จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 291 หวงเหวินหย่วน
จนถึงตอนนี้ หวงเหวินหย่วนยังคงคิดไม่ออก
แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่ท่านปู่ของเขาจัดการด้วยตนเอง เขาจึงคัดค้านอะไรไม่ได้
ในใจรู้สึกอัดอั้น สมองคิดไม่ตก ดังนั้นตลอดทางเขาจึงยืดยาด หลังจากมาถึงเมืองฉางอันก็ไม่ได้รีบร้อนไปยังอำเภอขาวพิสุทธิ์ ยังแวะดื่มด่ำชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองของเมืองฉางอันเสียก่อน เมืองที่มีสถานบันเทิงให้ใช้จ่ายเงินถุงเงินถัง ตื่นเต้นกับชีวิตได้นับร้อยวิธีเช่นนี้ เมื่อเทียบกับการลำบากฝึกวิชาในสำนักแล้วยังน่าอ้อยอิ่งยิ่งกว่ามาก
ท่านแม่ไป๋เซวียนแห่งสถานเริงรมย์ก็นั่งยิ้มละไมอยู่ด้านหนึ่ง
แต่ในใจของนางยังกังวลอยู่เล็กน้อย
เพราะดูจากสถานการณ์ในไม่กี่วันที่ผ่านมา ชายหนุ่มที่มีผู้คนน้อยใหญ่ในเมืองแย่งกันมาขอพบ พาเที่ยว และเอาอกเอาใจ กระทั่งท่านเจ้าเมืองยังต้อนรับขับสู้ด้วยความเกรงใจยิ่งคนนี้ จะเป็นคนที่มาแทนตำแหน่งขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ของหลี่มู่ ยิ่งไปกว่านั้น หลี่มู่ก็ใช่ว่าจะได้เลื่อนขั้นอะไร กลับถูกปลดจากตำแหน่ง และหลังจากถูกปลดก็ยังไม่มีหน้าที่ใหม่เสียด้วย
ไป๋เซวียนอยู่ที่หอคณิกามาหลายปี ความสามารถในการมองคนถือว่าไม่มีที่ติ นางรู้สึกได้ว่าทิศทางลมในตอนนี้ไม่ดีนักสำหรับหลี่มู่
นางก็เหมือนกับคนทั่วไปมากมายในเมืองฉางอัน ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงในศึกด้านนอกหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุวันนั้น ไม่รู้ด้วยว่าหลี่มู่ข้องเกี่ยวมากน้อยเพียงไหน และยิ่งไม่รู้ถึงพลังฝึกที่แท้จริงของหลี่มู่ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงยากที่จะไม่เป็นห่วง
หลายปีที่ผ่านมา ในบรรดาชายหนุ่มฝีมือยอดเยี่ยมที่ไป๋เซวียนรู้จัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลี่มู่โดดเด่นเป็นที่หนึ่ง และเป็นคนที่ทำให้ไป๋เซวียนนับถือที่สุดด้วยเช่นกัน เพียงแค่ไมตรีจิตที่หลี่มู่มีให้กับฮวาเสี่ยงหรง ก็มองออกแล้วว่าชายหนุ่มที่ถูกประเมินค่าต่างๆ นานาจากคนสามัญในเมืองฉางอันเป็นลูกผู้ชายตัวจริงคนหนึ่งโดยแท้
ไป๋เซวียนหวังให้ฮวาเสี่ยงหรงได้เจอที่อยู่ดีๆ นางไม่อยากให้หลี่มู่เกิดเรื่องขึ้น
“แม่เล้าไป๋ ได้ยินมาว่าคณิการะดับสูงฮวาเสี่ยงหรงแห่งสถานเริงรมย์ในอดีตมีบุคลิกราวเทพธิดา เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองฉางอัน เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน?” หวงเหวินหย่วนพลันนึกอะไรได้ จึงถามขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะมีอาการมึนเมานิดๆ
ไป๋เซวียนฝืนแย้มยิ้ม เอ่ยประจบว่า “คุณชายหวง เรื่องนั้นมันผ่านไปแล้ว ฮวาเอ๋อร์ตอนนี้ไม่ใช่คนของหอคณิกาอีก ดังนั้นนางจึงไม่ใช่คณิกาชั้นสูงแล้ว แต่ตอนนี้แม่นางฉิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายท่านคนนี้งามล้ำเป็นเลิศ เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดของที่แห่งนี้แล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าฮวาเอ๋อร์เลย คุณชายหวงโปรดเอ็นดูนางด้วยเถิด…”
สาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ หวงเหวินหย่วนอายุสิบหก ใบหน้ารูปไข่ ผิวราวหยก รูปร่างสวยสง่า ผมสลวยดุจปุยเมฆ งดงามสะท้านใจ เป็นสุดยอดสาวงามที่สถานเริงรมย์เลือกมาใหม่ นางขับร้องท่องกลอน ร่ายระบำได้อย่างดีเยี่ยม สมบูรณ์พร้อมทุกด้าน ถือได้ว่าเป็นหญิงที่เพียบพร้อมที่สุดในหน่วยเลี้ยงรับรอง
เพียงแต่ เมื่อเทียบกับฮวาเสี่ยงหรงที่ฝึกฝนวิชาก่อนกำเนิดแล้ว นางยังคงเทียบชั้นไม่ได้
เดิมทีไป๋เซวียนคิดจะชุบเลี้ยงฉิงเอ๋อร์ให้เป็นฮวาเสี่ยงหรงคนที่สอง แต่ว่าภูมิหลังของหวงเหวินหย่วนน่าหวาดหวั่นนัก ชื่อเสียงของฉิงเอ๋อร์ยังไม่ทันโด่งดัง ก็ถูกหวงเหวินหย่วนบังคับรับไว้ ทำลายความบริสุทธิ์ของนางไป หากจะชิงตำแหน่งคณิกาชั้นสูงในภายหลังก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
“เหอะๆ…” หวงเหวินหย่วนหัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้ฮวาเสี่ยงหรงก็คล้ายๆ ฉิงเอ๋อร์เช่นนั้นหรือ?”
ไป๋เซวียนรีบร้อนรับคำ
ฉิงเอ๋อร์ก็ยิ้มอย่างระมัดระวัง พลางรินสุราให้กับหวงเหวินหย่วน รอยยิ้มน่าหลงใหล ท่าทางอ่อนโยนว่านอนสอนง่าย
แต่หวงเหวินหย่วนกลับยิ้มเหยียด กล่าวตามมาว่า “ถ้าฮวาเสี่ยงหรงคนนั้นไม่ต่างจากฉิงเอ๋อร์ละก็ ฮี่ๆ เช่นนั้นก็เหมือนหญิงที่แต่งหน้าทั่วไปเท่านั้น ไอ้ที่ร่ำลือกันว่าเทพธิดาจันทรา เริงระบำตราตรึงใจนั่น…ทำเอาผิดหวังหมด”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของฉิงเอ๋อร์อึ้งงันในฉับพลัน “คุณชายหวง ท่าน…”
สีหน้าไป๋เซวียนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย
หวงเหวินหย่วนกวาดตามองผ่าน ยิ้มบางๆ ในดวงตามีประกายถากถาง เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “สาวงามเลื่องชื่อในยุทธจักรที่ข้าเคยพบ ‘กระบี่หญิงลึกลับ’ สวีอิ๋งแห่งสำนักขุนคีรี ‘กระบี่ใบไม้ล่องลม’ จ้าวฉือแห่งสำนักกระบี่ล่องลม ‘กระบี่หยุดมาร’ จูจิ่วเจินแห่งสำนักกระบี่โบราณ…ล้วนเป็นนางเซียนลงมาเยือนโดยแท้ และสาวงามลำดับหนึ่งแห่งสำนักยุทธ์ในจักรวรรดิฉินตะวันตกตอนนี้ ก็คือผู้นำ ‘นักรบอาชา’ จั๋วเหวินจวินแห่งทุ่งปิดภูผาของข้า เมื่อเทียบกับยอดหญิงที่ลือนามทั่วฟ้าดินพวกนี้แล้ว โสเภณีที่ใช้ความงามปรนนิบัติรับใช้ ถนัดแต่การเอาใจ ภายในไม่มีอะไรเลย จะเข้าตาได้อย่างไรกัน?”
เขามองฉิงเอ๋อร์ที่มีสีหน้าใจสลายและไม่อยากเชื่อด้านข้าง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “ทำไม? ข้าพูดอะไรผิดหรือ?”
ฉิงเอ๋อร์ก้มหน้าลงต่ำ ทำเพียงร้องไห้อย่างไร้เสียง
ตัวนางเกิดในตระกูลขุนนาง แต่มาเจอกับวิบากกรรม วงศ์ตระกูลตกอับ ต้องมาอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรอง โชคดีที่ถูกสถานเริงรมย์เลือกมา ดังนั้นจึงมีสิทธิพิเศษ ทว่ายามนี้ทั่วเมืองลือกันแต่เรื่องราวชวนฝันระหว่างฮวาเสี่ยงหรงและหลี่มู่ มีนางคณิกาคนไหนบ้างที่จะไม่อิจฉาฮวาเสี่ยงหรง ครั้งนี้ได้พบกับหวงเหวินหย่วน ฐานะเขาสูงส่ง พูดจาภูมิฐาน ถึงแม้จะไม่มีกวีสะท้านเมืองอย่างหลี่มู่ แต่ก็ทำให้ผู้ทรงอำนาจหลายฝ่ายแย่งกันขอคบค้า ฉิงเอ๋อร์มีใจให้เขาอย่างแท้จริง มอบทุกสิ่งให้กับคนผู้นี้ กระทั่งร่างกายก็ยังมอบให้ ด้วยหวังว่าจะได้รับความเอ็นดูเอาใจใส่ เช่นเดียวกับที่ฮวาเสี่ยงหรงได้รับ…
แต่ใครจะรู้…
เมื่อเห็นคนที่ร่วมเรียงเคียงหมอนตลอดหลายวันพูดเช่นนี้ออกมา หัวใจของฉิงเอ๋อร์เหมือนดำดิ่งสู่ถ้ำน้ำแข็ง
สายตาถากถางของหวงเหวินหย่วนราวกับกระบี่แหลมคมทิ่มแทงฉิงเอ๋อร์
ความรักลุ่มหลง มอบให้ผิดคน ใจจึงแตกสลายไม่มีชิ้นดี
ไป๋เซวียนด้านข้างพยายามอดกลั้นความโมโห โอบฉิงเอ๋อร์ไว้แนบอก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฐานะสูงส่ง “คุณชายหวงอย่าแล้งน้ำใจนักเลย เมื่อไม่มีใจให้สาวน้อยของข้า แล้วเหตุใด…”
“เหตุใดจึงช่วงชิงร่างกายของนางไป ใช่ไหม?” หวงเหวินหย่วนยิ้มเฉยชา กล่าวว่า “กินของดีมีราคามาเยอะแล้ว บางครั้งก็อยากลองชิมของป่า เปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง”
ผู้คนที่อยู่ล้อมรอบต่างหัวเราะร่ารับกัน
หญิงในหอนางโลม โสเภณีทั้งนั้น พูดนิดพูดหน่อยแล้วจะทำไมกัน
ใบหน้างามของฉิงเอ๋อร์ขาวซีดราวหิมะ ยืนขึ้นอย่างโงนเงน นางชายตามองหวงเหวินหย่วนแวบหนึ่ง จากนั้นจึงวิ่งออกไปด้วยความเจ็บปวด
หยดน้ำตาหลั่งริน แตกกระเซ็นบนพื้น
หวงเหวิ่นหย่วนวางแก้วสุรา เอ่ยเรียบๆ ว่า “หมดสนุกจริงๆ ร้องไห้กระซิกแบบนี้…ฮึ แม่เล้าไป๋ ให้นางไปแต่งหน้าใหม่ซะ อีกหนึ่งเค่อให้กลับมารับใช้” น้ำเสียงที่กล่าวห้ามสงสัยและห้ามขัดขืน
ไป๋เซวียนสะกดความโกรธเอาไว้ หันหลังแยกตัวออกไป
ที่ปรึกษาเถียนแห่งที่ว่าการเจ้าเมืองพลันยิ้มกล่าว “จริงๆ แม่นางฉิงเอ๋อร์ก็งดงามอยู่ แต่เมื่อเทียบกับฮวาเสี่ยงหรงแล้วยังห่างอยู่หลายขุม คุณชายหวง ข้ามีม้วนภาพฉายค่ายกลดาราที่ฮวาเสี่ยงหรงระบำเดี่ยวใต้แสงจันทร์ในคืนวันคัดเลือกคณิกาชั้นสูงด้วย เชิญคุณชายรับชม”
เขาหยิบม้วนภาพยาวม้วนหนึ่งออกมา ค่อยๆ คลี่ออก ลวดลายค่ายกลด้านบนหมุนวน ฉายภาพเหตุการณ์ช่วงหนึ่งออกมา เป็นภาพในคืนคัดเลือกคณิกาชั้นสูง ฮวาเสี่ยงหรงขับร้องและระบำเพลง ‘จันทร์เจ้าเมื่อใดเล่าเต็มดวง’ ภายใต้แสงจันทร์เย็นเยือก ท่วงท่างดงาม ร่อนลงมาจากฟากฟ้า ราวกับเทพธิดาจันทรามาจุติยังโลกมนุษย์ก็มิปาน งามชวนฝันจนดูไม่เหมือนเรื่องจริง…
ทุกคนมองกันตาค้าง
หวงเหวินหย่วนมองไปมองมา ลมหายใจก็ถี่กระชั้นอย่างอดไม่ได้
“บนโลกมีคนที่งามเช่นนี้ด้วยหรือ?”
เขาอุทาน
‘กลอนสาวงาม’ ที่หลี่มู่เคยขับขานบทนั้นปรากฏขึ้นในหัวทุกคนอย่างห้ามมิได้
“สตรีผู้นี้ ตอนนี้อยู่ที่ใด?” หวงเหวินหย่วนถามขึ้นด้วยสายตาเร่าร้อน
ที่ปรึกษาเถียนยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “อยู่ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ขอรับ หลี่มู่นำตัวนางกลับไปด้วย แต่เล่าลือกันว่าหลี่มู่ค่อนข้างให้ความเคารพในตัวนาง ตลอดมาจึงไม่เคยร่วมหลับนอนด้วย”
ดวงตาของหวงเหวินหย่วนเป็นประกาย
“ดี พรุ่งนี้ออกเดินทาง ไปรับตำแหน่งที่อำเภอขาวพิสุทธิ์กัน”
เมื่อที่ปรึกษาเถียนได้ยินประโยคนี้ก็แอบยิ้ม เป้าหมายวันนี้ของเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว กลับไปรายงานใต้เท้าเจ้าเมืองได้เสียที
ตอนนี้เอง ด้านบนของหอพลันมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น “อ๊า ฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์เจ้า…”
สาวงามที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นที่สุดแห่งสถานเริงรมย์แขวนคอจบชีวิตตนเองที่ห้องของนาง ทอดทิ้งโลกที่โหดร้ายใบนี้ไปพร้อมความอัปยศ ความผิดหวัง และใจที่แตกสลาย…
บรรดาหญิงสาวแห่งสถานเริงรมย์ต่างวิ่งกรูกันเข้าไป แต่ก็ช่วยเหลือไม่ทันกาล
เสียงร้องไห้ดังระงม
ฉิงเอ๋อร์เป็นหญิงที่เป็นมิตรและมีเมตตา หลังจากถูกไป๋เซวียนนำมาชุบเลี้ยง ฐานะในสถานเริงรมย์สูงส่งยิ่ง แต่นางกลับยังยิ้มแย้มกับทุกคน ซ้ำช่วยเหลือสหายในหอไว้ไม่น้อย เช่นเดียวกับฮวาเสี่ยงหรงก่อนหน้า ดังนั้นการตายของนาง จึงทำให้หญิงสาวมากมายกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
พวกหวงเหวินหย่วนเมื่อได้ยินเรื่องนี้ต่างก็เปลี่ยนสีหน้า
“เคราะห์ร้ายเสียจริง…” หวงเหวินหย่วนร้องฮึ “แม่เล้าไป๋ คืนนี้ส่งหญิงที่ดีที่สุดมาให้ข้าอีกคน ทางที่ดีต้องหน้าตาคล้ายฮวาเสี่ยงหรง…” เขาในตอนนี้ความใคร่เต็มเปี่ยม เพราะได้เห็นภาพการระบำใต้แสงจันทร์ของฮวาเสี่ยงหรง จิตใจจึงร้อนรุ่ม อยากหาที่ระบาย
……
“เจิ้นซีอ๋อง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”
หลี่กังมองดูศพของ ‘ห่วงคู่ปลิดชีพ’ เลี่ยวจื้อและศพที่เหลือ ในใจเหมือนคิดอะไรอยู่
พวกกบฏเจิ้นซีอ๋องลอบเข้ามาในแดนพายัพ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้ สี่คนนี้เป็นทหารเดนตายคนสนิทของเจิ้นซีอ๋อง แต่กลับไปปรากฏตัวที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ นี่หมายถึงว่าเจิ้นซีอ๋องตอนนี้กบดานอยู่ใกล้ๆ กับอำเภอขาวพิสุทธิ์หรือไม่กัน?
หรือไม่เจิ้นซีอ๋องอาจจะกบดานอยู่ที่เมืองฝูเฟิง?
เจ้าเมืองฝูเฟิงเจิ้งเติงเคอเคยเป็นบุตรบุญธรรมของเจิ้นซีอ๋อง เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันดี ทว่าตั้งแต่ค่ำคืนหิมะโปรยของการก่อกบฏ เจิ้งเติงเคอพยายามอธิบายให้ตัวเองหลายครั้ง และแสดงความซื่อสัตย์ต่อองค์รัชทายาท ทั้งยังจับกุมพรรคพวกองค์ชายสองในเมืองฝูเฟิงเสียใหญ่โต อย่างไรเสียก็เป็นขุนนางท้องถิ่นที่มีอำนาจทหารในมือ การกระทำเช่นนี้ถึงแม้จะยังไม่อาจลบล้างความน่าสงสัยของตนเองได้ แต่ก็ทำให้พวกองค์รัชทายาททำอะไรเขาไม่ได้ในยามนี้ ทำได้เพียงคอยวางแผนอยู่ห่างๆ
“เอาศพออกไป ตัดหัวเสียบประจาน แล้วส่งกลับไปเมืองหลวง แจ้งไปว่าถูกมือปราบเมืองฉางอันจับกุมสังหารได้ที่ด้านนอก ไม่ต้องพูดชื่อของหลี่มู่” หลี่กังโบกมือพูด
เจิ้งฉุนเจี้ยนรับคำ สั่งการให้คนนำศพออกไป
เพียงไม่นาน ที่ปรึกษาเถียนก็ขอเข้าพบ
“ใต้เท้า ทำการลุล่วงแล้วขอรับ เหวินหย่วนเป็นพวกตัณหาจัด พอเห็นการร่ายรำของฮวาเสี่ยงหรงก็อดใจไม่ไหว ตัดสินใจเดินทางไปอำเภอขาวพิสุทธิ์เพื่อรับตำแหน่งในเช้าวันพรุ่งนี้ และให้ข้าน้อยจัดการเรื่องหนังสือรับตำแหน่งของเขาให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้า” ที่ปรึกษาเถียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ม้วนภาพนั้นก็ถูกหวงเหวินหย่วนยึดไปแล้วขอรับ”
บนใบหน้าของหลี่กังปรากฏรอยยิ้มเย็นชา “ที่ปรึกษาเถียน ท่านว่าหวงเหวินหย่วนผู้นี้เป็นคนอย่างไร?”
ที่ปรึกษาเถียนตอบ “เป็นศิษย์จากสำนักเทพ พลังฝึกยากแท้หยั่งถึง แต่การวางตัวในสังคมแย่ไปนิด น่าจะเพราะฝึกฝนอย่างหนักอยู่แต่ในสำนัก ไม่เคยได้พบปะกับโลกภายนอก นิสัยหยิ่งยโสถือดี ไร้น้ำจิตน้ำใจ ทะนงในความคิดตนเอง ตัณหาจัด และมักใหญ่ใฝ่สูงเกินเหตุ!”