จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 289 หนูสามสี่ตัว
จำได้ว่าศึกใหญ่วันนั้น ถึงแม้หลี่มู่จะต้านทานการล้อมโจมตีจากขั้นเหนือมนุษย์ทั้งหลายได้ แต่นั่นเป็นเพราะ ‘กระจกสยบฟ้า’ สะกดพลังฟ้าดินเอาไว้ ดังนั้นกลวิชาของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์จึงไม่อาจสำแดงออกมาได้ ตอนนั้นหลี่มู่ก็มีระดับปราณแท้ฟ้าประทานแค่ห้าส่วนเท่านั้น
จ้าวอวี่เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงมาก
ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว ตัวเองใช้พลังฝึกขั้นฟ้าประทานไม่สมบูรณ์ สู้กับเมิ่งอู่ต่อด้วยฉู่หนานเทียน ผลงานเช่นนี้ไม่ด้อยไปกว่าหลี่มู่สักเท่าไหร่เลย ในเมื่อขั้นฟ้าประทานไม่จำเป็นต้องขับเคลื่อนพลังฟ้าดิน ก็สามารถสำแดงพลานุภาพทั้งหมดออกมาได้ ผลงานของเขาเช่นนี้จึงน่าเชื่อถือยิ่งกว่า
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้วันนั้นเขาจะตื่นตะลึงเพราะฝีมือของหลี่มู่ แต่ก็ไม่มีทางรู้สึกว่าตนต่ำต้อยอะไร เขามั่นใจในพรสวรรค์และศักยภาพของตัวเองมาก ขอแค่มีเวลาและโอกาสในระดับหนึ่ง เขาเชื่อว่าจะต้องไล่ตามหลี่มู่ทันอย่างแน่นอน
สำหรับผลการต่อสู้ หลี่มู่กำจัดองค์ชายสอง แม้จะชวนให้คนตื่นตะลึง ทว่าภายหลังมาคิดดูก็มีเหตุผล หนึ่งคือองค์ชายสองยังผสานพลังเทพปีศาจนอกพิภพไม่ได้ทั้งหมด สองเพราะตอนองค์ชายสองสู้กับกระบี่เซียนธุลีแดงและหมัดเทพทลายฟ้าก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว สามคือในมือของหลี่มู่มีของวิเศษของสำนักอยู่
หลังจากคิดเรื่องสำคัญพวกนี้ได้ อันที่จริงในใจของจ้าวอวี่มีความคิดเปรียบเทียบด้านความเร็วในการฝึกฝนกับหลี่มู่
เพราะสำหรับเขา หลี่มู่เป็นหนึ่งในเหล่าคนหนุ่มสาวที่เป็นอัจฉริยะที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ
อัจฉริยะย่อมให้ความสำคัญกับอัจฉริยะอยู่แล้ว
แต่ว่า ตอนนี้เขาถูกประโยคว่า ‘เพิ่งจะขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์’ ของหลี่มู่ทำเอาเกือบกระอักเลือด
หลี่มู่เห็นท่าทางของเขาแบบนี้ ในใจก็หัวเราะฮี่ๆ
‘เจ้ามือใหม่เอ๊ย คิดจะเต๊ะท่าต่อหน้าพี่หรือ เจ้ายังอ่อนไปนิด’
จ้าวอวี่ปิดหน้า อดทนอดกลั้นกลืนความโมโหลงไป ถึงค่อยพูดขึ้นอย่างจริงจัง “คุณชายหลี่ ครั้งนี้ข้ามาอำเภอขาวพิสุทธิ์ด้วยเรื่องสำคัญสองเรื่อง อยากจะหารือกับคุณชาย หนึ่งคือข้าอยากจะรับน้องสาวของข้ากลับไป เพราะวันครบอายุหกสิบปีของท่านพ่อใกล้มาถึงเต็มทีแล้ว จึงอยากให้นางกลับไปอวยพร หลังจากเรียบร้อยแล้วจะส่งนางกลับมาอำเภอขาวพิสุทธิ์ตามวันเวลาที่กำหนด สองคือเรื่องศพศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์สี่คนที่อยู่โกดังเก็บศพก่อนหน้านี้ ตอนนี้สืบชัดเจนแล้วว่าเป็นศิษย์นอกสำนักโจวเจิ้นไห่แอบลงมือ พยายามป้ายสีใส่คุณชาย ก่อนหน้านี้ปรักปรำคุณชายไป ล่วงเกินท่านแล้ว ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
เขาพูดอย่างเกรงใจมาก
วันนั้นหลังจากศึกใหญ่เมืองฉางอันจบลง จ้าวอวี่ก็กลับสำนัก และเล่าประสบการณ์ที่ตนพบเจอให้เจ้าสำนักคนปัจจุบันฟัง สร้างความฮือฮาให้กับเจ้าสำนักคนปัจจุบันจ้าวเสวี่ยและพวกผู้นำระดับสูงของสำนักมาก เพราะนี่หมายความว่าหลี่มู่มีความสามารถที่จะใช้พลังของตัวเองกำจัดสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ทั้งสำนักได้ ดังนั้นสำนักจะต้องปรับท่าทีที่มีต่อหลี่มู่เสีย
อีกทั้งหลังจากรื้อคดี จอมยุทธ์เก่าแก่ทั้งหลายของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็หาความจริงเจออย่างรวดเร็ว เรื่องของโจวเจิ้นไห่เผยความจริงออกมา
คราวนี้ โจวเจิ้นชิวที่เป็นที่พี่น้องท้องเดียวกันเหงื่อซึมชื้นทั้งตัว
ดีที่ตอนนั้นเขาตัดสินใจถูก
มิฉะนั้นจะนำหายนะมาเยือนสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ได้
สุดท้าย คนระดับสูงและล่างของสำนักหารือกัน ให้จ้าวอวี่อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของสำนักมาพบหลี่มู่ เปิดเผยเรื่องราวพวกนี้ ให้ต่างฝ่ายต่างจบลงด้วยดี อย่างไรเสีย เมื่อมองจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็เป็นสำนักที่อยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ทำเมินเฉยขุนนางเมืองคนก่อนได้ แต่ขุนนางเมืองราชาปีศาจหลี่มู่คนนี้สังหารองค์ชายไปคนหนึ่งยังอยู่ดีมีสุขมาได้นานขนาดนี้ ก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญแล้ว
“ตอนนี้โจวเจิ้นไห่ถูกควบคุมตัวอยู่นอกที่ว่าการอำเภอ คุณชายลงโทษได้ตามสบายเลย” จ้าวอวี่เอ่ย
หลี่มู่โบกมือ “ไม่จำเป็น เขาฆ่าลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ พวกเจ้าจัดการกันเองเถอะ ตอนเจ้าพาจ้าวหลิงกลับไป ให้นำตัวเขาไปด้วยก็พอแล้ว” แค่ตัวละครตัวเล็กๆ เท่านั้น หลี่มู่ไม่สนใจจะเสียเวลาไปจัดการคนแบบนี้
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณคุณชายมาก”
จ้าวอวี่เป็นคนพูดไม่เก่ง พรสวรรค์เป็นเลิศการกระทำฉับไว ทว่าคำพูดคำจาเชื่องช้า
หลังจากพูดเรื่องสำคัญจบ ที่จริงในใจของเขายังมีเรื่องส่วนตัวอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เขากลับพูดไม่ออก ในเมื่อเรื่องนี้เหมือนจะเกินงามไปบ้าง
หลี่มู่ลุกขึ้นยืนหมายจะส่ง
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู หลี่มู่ทำท่าเหมือนจู่ๆ นึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวว่า “ข้าก็มีเรื่องอยากจะหารือกับสหายจ้าวเหมือนกัน…”
จ้าวอวี่อึ้ง เอ่ยตอบไปอย่างไม่รู้ตัว “เชิญคุณชายพูดเถิด”
หลี่มู่ยิ้มตอบ “วันนั้น ก่อนที่ ‘พิชิตจักรวาล’ เฉาปิ่งเหยียนจะตาย ได้หลอมแก่นแท้วิถีกระบี่ของกระบี่ทางช้างเผือกไว้ในพลังจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่ง แล้วถ่ายทอดให้แก่ข้า คิดจะรักษาไม่ให้มรดกสำนักกระบี่ทางช้างเผือกของเขาสูญสิ้นไป แต่ว่า สหายจ้าวเจ้าก็รู้ ข้าคลั่งไคล้หลงใหลในวิชาดาบ ไม่ชอบวิถีกระบี่ เกรงว่าเฉาปิ่งเหยียนคงต้องผิดหวังแล้ว จะว่าไปเขาก็นับว่าเป็นปรมาจารย์แห่งยุค ไม่ว่าเขาเคยทำเรื่องอะไรเอาไว้ แต่หากมรดกสำนักกระบี่ทางช้างเผือกหายสาบสูญไปก็น่าเสียดายนัก สหายจ้าวเจ้าเป็นอัจฉริยะกระบี่อะไรนั่น…หมายถึงอัจฉริยะกระบี่นะไม่ใช่สารเลว เคล็ดวิชากระบี่นี้สู้ข้ามอบให้สหายจ้าวเสียดีกว่า ไม่ทราบว่าสหายจ้าวสนใจหรือไม่?”
“ท่านว่าอะไรนะ?” ใบหน้าของจ้าวอวี่ฉายแววเหลือเชื่อ
เรื่องส่วนตัวที่เขาอยากพูดก่อนหน้านี้ก็คือเรื่องนี้เอง
วันนั้นเห็นเพลงกระบี่ทางช้างเผือกที่เฉาปิ่งเหยียนสำแดง จ้าวอวี่ใจเต้นโครมคราม ไม่รู้ทำไมมักจะรู้สึกว่ามีวาสนากับวิชากระบี่นี้นัก แต่น่าเสียดาย วันนั้นก่อนเฉาปิ่งเหยียนจะสิ้นใจได้ถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้กับผู้แข็งแกร่งด้านดาบอย่างหลี่มู่ จ้าวอวี่ไม่กล้าไปแย่งอะไร
หลายวันมานี้ วันๆ เขาคิดถึงแต่เพลงกระบี่นี้ มีความรู้สึกเหมือนตกหลุมรัก ยากจะหลับจะนอน
ครั้งนี้มาอำเภอขาวพิสุทธิ์พบหลี่มู่ ก็อยากจะลองเสนอเงื่อนไขหรือสัญญาอะไรเพื่อแลกกับเพลงกระบี่นี้ แต่คิดไปคิดมาตัวเองเหมือนจะไม่มีอะไรมาเทียบมรดกวิถีกระบี่ทางช้างเผือกได้ ในเมื่อกระบี่ทางช้างเผือกเป็นวิชาที่หากฝึกฝนจนถึงระดับสุดยอด จะสามารถทะลวงสวรรค์ได้เชียว ต่อให้เป็นเคล็ดกระบี่ชั้นสูงของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็ไม่มีทางฝึกฝนจนถึงขั้นทะลวงสวรรค์ได้
สุดท้ายแล้วเขาจึงไม่ได้เอ่ยปาก เตรียมตัวจากไป
ใครจะรู้ว่าหลี่มู่จะเอ่ยเสนอขึ้นเองแบบนี้
“คะ…คุณชายมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่?” จ้าวอวี่ได้สติกลับมา ถามไปอย่างลิงโลด
หลี่มู่ย้อนถาม “ถ้าหากไม่มีเงื่อนไข สหายจ้าวจะไม่รับ?”
“ใช่…เอ่อ ไม่ๆๆ ไม่ใช่ ข้า…” จ้าวอวี่หน้าแดงทันที
ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ถูกหลี่มู่เย้าหยอกจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี มึนงงไปเล็กน้อย
หลี่มู่หัวเราะลั่น “สหายจ้าว วันนั้นสหายจ้าวยอมเสี่ยงภัยอันตรายเพื่อช่วยแม่ลูกสกุลถัง มีลักษณะอย่างจอมยุทธ์หนุ่มผู้ฮึกเหิม มีคำกล่าวไว้ว่าสาวงามคู่วีรบุรุษ บ่อมังกรมอบแก่จอมยุทธ์ เคล็ดวิชากระบี่นี้อยู่ในมือสหายจ้าวถึงจะสำแดงคุณค่าของมันได้อย่างแท้จริง”
พูดแล้วเขาก็มอบตราประทับพลังจิตวิญญาณของเฉาปิ่งเหยียนให้แก่จ้าวอวี่
เพลงกระบี่ในนั้นเขาย่อมศึกษามันแล้ว เข้าใจแก่นแท้ของวิถีกระบี่ทางช้างเผือกจนถ่องแท้ ทว่าหลี่มู่แค่ผสานมันไว้ในเพลงดาบของตน ไม่ได้คิดจะฝึกฝน
“ขอบคุณสหายจ้าวมาก” จ้าวอวี่ซาบซึ้งนัก “บุญคุณนี้ข้าจะจดจำขึ้นใจ สหายหลี่ผู้นี้ข้าจ้าววี่คบเป็นสหายด้วยแน่แล้ว”
ในใจหลี่มู่แอบกระหยิ่มยิ้มย่อง ยืมดอกไม้ถวายพระ มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ แล้วไยจะไม่ยินดีเล่า
……
หลังจากส่งพี่น้องจ้าวอวี่ หลี่มู่ก็มาพบเจิ้งฉุนเจี้ยนที่มาไกลจากเมืองฉางอันในห้องหนังสือ
“คุณชาย จากรายงานของสายสืบ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่เมืองหลวง เจิ้นซีอ๋องบุคคลอันดับสองของขั้วอำนาจองค์ชายสองได้ก่อกบฏ โจมตีวังหลวง องค์รัชทายาทร่วมจัดการกับผู้บัญชาการกองกำลังรักษาวังและองค์ชายอีกหลายองค์ ตอนนี้เจิ้นซีอ๋องกำลังหลบหนี พลังของขั้วอำนาจองค์ชายสองสลายแล้วโดยสมบูรณ์”
เจิ้งฉุนเจี้ยนรายงาน
สีหน้าของหลี่มู่เคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดก็มาถึงวันนี้
พรรคพวกขององค์ชายสองถูกสลายอย่างสิ้นเชิง บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองในเมืองหลวงพวกนั้นน่าจะสงบกันได้กระมัง
แต่นี่ก็หมายความว่า วันคืนสุขสงบของตนที่นี่มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
การตายขององค์ชายที่ตำแหน่งสูงอำนาจมาก จะต้องมีคนออกมารับผิดชอบใช่ไหมเล่า
บุคคลผู้ยิ่งใหญ่พวกนั้นยื่นมือมาจะจัดการตนแล้ว
“จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังคงปิดด่านฝึกฝน การปกครองในตอนนี้มีองค์รัชทายาท เฉวียนอ๋อง คังอ๋อง อัครมหาเสนาบดีหวางร่วมด้วยช่วยกัน ส่วนอำนาจทหารของกองกำลังรักษาวังอยู่ในมือผู้บัญชาการกวนหมิ่นเหริน…” เจิ้งฉุนเจี้ยนกล่าวอย่างละเอียด
หลี่มู่โบกมือ “ไม่ต้องรายงานเรื่องไร้สาระพวกนี้…ข้าไม่สนใจ”
เจิ้งฉุนเจี้ยนหุบปากอย่างว่าง่าย จากนั้นเอ่ยต่อ “ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง จากเอกสารที่ที่ว่าการเจ้าเมืองได้รับมา ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ราชสำนักแต่งตั้งขึ้นใหม่อยู่ระหว่างทางมาเมืองฉางอันแล้ว อีกสามวันก็จะถึง ถึงตอนนั้นคุณชายต้องลงจากตำแหน่งแล้ว”
หลี่มู่ตอบ “มาก็มาสิ”
เขาไม่สนใจ
ตำแหน่งขุนนางเมืองสำหรับเขาแล้วไม่มีความหมายอะไร
เป็นหรือไม่เป็นขุนนางเมืองก็ช่าง
ทว่า น่ากลัวว่าผู้มาเยือนคงคิดไม่ดี ผู้รับตำแหน่งที่ส่งตรงมาจากเมืองหลวง ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้ว่าต้องเป็นลูกขุนนางหรือบุคคลที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ น่าหัวเราะนัก ตำแหน่งขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์น่าดึงดูดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อำเภอขาวพิสุทธิ์ก็เป็นของเขา
หลี่มู่ทุ่มเทจิตใจวางค่ายกลฮวงจุ้ยลงไปไม่น้อย เปลี่ยนให้ทั้งเมืองเป็นดินแดนฮวงจุ้ย ก็เพื่อจะตั้งธงพัฒนาขั้วอำนาจขึ้นมา ไม่ใช่ให้ใครมาชุบมือเปิบได้ หากขุนนางเมืองคนใหม่ทำเรื่องที่เขาควรทำไปดีๆ ก็แล้วไป แต่หากรนหาที่ตายจะชุบมือเปิบ แม้แต่องค์ชายเขายังสังหารมาแล้ว จะกลัวกับแค่ทายาทขุนนางหรือไร?
เหมือนอ่านความคิดหลี่มู่ออก เจิ้งฉุนเจี้ยนเอ่ยขึ้นอีกว่า “ใต้เท้าเจ้าเมืองให้ข้าบอกท่านว่า ขุนนางเมืองคนใหม่เป็นถึงลูกศิษย์จากสำนักเทพทุ่งปิดภูผา ฐานะพิเศษ ถึงตอนนั้นอย่าได้ใช้อารมณ์”
ลูกศิษย์จากทุ่งปิดภูผา?
สำนักเทพแห่งจักรวรรดิ?
ว่ากันว่านายแห่งทุ่งปิดภูผาคือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของยุค ผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะ
สำนักเทพทั้งเก้ากล่าวได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าทั้งสามจักรวรรดิ เผ่าหมาน และเผ่าผู้วิเศษ สะกดโชคชะตาของแผ่นดินใหญ่เสินโจว เป็นดั่งสวรรค์อันสูงส่ง ไม่อาจขัดขืนได้ ไม่ว่าจะเป็นใครหากล่วงเกินสำนักเทพทั้งเก้า โดยพื้นฐานแล้วก็มีแค่ตายคำเดียว
ทำไมแม้แต่คนของเก้าสำนักเทพก็เข้ามาร่วมเรื่องนี้ด้วย?
หลี่มู่พยักหน้า แสดงท่าทีว่ารับรู้แล้ว
เจิ้งฉุนเจี้ยนรายงานเรื่องทั้งหมดจบก็จากไปอย่างรู้งาน
ทว่าชั่วขณะที่กำลังจะออกจากห้อง เขาลังเลเล็กน้อย จู่ๆ ก็พลันก้าวเข้ามาใหม่ ก่อนพูดด้วยสีหน้าดิ้นรน “คุณชาย ช่วงนี้ท่านต้องระวังหน่อยนะขอรับ ข่าวจากแต่ละแห่งที่ส่งมาล้วนไม่ดีกับท่านทั้งสิ้น ในเมืองหลวง องค์ชายและชินอ๋องทั้งหลายล้วนประกาศจะจับตัวท่านกลับเมืองฉินไปสอบสวน อีกทั้งพวกเจิ้นซีอ๋องก็แฝงตัวเข้ามาในเมืองแถบตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว…”
หลี่มู่มองสีหน้าท่าทางของเขา แล้วถามว่า “เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ว่าหลี่กังให้เจ้ามาพูดกระมัง”
เจิ้งฉุนเจี้ยนผงกหัวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น กำลังจะพูดอะไร จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป จากนั้นมุมปากจึงยกยิ้ม “พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา…” เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ “มีหนูสามสี่ตัวมุดเข้ามา ไปเถอะ ตามข้าไปดูสักหน่อย”