จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 332 ความสูญเสียของเผ่ายิงจันทร์
ที่ราบหิมะกว้างใหญ่ มองไปสุดลูกหูลูกตา
พายุหิมะฤดูหนาวปีนี้รุนแรงมากว่าปีที่ผ่านๆ มาเล็กน้อย ห่างจากหิมะใหญ่ครั้งแรกเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน พายุหิมะครั้งที่สองก็ม้วนกวาดเข้ามายังที่ราบทุ่งหญ้าอีกครั้ง
ขณะที่อยู่บนอากาศ กัวอวี่ชิงมองพื้นที่ขาวโพลนกว้างใหญ่ด้านล้าง มีสีหน้าเห็นใจความทุกข์ของผู้อื่นปรากฏให้เห็น
ในฐานะคนเคยใช้ชีวิตอยู่บนที่ราบทุ่งหญ้า เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า สภาพพายุหิมะเช่นนี้สำหรับชาวที่ราบทุ่งหญ้าแล้วหมายถึงอะไร คนบนโลกรู้เพียงว่าชาวที่ราบทุ่งหญ้าผิวกร้านกล้ามเนื้อหนาและกินเนื้อดิบ แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องทำเช่นนี้ ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติอันเลวร้าย การสืบเชื้อสายของแต่ละชนเผ่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อพบกับความหนาวเหน็บแห่งเหมันต์เข้าละก็ เพียงไม่กี่เดือนผ่านไป ประชากรชาวที่ราบทุ่งหญ้าจะลดลงอย่างรวดเร็วราวหนึ่งในสาม
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไม ชาวที่ราบทุ่งหญ้าจึงปรารถนาและอยากได้ผืนดินของฉินตะวันซ่งเหนือเช่นนี้
เพราะว่าพวกเขาก็อยากจะมีผืนดินอุดมสมบูรณ์สักผืน เพื่อให้ชนเผ่าได้สืบทอดต่อไป ไม่ต้องมาดิ้นรนลำบากในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ต้องมาเห็นญาติพี่น้องของตนจากโลกใบนี้ไปเพราะอากาศหนาวเยือกหลายต่อหลายครั้ง
เรื่องการแก่งแย่งทรัพยากรเพื่อดำรงชีพ ก็มีศึกสงครามเป็นหัวข้อหลักตลอดกาลมาแต่ไหนแต่ไร
นี่เป็นโจทย์ยากข้อหนึ่ง หลายพันปีผ่านมาก็ยังไม่มีใครสามารถแก้ได้ ซ้ำความแค้นยิ่งผูกยิ่งฝังลึกมากขึ้น ความขัดแย้งระหว่างชาวที่ราบทุ่งหญ้ากับฉินตะวันตกและซ่งเหนือ นับวันก็ยิ่งไม่อาจไกล่เกลี่ยกันได้แล้ว
หลี่มู่กลับไม่ได้คิดเยอะเช่นนั้น
เขากำลังพิจารณาว่าจะหาตัวซ่างกวนอวี่ถิงบนทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ได้อย่างไร
เรื่องราวดูซับซ้อนกว่าที่เขาคิดเอาไว้
บนตัวของซ่างกวนอวี่ถิงมีเครื่องประดับพวกตราหยกหรือหยกย้อยอยู่บางส่วน เป็นของที่เขามอบให้ก่อนหน้า สามารถปล่อยกลิ่นอายเพื่อเป็นเบาะแสนำทาง ทว่าตั้งแต่เข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้า กลิ่นอายเหล่านี้หายไปจนหมด เห็นได้ชัดว่าถูกคนปิดกั้นเอาไว้ และผู้ที่ทำถึงขั้นนี้ได้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นหนึ่งในเก้ายอดคนใต้หล้าเจียงชิวไป๋จ้าววิหารเทพหมาป่า การคงอยู่ของเทวะคนนี้สามารถทำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ หลี่มู่ก็ไม่ได้รู้สึกเกินคาดนัก
นอกจากนี้หลี่มู่ยังใช้วิชาเต๋าค้นหาคนบางอย่าง โดยใช้สิ่งของติดตัวซ่างกวนอวี่ถิงเป็นตัวนำเพื่อค้นหา น่าเสียดายที่ยังคงขาดๆ หายๆ
พลังฝึกและระดับความน่ากลัวของเจียงชิวไป๋ ห่างชั้นกว่าคู่มือทุกคนที่หลี่มู่เคยพบมา ในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้หลี่มู่ไม่อาจลงมือได้
ส่วนกัวอวี่ชิงก็ไม่ได้เข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้านานแล้ว ไม่ค่อยรู้ความเปลี่ยนแปลงบางส่วนบนท้องทุ่งหญ้า
“ตำแหน่งของวิหารเทพหมาป่าไม่ได้อยู่ถาวร ผลุบโผล่ไปมาไม่หยุดนิ่ง ดังนั้นข้าก็ไม่สามารถหาที่อยู่วิหารหมาป่าในตอนนี้ได้เหมือนกัน” กัวอวี่ชิงจิตใจห่อเหี่ยว จากไปนานหลายปี ครั้งนี้กลับมาอีกครั้งก็รู้สึกว่าทุกสิ่งเหมือนเดิมเว้นแต่ตัวคน บรรดาพี่น้องที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ตอนนี้กระจัดกระจายไปราวหมอกควันจาง ยากจะรวมตัวกันใหม่ ยิ่งกว่านั้น เมื่อลั่นคำสาบานว่าจะออกจากที่ราบทุ่งหญ้า ก็เท่ากับตัดขาดเหตุและผลระหว่างวิหารเทพหมาป่าไปแล้ว เขาจึงไม่อาจมีปฏิกิริยาใดๆ ต่อวิหารเทพหมาป่าได้อีก
ทั้งสองคนบินแฉลบอยู่ด้านบนที่ราบหิมะพลางค้นหา
สองวันก่อนหน้า ทั้งคู่ออกจากด่านเมืองมังกรมา
ด่านชายแดนสิบเมืองเก้าพื้นที่ของฉินตะวันตก ในตอนนี้กลายเป็นซาก ทางราชวงศ์และกรมทหารมีปฏิกิริยาตอบสนองมา แต่หากจะช่วงชิงเมืองชายแดนคืนทันทีนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ การระดมพลเพื่อทำสงครามไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิด นับประสาอะไรกับที่จักรพรรดิแห่งฉินตะวันตกยังอยู่ระหว่างการเก็บตัว ทหารพันธมิตรของซ่งเหนือ ที่ราบทุ่งหญ้ารวมถึงขั้วอำนาจลึกลับที่เข้าโจมตีฉินตะวันตก เหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากพลังบางอย่าง จึงกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง และไม่ได้ถอยหนีไปเพราะการปรากฏตัวที่ด่านชายแดนของอ๋องไท่ไป๋หลี่มู่แห่งฉินตะวันตกเลย
ยังดีที่ด่านชายแดนของฉินตะวันตกมีขุนพลลือชื่อ ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้าเฝ้ารักษาอยู่ ดังนั้นจึงยังคงรักษาสถาพการณ์พ่ายแต่ไม่ยับเอาไว้ได้ พื้นที่ต่างๆ ยังปะทุศึกเล็กใหญ่อยู่ สถานการณ์ระหว่างทหารพันธมิตรกับทหารชายแดนฉินตะวันตกตัดสลับ เดี๋ยวแพ้เดี๋ยวชนะ
ยี่สิบปีก่อน จักรพรรดิฉินหมิงอายุหกสิบเจ็ด ในกลุ่มสี่ยอดตำนานในการสอบเคอจวี่ครั้งที่สี่สิบสองของฉินตะวันตก ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้าทุกวันนี้กลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของทหารชายแดนฉินตะวันตก นอกจากปกครองทหารรักษาการณ์สิบเมืองเก้าพื้นที่แล้ว ยังมี ‘กองพันโองการฟ้า’ อีกสี่แสนนายซึ่งเป็นถึงชั้นยอดในหมู่ชั้นยอดของทหารชายแดน หลังจากเคลื่อนพลสู่สนามรบก็รักษาสภาพครึ่งต่อครึ่งไว้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ภายในทัพชายแดนฉินตะวันตก คนมากมายตั้งความหวังว่าปฐมเทวะหลี่มู่ไท่ไป๋อ๋องแห่งจักรวรรดิจะมาดูแลสิบเมืองเก้าพื้นที่และคลี่คลายสถานการณ์นี้ รองขุนพลของหลี่หยวนป้าก็เคยเข้ามาเชิญหลี่มู่ไปคุมกองพันโองการฟ้าด้วยตนเอง แต่หลี่มู่ปฏิเสธ ท่ามกลางการซักถามและสายตาที่ไม่เข้าใจ หลี่มู่ไปจากด่านชายแดน ตรงไปยังที่ราบทุ่งหญ้าทางตะวันออกเพื่อเรื่องส่วนตัว
ผลงานการใช้หนึ่งดาบขวางกองทัพนับพันนับหมื่น ค่อยๆ ถูกลืมเลือนระหว่างการจากไปในครั้งนี้
เป็นถึงอ๋องแห่งจักรวรรดิ กลับไม่ใจกว้างปกป้องบ้านเมือง เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของหลี่มู่เริ่มได้รับคำตำหนิวิพากษ์วิจารณ์
ทว่าหลี่มู่จะสนใจหรือ?
สำหรับฉินตะวันตก เขาไม่เคยรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของและเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาแต่ไหนแต่ไร
ตอนที่องค์ชายสองจะสังหารเขา หลี่กังต้องการใช้ประโยชน์เขา หนังสือแต่งตั้งจากสำนักตรวจการที่ส่งออกไปก็ถูกดึงกลับกลางคัน องค์รัชทายาทก็จะใช้เขาระงับความพิโรธที่อาจเกิดขึ้นของจักรพรรดิ…ด้วยตำแหน่งไท่ไป๋อ๋องจอมปลอมนี้ คิดจะให้เขาไปปกป้องบ้านเมืองหรือ? ล้อเล่นกันหรืออย่างไร
หลี่มู่สนใจแค่สหายสนิทข้างกายเท่านั้น
ส่วนเจ้าพวกมีอำนาจทั้งหลายน่ะหรือ?
ฉิบหายไปให้หมดนั่นละ
พายุหิมะกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด ทั้งสองคนบินทะยานอยู่กลางอากาศ
วิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่ ความเร็วไร้เทียนมทานในโลกหล้า แต่กลับไม่สามารถแสดงออกมาอย่างเต็มที่ เนื่องจากทุกจุดที่ผ่าน เขาต้องใช้พลังจิตวิญญาณกับเนตรสวรรค์มองไปยังพื้นดิน ค้นหาเบาะแสที่ซ่างกวนอวี่ถิงทิ้งไว้ เมื่ออยู่ห่างจากซ่างกวนอวี่ถิงในระยะสิบลี้ เขาจะระบุตำแหน่งที่แม่นยำได้ โดยที่ไม่ถูกสกัดกั้นจากขั้นเทวะเจียงชิวไป๋ด้วย
พื้นที่ของที่ราบทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล พูดถึงเพียงความกว้าง ก็ยังเท่ากับพื้นที่ของจักรวรรดิใหญ่ทั้งสองอย่างฉินตะวันตกและซ่งเหนือรวมกัน
ท่ามกลางพายุหิมะ ดวงตาทั้งสองของหลี่มู่ถลึงจ้องจนเหมือนลูกกระพรวนทองแดง ตรงหว่างคิ้วเปิดออก แสงเทพสายหนึ่งยิงออกมา เหมือนกับไฟส่องสำรวจมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
“เอ๋? เหมือนจะพบคนคุ้นเคย”
หลี่มู่พลันสัมผัสได้ถึงบางอย่าง
ห่างออกไปราวร้อยลี้ บนที่ราบหิมะ การฆ่าฟันฉากหนึ่งกำลังดำเนินอยู่
“ทางนั้นเหมือนจะเป็นพื้นที่ของเผ่ายิงจันทร์” กัวอวี่ชิงก็สัมผัสได้เช่นกัน จึงช้อนตามองออกไป สายตาทะลุผ่านลมฝน
……
ห่างไปออกร้อยลี้
สงครามปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน
หัวหน้าเผ่ายิงจันทร์เถี่ยมู่เจินในมือกำดาบยาว เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด บุกเข้าสังหารอยู่ด้านหน้าสุดร่วมกับทหารกล้าของเผ่า เลือดสดสาดพรมลงบนที่ราบหิมะ ย้อมหิมะจนแดงฉาน เสียงหอนของหมาป่า เสียงตะโกนเข่นฆ่า เสียงร้องครวญคราง ดังผสมปนเปท่ามกลางสายลมเหนือหวีดหวิว ฟังไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ความตายกลับย่างกรายมาถึงพื้นที่หุบเขาแม่น้ำผืนนี้อย่างเด่นชัด
การจู่โจมกะทันหันครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงหนึ่งก้านธูปก่อนหน้า
ผู้ลอบโจมตีที่มาจากชนเผ่าใต้การควบคุมของวิหารเทพแมงมุม อาศัยเวลายามพลบค่ำ ยืมลมพายุอำพรางตัว จนกระทั่งเข้าโจมตีกำแพงล้อมเมืองหยางจานที่เผ่ายิงจันทร์จัดวางขึ้นชั่วคราวถึงถูกพบตัว สงครามเปิดฉากในชั่วพริบตา จำนวนผู้บุกรุกไม่มาก แต่ทุกคนเป็นยอดฝีมือ ในนั้นมีองครักษ์แมงมุมมารมาร่วมด้วย เพียงไม่นานก็ทำให้นักรบของชนเผ่ายิงจันทร์ส่วนใหญ่บาดเจ็บและล้มตาย
“พวกเจ้ากล้าฝ่าฝืนกฎที่วิหารเทพหมาป่ากำหนด เข้าโจมตีชนเผ่าที่ราบทุ่งหญ้าในฤดูหนาวอย่างนั้นหรือ?” เถี่ยมู่เจินตะโกน
บนที่ราบทุ่งหญ้ามีกฎเหล็กแห่งการดำรงชีวิตอยู่ วิหารเทพหมาป่าที่ดูแลจัดการท้องทุ่งหญ้าห้ามชนเผ่าใดๆ เข้าโจมตีกันและกันหลังจากที่เหมันตฤดูมาถึง กว่าพันปีมานี้ นี่เป็นกฎเหล็กที่ห้ามฝ่าฝืน เพื่อรับประกันให้แต่ละชนเผ่าในที่ราบทุ่งหญ้าคงอยู่ต่อไปได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ชนเผ่าที่ลำบากจากลมหนาวต้องมาล้มตายเพราะสงครามแย่งชิงระหว่างชนเผ่า แต่ตอนนี้ ชัดเจนว่าการจู่โจมกะทันหันเช่นนี้ทำลายกฎเหล็กนั้นลงแล้ว
ไม่นึกว่าจะมีคนกล้าฝ่าฝืนปณิธานของวิหารเทพหมาป่าด้วย?
นักรบของเผ่ายิงจันทร์ทุกนายต่างรู้สึกโกรธแค้นเป็นที่สุด
สงครามเป็นโศกนาฏกรรมอย่างยิ่ง
เถี่ยมู่เจินนำองครักษ์คนสนิทของตนบุกตะลุยสังหารไม่หยุด เพื่อหยุดไม่ให้สถานการณ์ทรุดหนัก
“ส่งวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ กับธนูเหนี่ยวตะวันมา มิเช่นนั้นหลังจากวันนี้ บนโลกจะไม่มีเผ่ายิงจันทร์อีกต่อไป”
เงาร่างเล็กเตี้ยราวกับเทพแห่งความตายร่างหนึ่งแหวกพายุหิมะ ร่อนลงมายังสนามรบ
ใต้เท้าของเขาเหยียบแมงมุมยักษ์แปดขาสีขาวหิมะสูงราวสามจั้งตัวหนึ่ง เมื่อกรงเล็บยักษ์เหมือนใบมีดเคียวของแมงมุมยักษ์วาดออกมา ทหารกล้าเกรียงไกรของชนเผ่ายิงจันทร์กว่าสิบนายถูกฟันขาดจนเป็นกองเนื้อ
“จ้าววิหารเทพแมงมุม?” รูม่านตาเถี่ยมู่เจินหดเล็กในฉับพลัน
นับตั้งแต่ปีที่แล้วมา ขั้วอำนาจของวิหารเทพแมงมุมบนที่ราบทุ่งหญ้าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คอยแย่งผู้เลื่อมใสกับวิหารเทพหมาป่า ควบคุมหลายสิบชนเผ่าตามลำดับก่อนหลัง ว่ากันว่าเทพแมงมุมที่วิหารเทพแมงมุมกราบไหว้สำแดงฤทธิ์ จุติร่างเทพเจ้าตัวจริงลงมา มีพลังท้ารบกับวิหารเทพหมาป่าที่ทรงอำนาจเมื่อปีก่อนได้ และได้ก่อสงครามใหญ่ขึ้นหลายครั้งบนที่ราบทุ่งหญ้า หนึ่งปีที่ผ่านมา การปะทะกันของชนเผ่าบนทุ่งหญ้ากว่าร้อยครั้ง เกินครึ่งล้วนมีเงาของวิหารเทพแมงมุมอยู่เบื้องหลัง ทำเอาพันธมิตรชนเผ่าที่ราบทุ่งหญ้าที่เดิมทีภายในสงบสุขต้องเกิดการนองเลือด
ผู้อาวุโสเผ่ายิงจันทร์ก็ตายลงในสงครามการของชนเผ่าที่วิหารเทพแมงมุมวางแผนก่อการขึ้นครั้งหนึ่ง
หลังจากเถี่ยมู่เจินกลับมาจากการช่วยเหลือกัวชิงเยียนธิดาเทพแห่งวิหารเทพหมาป่าที่เมืองฉางอันได้ไม่นาน ก็รับตำแหน่งหัวหน้าเผ่ายิงจันทร์ต่อ ปกครองเผ่ายิงจันทร์ทั้งหมด แม้ใจอยากจะแก้แค้น แต่อำนาจของวิหารเทพแมงมุมเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ครั้นพ่ายแพ้หลายต่อหลายครั้งก็จำต้องพักฟื้นกันก่อน ถึงกระทั่งต้องอพยพชนเผ่าหลายครั้ง ไม่คิดว่า ท่ามกลางพายุหิมะครั้งใหญ่นี้ วิหารแมงมุมจะบุกมาถึงที่ด้วยตนเอง
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของจ้าววิหารเทพแมงมุมที่ว่ากันว่าบังคับแมงมุมหิมะได้ เถี่ยมู่เจินก็ตระหนักได้ทันที ว่าช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดมาถึงแล้ว
จ้าววิหารเทพแมงมุม ตอนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองบนที่ราบทุ่งหญ้ารองจากจ้าววิหารเทพหมาป่า เล่าลือกันว่าหลบหนีเอาตัวรอดจากจ้าววิหารเทพหมาป่ามาได้หลายครั้งหลายครา เพราะมีเทพปีศาจนอกพิภพคอยช่วยเหลือ ผู้แข็งแกร่งแห่งทุ่งหญ้าและหัวหน้าชนเผ่าที่ตายด้วยน้ำมือเขามีมากกว่าหนึ่งร้อย ซ้ำยังเล่าลือกันอีกว่า เพียงแค่เขาปรากฏตัวและลงมือ ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าใดก็ต้องพินาศลง
“สังหาร”
ร่างเถี่ยมู่เจินเปลี่ยนเป็นแสงรุ้งเส้นหนึ่ง พุ่งตรงไปสังหารจ้าววิหารเทพแมงมุม
“ริเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง”
มือของจ้าววิหารเทพแมงมุมมีแสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งออกมา
ตูม!
เถี่ยมู่เจินลอยกระเด็นออกไปกลางอากาศ ปากพ่นเลือดสดออกมา
ความห่างชั้นของพลังสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป
“ทำตามข้ารอด ขวางข้าต้องตาย…ตายเสียเถอะ” จ้าววิหารเทพแมงมุมเย็นชาไร้จิตใจ ใบหน้าที่แยกแยะยากโหดเหี้ยมถึงที่สุด จากนั้นพลันสำแดงไม้ตายพลางบังคับแมงมุมหิมะยักษ์ ขาใหญ่ราวกระบี่สวรรค์แทงเข้าหาเถี่ยมู่เจิน หมายจะสับเขาให้กลายเป็นก้อนเนื้อ ทหารกล้าเผ่ายิงจันทร์ข้างกายพากันต้านไว้ แต่ก็ไม่อาจขวางการกวาดเข้ามาของแมงมุมหิมะยักษ์ได้ ต่างกระเด็นออกไปดุจตุ๊กตาหิมะที่แตกกระจาย
ฟุ่บ!
แสงธนูทองสายหนึ่งยิงตรงเข้ามากลางสนามรบอย่างกะทันหัน ม้วนเอาหิมะลอยกระจายเต็มท้องฟ้า เสียงระเบิดตูมดังขึ้น ขาข้างหนึ่งของแมงมุมหิมะยักษ์ระเบิดราวกับรูปสลักน้ำแข็งแตกทลาย
กลิ่นอายพลังธนูที่น่าอัศจรรย์คงอยู่นานไม่จางหาย
“หืม? วิชาสัมผัสจิตดุจธนู? ธนูเหนี่ยวตะวัน?” จ้าววิหารแมงมุมหันหน้ามองไป “กัวชิงเยียน ข้าไล่สังหารเจ้าอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นจนได้ วันนี้มาจบเรื่องทั้งหมดกันเถอะ เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้ว”