เผ่ายิงจันทร์กำลังตกที่นั่งลำบากบุกเข้ามาโจมตีกันล่ะ?”
ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวเอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
สีหน้าของนายน้อยเผ่ายิงจันทร์เปลี่ยนสีในทันที
นิสัยของบิดาและพี่น้องของเขา เขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าหากว่าตนเองตายลงที่นี่คืนนี้ หากมีคนต้องการกระพือแรงไฟคาบข่าวส่งกลับไป แล้วเผ่ายิงจันทร์รวบรวมพลละก็ จะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายถึงที่สุด
“ดังนั้นที่วิหารเทพแมงมุมทุ่มแรงใจทำร้ายข้ากับพี่น้องของข้า ก็เพื่อจะล่อพี่เถี่ยมายังดินแดนชาวฉินนี่น่ะหรือ?” เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าขัดขึ้นอย่างกะทันหัน
ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวหัวเราะร่า “ที่ท้องทุ่งหญ้า ใครๆ ก็รู้ว่านายน้อยเผ่ายิงจันทร์มีใจให้กับธิดาเทพชิงเยียน มีเพียงจับเจ้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาลอบเข้าดินแดนชาวฉินได้โดยไม่ฟังคำทัดทานของญาติพี่น้อง…คืนนี้ พวกเจ้าทั้งคู่ก็ตายด้วยกันเสียเลย ถึงอย่างไรหัวของธิดาเทพชิงเยียนก็ยังมีราคามากอยู่”
เทพธิดาสงครามแห่งทุ่งหญ้าหันไปมองนายน้อยเผ่ายิงจันทร์เถี่ยมู่เจินที่อยู่ข้างๆ ก่อนถอนหายใจ
เถี่ยมู่เจินกลับฮึกเหิมห้าวหาญ ยิ้มเย็นชาพร้อมตอกกลับ “ถ้าหากจตุรเทพความมืดแห่งวิหารแมงมุมมากันครบแล้วละก็ ค่ำคืนนี้พวกเราอาจตายที่นี่จริงๆ แต่นี่เจ้ามาเพียงคนเดียว ยังกล้าไม่เห็นพวกเราในสายตาอีก น่ากลัวว่าพอพ้นคืนนี้ไป จตุรเทพคงจะหายไปหนึ่งกระมัง”
ดาบคู่ในมือของเขา ด้ามจับบิดกลับมาชนกัน ประสานกลับเป็นคันธนูยาว สายธนูปรากฏกลับมาอีกครั้ง นักรบแห่งทุ่งหญ้าด้านหลังพุ่งตัวเข้ามาด้านหน้าของเถี่ยมู่เจินทันใด จากนั้นหยิบเอาซองธนูยาวสามฉื่อที่กลางหลังปักลงบนพื้น พร้อมประคองจับไว้มั่น
ลูกศรพาดบนสาย เถี่ยมู่เจินก็อยู่ในท่าพร้อมจะแสดงวิชาเทพแผลงศร
ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวกลับหัวเราะเสียงดัง
“ใครบอกเจ้าว่าข้ามาคนเดียว? มือสังหารไม่เคยทำเรื่องที่ตนเองควบคุมไม่ได้หรอก ฮ่าๆ แม้ว่าข้าจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่คิดที่จะต่อกรกับสองยอดฝีมือที่โดดเด่นที่สุดแห่งทุ่งหญ้าเพียงคนเดียว…”
เสียงยังไม่ทันจบลง
ประกายแสงขาวเส้นหนึ่งก็แหวกอากาศเข้ามา ชายชราผีดิบจมูกงุ้มปรากฏตัวขึ้นบนพื้นดิน
ตาเฒ่าคนนี้กลับมาอีกครั้งแล้ว
“ใครกัน? ใครกันที่มาสังหารศิษย์น้องข้า?” เขายังคงอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง จิตสังหารปั่นป่วนรอบกาย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ราวกับก้อนเลือดกลอกกลิ้งอยู่ด้านใน กำลังจ้องมองไปที่กลุ่มเทพธิดาสงครามแห่งทุ่งหญ้า “บอกมา ใครเป็นคนลงมือ?” เห็นได้ชัดเจนว่าเขายังหาคนร้ายที่ลงมือสังหารศิษย์น้องของตนไม่เจอ
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์กับกุนซือแห่งทุ่งหญ้าสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
แค่ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวคนเดียวก็รับมือยากพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีตาเฒ่าผีดิบนี่อีกคน…หากก่อนหน้านี้พวกเขายังมีโอกาสฝ่าออกไปได้ครึ่งครึ่ง ตอนนี้ความเป็นไปได้ที่จะฝ่าออกไปก็ลดลงจนเหลือศูนย์แล้ว
ปากถนนกลิ่นกำจายอยู่ตรงหน้า ทว่าพวกเขากลับไม่มีทางที่จะฝ่าออกไปได้อีก
กุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้ามองแวบเดียวก็เห็นว่าความห้าวหาญของนักรบฝ่ายตนลดลงเป็นอย่างมาก ในใจรู้ทันทีว่าแย่แล้ว จึงรีบร้อนเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร พวกเรายังมีกองหนุนอยู่…” ที่ด้านนอกถนนยังมีฝ่ายสนับสนุนอยู่อีกกอง เขาหันไปบอกกับกลุ่มนักรบว่า “คืนนี้ขอแค่พวกเราฝ่าออกไปได้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข้าประจันหน้า” นี่คือการสร้างขวัญกำลังใจ
ความหวังในใจของกลุ่มนักรบแห่งท้องทุ่งหญ้าราวกับถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้ง
แต่กุนซือแห่งที่ราบทุ่งหญ้ารู้ดี คืนนี้คนจำนวนมากต้องตายอยู่ที่นี่
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และเทพธิดาสงครามมีพลังแกร่งกล้าที่สุด ภายใต้การคุ้มกันของคนอื่นๆ ขอเพียงพวกเขาทั้งสองคนสามารถหนีรอดออกไป เผ่ายิงจันทร์ก็ยังหลีกเลี่ยงความพินาศไปได้
แต่ทว่า…
“กองหนุน? นี่คือการดิ้นรนก่อนตายหรือ? ข้ารู้ พวกเจ้ากำลังฝากความหวังไว้กับฝ่ายสนับสนุนพวกนั้นสินะ ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?” ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวแสยะยิ้มชั่วร้าย “เอาเถอะ พวกเจ้าจะได้เลิกคิดเสียที”
สิ้นเสียงพูด เสียงตุบๆ ดังขึ้น ศีรษะหลายสิบถูกโยนออกมาจากความมืด
ศีรษะนักรบที่เลือดสดๆ ยังไหลอาบอยู่เกลือกกลิ้งเลอะดินทราย เพียงแค่มองใบหน้าและผมเผ้าก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนักรบแห่งทุ่งหญ้า
“อ๊า…สหายเถี่ยสื่อ แล้วยังอาต๋าอีกคน…” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์จ้องมองจนดวงตาแทบจะถลน เขาจำได้ คนที่ตายเหล่านี้ก็คือนักรบที่ถูกวางตัวให้รับผิดชอบเป็นกองหนุนด้านนอกถนนกลิ่นกำจายในแผนที่วางไว้ก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าจะไม่เหลือเลยสักคน ทั้งหมดถูกสังหารเรียบ
ทั้งหมดถูกฝ่ายตรงข้ามคิดคำนวณเอาไว้ในแผนแล้ว
แย่ล่ะ
กุนซือแห่งทุ่งหญ้าตื่นตระหนก
เวลาเดียวกัน ในใจของเขามีความรู้สึกที่ไร้ซึ่งกำลังปรากฏขึ้น
ในดินแดนของชาวฉินนี้ กำลังของพวกเขาช่างอ่อนแอนัก แม้จะบอกว่าเขาชาญฉลาด แต่ศรีภรรยาที่ไม่มีข้าวก็ไม่อาจปรุงอาหารที่ดีได้ ค่ำคืนนี้เขาใช้กำลังและสติปัญญาทั้งหมดไปแล้ว น่าเสียดายที่มันยังไม่พอ
ดวงตาของเทพธิดาสงครามแห่งทุ่งหญ้าคุกรุ่นด้วยเปลวไฟแห่งความแค้น
ส่วนนักรบแห่งที่ราบทุ่งหญ้ารวมไปถึงนักรบหญิงองครักษ์เทพหมาป่า หลังจากที่ผ่านพ้นความเสียใจช่วงแรกไป ตอนนี้สีหน้าของทุกคนก็มีไฟแค้นลุกโชนด้วยเช่นกัน
“แก้แค้น”
“สังหารมัน”
อาวุธเคาะลงบนเกราะ เปล่งเสียงแห่งความเศร้าโศกและปลุกเร้าออกมา
นักรบแห่งทุ่งหญ้าทุกคนหยุดตื่นตระหนก ความไม่สะทกสะท้านเข้ามาแทนที่ พวกเขาใช้อาวุธกระแทกเข้ากับเกราะพลางกระทืบเท้าขวา มือซ้ายชูขึ้นสูง ปากเปล่งเสียงร้องท่วงทำนองที่ฟังได้ยากบางอย่าง ราวกับเสียงคำรามของหมาป่า และคล้ายคลึงกับเสียงลมหวีดหวิวแห่งทุ่งหญ้า ท่าทางและจังหวะพร้อมเพรียงกัน น้ำเสียงเศร้าโศกแต่ฮึกเหิมเร้าใจ
นี่คือเพลงแห่งสงครามของเผ่ายิงจันทร์
ทุกครั้งที่ทำศึก หากพบกับศึกใหญ่ที่หมดทางถอย นักรบเผ่ายิงจันทร์จะขับขานท่วงทำนองเก่าแก่แห่งทุ่งหญ้าที่เคยกึกก้องเมื่อครั้งอดีตเพลงนี้
ค่ำคืนนี้ ก็แค่ตายเท่านั้น
สถานการณ์ตอนนี้ แม้แต่ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวก็ยังอดเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อยไม่ได้
นักรบเผ่ายิงจันทร์สามหมื่นนายก็สามารถท่องไปทั่วที่ราบทุ่งหญ้า เบียดตนขึ้นมาอยู่สิบลำดับแรกของกลุ่มอำนาจแห่งทุ่งหญ้าได้ เพราะแรงฮึกเหิมเช่นนี้ ปณิธานเช่นนี้ ในกลุ่มเผ่าหมานที่บ้าคลั่งแห่งที่ราบทุ่งหญ้าทั้งหมด พวกเขาจึงถือเป็นหนึ่งพลังที่น่ากลัวเช่นกัน
ส่วนชายชราผีดิบที่กำลังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการตายของศิษย์น้อง กลับถูกความฮึกเหิมนี้กระตุ้นจนบ้าคลั่งยิ่งขึ้น เปล่งเสียงคำรามออกมาว่า “พวกเจ้ามันสมควรตาย สมควรตายทั้งหมด…พูดมา ใครสังหารศิษย์น้องของข้า จะต้องเป็นพวกเจ้าคนหนึ่งแน่ๆ ย้าก…” เขาร้องไห้โฮไม่ต่างจากคนบ้า ร่างแปรเปลี่ยมเป็นพายุคลั่งพุ่งเข้าโจมตีทันที
ไอเย็นสีฟ้าอันน่าพรั่นพรึงถาโถมเข้ามาราวคลื่นตีเกลียว
“ตาย”
นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ง้างสายธนูขึ้นยิง
แต่ไม่สามารถหยุดตัวประหลาดผีดิบที่บ้าคลั่งลงได้
สงครามเปิดฉากขึ้นในพริบตา
ผู้เฒ่าแมงมุมเขียวแสยะยิ้มเย็นชา ร่างกายหายเข้าไปในเงามืดทีละน้อย ในฐานะที่เป็นนักฆ่าในเงามืด เขาถนัดการใช้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเช่นพื้นที่ เงามืด และความสับสนอลหม่านเพื่อช่วงชิงชีวิตของฝ่ายตรงข้าม ถนนกลิ่นกำจายแห่งนี้ถูกกางค่ายกลใยแมงมุมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครที่จะรอดพ้นออกไปได้
“อ๊าก…” นักรบเผ่ายิงจันทร์คนหนึ่งตะโกนสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว ท่อนแขนขาดสะบั้นอย่างเงียบเชียบ ถัดมาคือลำตัวถูกบั่นแยกเป็นสองส่วนตั้งแต่เอวลงมา
ไม่นานนัก นักรบแห่งเผ่ายิงจันทร์อีกหลายสิบคนก็ตายตามกันมา
นักรบหญิงองครักษ์เทพหมาป่าก็แดดิ้นไปอีกหกเจ็ดคน
“บอกมา ใครสังหารศิษย์น้องของข้า” ชายชราผีดิบตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ซัดฝ่ามือใส่นักรบเผ่ายิงจันทร์สองนายจนกลายเป็นน้ำแข็งแตกกระจาย
ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสองคนพุ่งตรงเข้ามา ประหนึ่งเสือร้ายกลางฝูงแกะอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้นักรบแห่งทุ่งหญ้าจะฮึกเหิมสักเพียงใด แต่พละกำลังที่ห่างชั้นกันไม่สามารถชดเชยได้ด้วยความกล้าหาญและปณิธาน มีเพียงนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ กุนซือแห่งทุ่งหญ้า และเทพธิดาแห่งสงครามสามคนเท่านั้นที่มีกำลังมากพอ ทว่าเพียงปกป้องตนเองก็เต็มกลืนแล้ว ไม่มีทางช่วยเหลือคนอื่นได้เลย
กองกำลังจากที่ราบทุ่งหญ้า เพียงพริบตาเดียวก็ล้มตายไปกว่าครึ่ง
“บอกมา ใครกัน? ใครกันที่สังหารศิษย์น้องของข้า…อ๊าก พวกเจ้ามันสมควรตาย…ใครกัน?” ชายชราผีดิบบ้าคลั่งไปแล้วจริงๆ ใช้กรงเล็บของตนบีบหัวใจนักรบหญิงองครักษ์เทพหมาป่าตายไปนางหนึ่ง จากนั้นส่งเข้าปากเคี้ยวราวกับภูตผีปีศาจ พลางถามซ้ำไปซ้ำมาว่า “ใครกัน?”
“ตายละ มาช้าไปหน่อย
เสียงเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากที่ไกลๆ
“เจ้าหมายถึงเจ้าบ๊ะจ่างตาถลนคนนั้นน่ะหรือ? คนที่โดนหมัดเดียวของข้าระเบิดร่างไปน่ะ” เสียงนั้นยังคงพูดต่อ
ภายใต้แสงจันทร์ ร่างเงาสูงโปร่งวูบวาบดุจสายฟ้า ร่อนลงมายืนอยู่บนยอดสุดของหอหินแห่งหนึ่ง จากนั้นมองกวาดลงมายังเบื้องล่าง
แสงจันทร์ส่องกระทบหน้ากากสีเงินของเขา ราวกับประกายบนสายน้ำไหลเอื่อย ยิ่งขับให้หน้ากากที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงประดุจกำลังแลบลิ้นปลิ้นตาและหัวเราะเยาะผู้คนเบื้องล่างมากขึ้น ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่พูดออกมาไม่ได้
ชายใส่หน้ากากผียิ้มสีเงิน!
“เขาหรือ?” ภายในดวงตาของกุนซือแห่งทุ่งหญ้าฉายประกายแห่งความดีใจ
เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณ ตัวแปรสำคัญที่จะพลิกสถานการณ์มาถึงแล้ว
………………