จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 322 ไฟไหม้รุนแรง
ครั้นเห็นท่าทางสนิทสนมกันขนาดนั้นของหลี่มู่กับไช่ไช่ ใบหน้าของชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ยอูลาปู้ตัวโกรธเคืองไม่พอใจ พูดเสียงต่ำอะไรบางอย่างกับขุนพลเกราะหนังแดงรูปร่างกำยำข้างกาย
ขุนพลคนนั้นมองหลี่มู่ เหมือนจะจำรูปร่างหน้าตาของหลี่มู่เอาไว้ให้ขึ้นใจ
หลี่มู่ไม่สนใจสักนิด
“น้องชายคนนี้หน้าตาไม่คุ้นเอาเสียเลย” โจวอันมองหลี่มู่
อู๋เป่ยเฉินกำลังจะพูดอะไร หลี่มู่ก็ชิงแทรกขึ้นก่อน “อ้อ เป็นแค่พ่อค้าเร่ต่างเมืองน่ะ วันนี้เพิ่งจะมาถึงด่านเมืองมังกร แต่ก่อนขุนพลอู๋เคยช่วยเหลือกิจการการค้าของข้า วันนี้ก็เลยมาเยี่ยมเยือนเสียหน่อย”
หากไม่จำเป็น หลี่มู่ก็ไม่อยากจะเปิดเผยร่องรอยของตัวเอง
โจวอันแค่นหัวเราะ
“ช่วงนี้สถานการณ์ชายแดนตึงเครียด มีสายสืบแฝงตัวเข้ามาในด่านเมืองมังกรบางส่วน ในเมืองไม่ปลอดภัยเอามากๆ น้องชายกล้ามาทำการค้าที่ด่านเมืองมังกรยามนี้ช่างใจกล้านัก หึๆ แต่ว่าก็ต้องระวังเอาไว้หน่อยล่ะ อย่างไรเสียมีดดาบก็ไร้ตา”
บนร่างของหลี่มู่ไม่มีคลื่นกำลังภายใน อีกทั้งเสื้อผ้าก็ต่างจากคนชายแดนอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นสายตาของโจวอันจึงมองว่าเขาเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของแม่เฒ่าไช่สองย่าหลาน อีกทั้งหลี่มู่ดูแล้วยังอายุน้อยขนาดนี้ แก่กว่าไช่ไช่ไม่เท่าไหร่ จึงใช้คำที่ว่าเหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1] รักใคร่สนิทสนมโดยไม่มีข้อสงสัยอะไรประเภทนี้กับทั้งเด็กทั้งสองได้ โดยเฉพาะท่าทางสนิทสนมของไช่ไช่กับหลี่มู่เมื่อครู่ก็เหมือนยิ่งพิสูจน์เรื่องนี้ได้
“ขอบคุณขุนพลโจวที่แนะนำ” หลี่มู่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
โจวอันเลิกคิ้ว คิดจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
เขาไม่สนใจหลี่มู่อีก แต่หันไปหาไช่ไช่และแม่เฒ่าไช่ “ทั้งสองคน ทูตอูลาปู้ตัวอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้ามีฐานะสูงส่ง ตำแหน่งเทียบได้กับชินอ๋องของจักรวรรดิ เขาหวังเหลือเกินว่าจะรับไช่ไช่เป็นธิดาบุญธรรม อีกทั้งจะรับนางไปอยู่ที่ราบทุ่งหญ้าเพื่อเลี้ยงดู หากทั้งสองคนเห็นด้วยพรุ่งนี้ก็ออกเดินทางได้เลย ไช่ไช่ชอบฝึกฝนกระบี่มิใช่หรือ วิหารเทพแมงมุมมีตำแหน่งเป็นที่เลื่อมใสบูชาในที่ราบทุ่งหญ้า เบื้องลึกเบื้องหลังล้ำลึก มีเคล็ดวิชาเทพมากมาย ไช่ไช่เลือกฝึกเอาได้เลย…หึๆ มีคนไม่รู้เท่าไหร่ต่างอิจฉาชะตาของไช่ไช่กันทั้งนั้น”
แม่เฒ่าไช่ส่ายหน้า
ไช่ไช่ก็ตอบไปเช่นกัน “ข้าพูดหลายรอบแล้วว่าไม่อยากไปที่ราบทุ่งหญ้า แล้วก็ไม่อยากเป็นลูกบุญธรรมอะไรของคนจากทุ่งหญ้าด้วย”
“โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” สีหน้าของโจวอันค่อยๆ เย็นชาขึ้นมา
อู๋เป่ยเฉินกล่าวอย่างโมโห “ขุนพลโจว ท่านคิดจะส่งไช่ไช่ให้กับคนที่ราบทุ่งหญ้าครั้งแล้วครั้งเล่า นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หรือชายแดนจักรวรรดิฉินตะวันตกต้องอาศัยการส่งเด็กสาวให้กับชาวที่ราบทุ่งหญ้าถึงจะรักษาสถานการณ์ได้?”
โจวอันพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ข้าก็คิดเพื่อไช่ไช่ นางยังเด็กนัก ไม่รู้จักการทะนุถนอม”
“เชิญพวกท่านไปเสียเถอะ” ไช่ไช่รังเกียจคนเบื้องหน้านี้นัก จึงเอ่ยไล่แขกตรงๆ
โจวอันถอนหายใจ หันกลับไปแปลคำพูดของไช่ไช่ให้พวกอูลาปู้ตัว
นักรบที่ราบทุ่งหญ้าทั้งหลายมีสีหน้าโกรธเคือง คิดจะพูดอะไร แต่อูลาปู้ตัวโบกมือ หัวเราะเย็นเยือกแล้วหมุนตัวจากไป
โจวอันก็ส่ายหน้า ก่อนนำทหารชุดเกราะใต้บัญชาการของ ‘กองกำลังกระบี่เหล็ก’ จากไป
สีหน้าของพวกอู๋เป่ยเฉินต่างโกรธแค้นกันหมด
หลี่มู่เห็นแล้วก็เข้าใจ กองกำลังชายแดนของต้าฉินที่ได้ชื่อว่าสมัครสมานสามัคคีราวแผ่นเหล็กมาหลายร้อยปี แท้ที่จริงแล้วน่ากลัวว่าคงไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างที่ลือกันข้างนอก นี่ยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าจักรวรรดิฉินตะวันตกตกต่ำแล้วจริงๆ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หลี่มู่ก็ไปจากเขตเรือนของไช่ไช่
ไช่ไช่มาส่งหลี่มู่ที่ปากตรอกอย่างอาลัยอาวรณ์
หลังจากปฏิเสธการมาส่งของไช่ไช่และพวกอู๋เป่ยเฉินไปแล้ว บนถนนขากลับ หลี่มู่ก็ยังคงขบคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมแม่เฒ่าไช่สองย่าหลานให้ไปจากชายแดนดีหรือไม่ เพราะหลี่มู่รู้สึกว่าที่ชายแดนเมืองมังกรแห่งนี้อวลไปด้วยบรรยากาศที่ประหลาดเป็นอย่างยิ่ง สงบเงียบจนน่ากลัวเหมือนช่วงสุดท้ายก่อนพายุฝนจะถล่มก็ไม่ปาน
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว
จู่ๆ หลี่มู่ก็หยุดฝีเท้าลงในตรอกแห่งหนึ่งที่ห่างจากโรงเตี๊ยมเมืองมังกรประมาณสามสี่สิบจั้ง
เพราะมีร่างเงาสี่ร่างขวางทางเขาเอาไว้
ยังห่างจากเวลาห้ามออกจากเคหสถานยามวิกาลของด่านเมืองมังกรอีกประมาณสองเค่อ คนบนถนนบางตา ดังนั้นยามที่เงาร่างนี้ปรากฏตัวเรียงแถวหน้ากระดาน หลี่มู่ก็รู้ว่าเป็นการจงใจขวางทางกัน อีกทั้งที่สำคัญคือสี่คนนี้หลี่มู่ล้วนเคยเห็นหน้า…นักรบทุ่งหญ้าที่ติดตามอยู่ข้างหลังอูลาปู้ตัวทูตแห่งวิหารเทพแมงมุมในวันนี้
หลี่มู่หัวเราะ
เขาไม่อยากไปถามถึงสาเหตุ พุ่งเข้าไปประจันหน้าทันที
หลายอึดใจผ่านไป หลี่มู่เดินออกมาจากตรอกแห่งนี้
และในตรอกมืดสายยาวข้างหลัง ก็เหลือเพียงเถ้าธุลีที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าสี่กอง
หลี่มู่กลับโรงเตี๊ยมเมืองมังกรมาพบกัวอวี่ชิง เมื่อได้รู้ว่าจอมยุทธ์ดาบชิวอิ่นยังมาไม่ถึง ทั้งยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมา แม้จะตกใจแต่ก็ไม่กระวนกระวาย ถึงแม้ได้พูดคุยกันเป็นเวลาสั้นๆ แต่ทั้งสองก็เชื่อในตัวชิวอิ่นว่าไม่ได้ตั้งใจผิดนัดเป็นแน่ น่ากลัวว่าคงจะเจอเรื่องกะทันหันอะไรเข้าจริง ดังนั้นรอต่อไปก็ไม่เป็นไร
ฟ้าค่อยๆ มืดลง
หลังจากเข้าสู่เวลาห้ามออกจากบ้านยามวิกาล ทั้งด่านเมืองมังกรก็ตกเข้าสู่ความเงียบงันในราตรีอันเนิ่นนาน แสงไฟจากที่ต่างๆ ค่อยๆ ดับลง ความมืดปกคลุมโดยสมบูรณ์
……
“พี่มู่จะต้องมาช่วยข้าแน่”
กลางดึกในฤดูหนาว ตรงจุดลึกของที่ราบทุ่งหญ้า หิมะแรกของปีที่ตกโปรยปรายไปทั่วหยุดลงหนึ่งชั่วยามแล้ว จากหิมะเกล็ดเล็กๆ เมื่อแรกเริ่มกลายเป็นหิมะเกล็ดใหญ่ในภายหลัง ทุ่งหญ้าแห้งเหี่ยวสีเหลืองมีหิมะขาวปกคลุมไปทั่ว ยามทอดสายตามองไป รอบๆ ขาวโพลนไปหมดท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุม
บนเนินหญ้าสูงราวสามสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง ซ่างกวนอวี่ถิงในชุดกระโปรงยาวผ้าไหมสีขาว ในอ้อมอกมีจิ้งจอกขาวตัวน้อยต๋าจี่ กำลังนั่งประจันหน้าพูดกับเจียงชิวไป๋ผู้มีผมยาวสีทองใบหน้างามสง่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตนอย่างดื้อดึงและหยิ่งทะนง
“จิ้วๆ” จิ้งจอกขาวน้อยขดตัวอยู่ในอ้อมอก ก็ช่วยแยกเขี้ยวคมขาววาววับไปทางเจียงชิวไป๋ด้วย
เจียงชิวไป๋เงยหน้ามองท้องฟ้าตลอด
ดวงดาวในที่ราบทุ่งหญ้าสว่างสุกใส ถึงแม้เป็นราตรีของเหมันต์ฤดูที่มีหิมะโปรายปราย ก็ยังคงมองเห็นดวงดาวใหญ่ขนาดกำปั้นแต่ละดวงกำลังทอแสงบนท้องฟ้า นับจากที่เข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้า ชายคนนี้ประเดี๋ยวๆ ก็มองไปยังผืนฟ้า เหมือนกับคนพเนจรที่เฝ้าใฝ่หาบ้านเกิดเมืองนอน
“เจ้าพูดมาพันรอบแล้ว ข้ารู้ หลี่มู่จะต้องมาช่วยเจ้าแน่ เพราะเขาเป็นชายที่มีความรับผิดชอบยิ่งนัก และคนที่ข้ารอก็คือเขา ดังนั้นไม่ต้องย้ำกับข้าแล้ว” เสียงพูดของเจียงชิวไป๋มีเสน่ห์มาก
หากตัดเรื่องที่เขาโจมตีค่ายกลเรือนดาบลักพาตัวคนมาทิ้งไป ซ่างกวนอวี่ถิงและจิ้งจอกสีขาวน้อยต๋าจี่เห็นพ้องต้องกันว่าเขาคือชายที่งามสง่าทรงภูมิและมีเสน่ห์ดึงดูดยิ่ง
ในอาณาบริเวณสามสิบจั้งซึ่งมีเขาเป็นศูนย์กลาง ไม่มีหิมะกล้ำกรายเข้ามา อากาศอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ แม้แต่ใบไม้ต้นหญ้าที่แห้งเหี่ยวข้างกายเขายังกลับมาเติบโตใหม่อีกครั้ง
กฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดไหลวนอยู่ในอาณาบริเวณสามสิบจั้งนี้
“พี่มู่จะต้องชนะเจ้าแน่” ซ่างกวนอวี่ถิงเอ่ยเสริม
เจียงชิวไป๋แย้มยิ้มบาง “เช่นนั้นหรือ? ข้าก็เฝ้ารอคอยเหมือนกัน ความรู้สึกที่พ่ายแพ้มันจะเป็นอย่างไร?”
จิ้งจอกน้อยต๋าจี่ร้องจิ้วๆ ขึ้นมา แปลได้ว่า ‘เจ้านี่มันช่างขี้โม้เสียจริง’
มันแยกเขี้ยวขาววาววับ ส่งเสียงร้องที่เต็มไปด้วยการข่มขู่ไปยังเจียงชิวไป๋
เจียงชิวไป๋ยิ้มตาหยีมองจิ้งจอกน้อยพลางเอ่ย “เจ้าตัวน้อยนี่น่ารักจริงๆ” ว่าแล้วเขาก็พลันอ้าปากขึ้น ฟันเขี้ยวสองซี่ที่แต่เดิมก็ไม่ได้ยาวอะไร จู่ๆ กลับงอกยาวใหญ่กว่าเดิม ยื่นออกมาจากปาก ราวกับเขี้ยวคมกริบของราชาหมาป่าที่เยิ้มด้วยน้ำลายสีเลือด
ในเสี้ยวขณะนี้ ใบหน้าที่งามสง่าของเจียงชิวไป๋ก็แปรเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดดุร้าย กลิ่นอายดั่งสัตว์ร้ายบรรพกาลทำเอาทุ่งหญ้าสั่นไหว แต่เพียงชั่วครู่เดียวก็หายไป
เป็นการแปลงร่างเป็นสัตว์ที่น่าสยดสยองอย่างหนึ่ง
จิ้งจอกขาวน้อยตกใจจนตัวสั่น ขดตัวกลับเข้าไปในอ้อมอกของซ่างกวนอวี่ถิงทันที มุดหัวเข้ากับหน้าอกนางเหมือนกับนกกระจอกเทศอย่างไรอย่างนั้น
เจียงชิวไป๋เก็บเขี้ยวของตนกลับลงไป ใบหน้ากลับมางดงามทรงภูมิเหมือนเดิม ก่อนพูดด้วยใบหน้าได้ใจ “สู้เรื่องเขี้ยว ใครกลัวใครเล่า”
ซ่างกวนอวี่ถิงปลอบโยนจิ้งจอกน้อยอย่างสงสาร นี่เป็นสัตว์เลี้ยงที่พี่มู่รักที่สุดเชียวนะ นางเอ่ยอย่างโมโหว่า “เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับข่มขู่สัตว์ตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง รังแกผู้ที่ด้อยกว่า ช่างน่ารังเกียจนัก”
“สัตว์ตัวเล็กๆ?” ในดวงตาของเจียงชิวไป๋แฝงด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าว “สายเลือดดั้งเดิมของเก้าหาง หากเป็นสัตว์เล็กแล้วละก็ เช่นนั้นสัตว์ใหญ่บนแผ่นดินคงเหลือไม่มากแล้ว”
ซ่างกวนอวี่ถิงมองจิ้งจอกขาวตัวน้อยอย่างสงสัย “สายเลือดเก้าหาง?”
นางคือเด็กน้อยในยุทธจักรที่ไร้เดียงสายิ่งกว่าหลี่มู่
เจียงชิวไป๋พยักหน้า “ท่าทางเจ้าจะไม่รู้ อืม พี่มู่ของเจ้าก็ใช่ว่าจะบอกอะไรเจ้าทุกเรื่องนี่นะ”
ใบหน้าของซ่างกวนอวี่ถิงฉายแววดูถูก
ใช้วิธีเหมือนเด็กๆ คิดจะสั่นคลอนตำแหน่งของพี่มู่ในใจของนางอย่างนั้นรึ? พี่มู่ไม่พูดจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ ไม่ว่าพี่มู่จะทำอะไรล้วนถูกต้องทั้งสิ้น
เจียงชิวไป๋ก็ไม่พูดอะไรอีก
จู่ๆ เขาพลันนึกเรื่องอะไรขึ้นได้
การแปลงร่างเป็นเทพหมาป่าของตนแม้จะแค่เสี้ยวขณะ แต่กลิ่นอายก็น่ากลัวเป็นอย่างมาก สายเลือดดั้งเดิมของเก้าหางยังหวาดกลัวตัวสั่น ทำไมซ่างกวนอวี่ถิงที่พลังฝึกเพิ่งจะถึงขั้นฟ้าประทานกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ตามหลักแล้วพริบตาเมื่อครู่ สตรีที่เหมือนเซียนแห่งวังจันทราควรตกใจหน้าเปลี่ยนสีสิถึงจะถูก
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
สายตาของเจียงชิวไป๋จ้องไปที่ร่างของซ่างกวนอวี่ถิง ประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นดวงตาของเขาก็ยิ้มหยี
……
เสียงร้องน่าสังเวชอเนจอนาถ ปลุกด่านเมืองมังกรที่อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบยามราตรีให้ตื่นขึ้น
ต่อมาแสงเพลิงหลายกลุ่มจากที่ต่างๆ ในด่านเมืองมังกรก็พวยพุ่งขึ้นฟ้า ทำให้ฟ้ายามราตรีมืดมิดส่องสว่าง จากนั้นก็เป็นเสียงกลองศึกประสานด้วยเสียงตะโกนสังหาร กองกำลังชายแดนที่สวมชุดเกราะสีขาวนวลพุ่งออกไปจากค่าย ฝ่าแนวป้องกัน แปลงเป็นคลื่นไหลบ่าสีขาวนวลพุ่งโจมตีไปทางประตูเมืองฝั่งบูรพาของด่านเมืองมังกร…
“กองกำลังกระบี่เหล็กก่อกบฏ”
“โจวอันก่อกบฏแล้ว”
เสียงตะโกนโกรธแค้นดุดันแต่ละเสียงดังมาจากทุกสารทิศ
ใครก็คิดไม่ถึงว่า วิกฤตชายแดนครั้งแรกนับจากที่ฉินตะวันตกฟื้นฟูจะเกิดจากภายในของกองกำลังทหารชายแดน แสงเพลิงที่ลุกแผดเผาท้องฟ้ายามราตรีของด่านเมืองมังกร ได้จุดไฟแห่งภัยพิบัติที่จะหอบม้วนไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจวขึ้นมา
……………………………………
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึงคู่ชายหญิงที่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก ภายหลังสามารถใช้สื่อความหมายว่าคู่เด็กชายหญิงที่เล่นด้วยกัน สนิทสนม และพัฒนาความสัมพันธ์เป็นคนรักเมื่อเติบโตได้