จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 336 สองในเก้ายอดคนใต้หล้า
แม้แต่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกของวิหารเทพหมาป่าก็ยังทะลุเข้ามาได้?
ครั้งนี้เจียงชิวไป๋ถูกทำให้ตกตะลึงจริงๆ แล้ว
ความเป็นมาของวิหารเทพหมาป่าพิเศษไร้ใดเทียม สืบทอดต่อมาจากยุคสมัยไกลโพ้น เป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายมากในโลก ดังนั้นขอแค่เขาไม่ยินยอม ต่อให้เป็นเก้ายอดคนอื่นๆ ก็ไม่อาจบุกเข้ามาในวิหารเทพหมาป่าได้ แต่ว่าเจ้าสุนัขตัวนี้กลับเหมือนวิญญาณ ก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหมดอย่างไร้สุ้มเสียงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า…แต่ปัญหาคือ ต่อให้เป็นวิญญาณก็ไม่มีทางทำได้ถึงขั้นนี้นี่
เขาก้มลงมองสุนัขประหลาดตาสองสีตัวนี้
มองอย่างตั้งใจ
ทว่า จากใบหน้าของอีกฝ่ายก็เห็นเพียงแค่รอยยิ้มไม่เต็มเต็งเท่านั้น โดยเฉพาะยามเจียงชิวไป๋มองมัน มันก็เอียงคอ ใบหน้าบิดไปมาเสมือนน้ำเต้าที่แกว่งขึ้นลง เหมือนตัวโง่งมจริงๆ
แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือหรือ?
หรือว่าโง่ทึ่มจริงๆ
เจียงชิวไป๋ชักจะไม่ไหวแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นจ้าววิหารเทพหมาป่าที่วาจาคมคายมีแต่หยอกเย้าคนอื่น เคยถูกคนอื่นล้อเล่นเช่นนี้เมื่อไรกัน
แต่คิดไปคิดมา ตนเองคล้ายจะคุมสุนัขตัวนี้ไม่อยู่ ทำอะไรกับมันไม่ได้เลย จึงทำได้เพียงยอมแพ้ไปเท่านั้น
“เดินเถอะ”
เขาเหยียบเข้าไปในปากของหมาป่ายักษ์
ซ่างกวนอวี่ถิงเดินตามอยู่ด้านหลัง
นางมองเห็นสุนัขประหลาดกระโดดมาที่หน้าประตู ยกขาหลังขึ้น ฉี่รดไปกองหนึ่งที่ประตูใหญ่ จากนั้นกระโดดโลดเต้นตามมา เจียงชิวไป๋ที่อยู่ข้างหน้าเมื่อเห็นฉากนี้ก็โมโหจนคิ้วกระตุก แต่ทำอะไรไม่ได้ จึงทำเป็นเหมือนไม่เห็นเสีย ทำเอานางอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ทางเข้าวิหารเทพหมาป่าแคบยาว ราวกับเป็นปากหมาป่าจริงๆ สองด้านคือเสายักษ์สีขาวที่ค่อยๆ หยาบหนาและวางสลับกันเป็นแนวยาว ลักษณะดุจเขี้ยวหมาป่า บันไดหินใต้เท้าทอดยาวเข้าไปส่วนลึกของปากหมาป่าทีละขั้นๆ
คนที่สร้างวิหารหมาป่าขึ้นในยามนั้น จะต้องทุ่มเทมากเป็นแน่ ต้องมีจิตใจศรัทธาต่อหมาป่าอย่างแรงกล้า จึงเลียนแบบทุกอย่างจนถึงระดับที่แทบเหมือนหมาป่ายักษ์ได้ไม่ผิดเพี้ยน
บันไดทอดยาวลงไป ประหนึ่งเข้าสู่ส่วนกลางของภูเขา
ทางเดินทรงกลมสายหนึ่ง
กำแพงของทางเดินสลักลวดลายละเอียดอ่อน ลักษณะเหมือนคลื่น
เจียงชิวไป๋เดินอย่างเนิบช้า
เขาคุ้นเคยกับทุกอย่างที่อยู่ในนี้เป็นที่สุด
ซ่างกวนอวี่ถิงกลับพยายามสังเกตทุกสิ่งรอบๆ อย่างใคร่รู้
นางฝึกวิชาก่อนกำเนิด พลังการจดจำเพิ่มมากขึ้น ตลอดทางเข้ามาในความมืดล้วนจำไว้ชัดเจนในสมอง บางครั้งนางยังทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างที่ตนกับหลี่มู่เท่านั้นถึงจะเข้าใจเอาไว้ เพราะนางรู้ว่าพี่มู่ต้องตามมาที่ราบทุ่งหญ้าเพื่อช่วยเหลือตนแน่นอน เมื่อเห็นสัญลักษณ์พวกนี้จะได้เดินผิดทางน้อยลง
เจียงชิวไป๋เห็นทั้งหมดกับตา แต่ไม่ได้ห้ามอะไร
ความจริงตลอดทางมานี้ ซ่างกวนอวี่ถิงแอบทิ้งสัญลักษณ์ไว้มากมาย เขาเห็นทั้งหมดแล้ว
ความคิดของแม่นางน้อย เขาเข้าใจดี ทว่าไม่ได้เปิดโปง
ตลอดทาง เสียงฝีเท้าดังขึ้นในทางเดินอย่างชัดเจน สะท้อนก้องเป็นระยะ
สุนัขประหลาดตาสองสีวิ่งไปมา ตลอดทางทิ้งสัญลักษณ์สร้างอาณาเขตของตนเองไม่หยุด เหมือนสุนัขบ้านซนๆ ตัวหนึ่งไม่ผิด
ซ่างกวนอวี่ถิงในที่สุดก็อดถามขึ้นไม่ได้ “ทั้งวิหารเทพหมาป่า มีท่านอยู่แค่คนเดียวหรือ?”
ตั้งแต่เดินเข้ามา ทางเดินอันกว้างโล่ง แสงสลัวที่อ้างว้าง อากาศแทบหยุดเคลื่อนไหวเหมือนน้ำนิ่ง ทางเดินที่ไม่มีฝุ่นเปื้อนนี้ไร้ซึ่งเงาคน กระทั่งเสียงสะท้อนยามลงเท้ายังเต็มไปด้วยความหนาวยะเยือกที่ทำให้รู้สึกอ้างว้าง วิหารเทพหมาป่าแห่งนี้ไม่ต่างจากสุสานเลย
“แน่นอนสิ วิหารเทพหมาป่า ที่สถิตของทวยเทพ มีเพียงเทพที่สามารถเข้ามาได้” เจียงชิวไป๋เอ่ยขึ้นด้วยความทระนง
ช่างเป็นคนที่หลงตัวเองเสียจริง
ซ่างกวนอวี่ถิงเอ่ยต่อ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านยังพาข้าเข้ามาอีก ข้าไม่ใช่เทพเสียหน่อย” ในอ้อมอกของนางยังคงกอดจิ้งจอกขาวน้อยต๋าจี่เอาไว้
เจียงชิวไป๋หยุดฝีเท้าลง ยิ้มเล็กน้อย กล่าวตอบว่า “เจ้าก็ใกล้จะเป็นเทพแล้ว” พูดจบ ก็ชี้นิ้วไปยังจิ้งจอกขาวในอ้อมกอดนาง “มันก็เหมือนกัน” นับตั้งแต่เข้ามาในวิหารเทพหมาป่า จิ้งจอกขาวน้อยรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างชัดเจน เหมือนกำลังหวาดกลัว และราวกับกำลังเฝ้ารออะไรอยู่ อารมณ์แปรปรวนมาก ซ่างกวนอวี่ถิงจำต้องใช้แรงถึงจะกอดมันไว้ได้
ตอนนี้เอง สุนัขประหลาดตาสองสีวิ่งหอบแฮ่กๆ เข้ามาใกล้
มันคลับคล้ายฟังมนุษย์พูดรู้เรื่อง ตาสีฟ้าและแดงทั้งสองจ้องมองเจียงชิวไป๋ หางกระดิกจนเหมือนกังหัน ชัดเจนว่ากำลังถาม ‘แล้วข้าล่ะ แล้วข้าล่ะ?’
มุมปากของเจียงชิวไป๋กระตุกเล็กน้อย ไม่พูดอะไร หันกลับแล้วเดินหน้าต่อ
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นอะไร
ในใจเขารู้สึกรำคาญสุนัขตัวนี้ แต่กลับไม่มีวิธีไล่ออกไปได้
ความรู้สึกไร้กำลังเช่นนี้ ครั้งก่อนที่ได้เจอก็หลายปีก่อนหน้านี้กระมัง
ซ่างกวนอวี่ถิงหัวเราะออกมา
ตลอดทางที่เดินมา นางค่อยๆ เปลี่ยนความคิดต่อเจียงชิวไป๋ ความเป็นศัตรูค่อยๆ หายไป
“หลายปีมานี้ ที่นี่มีแต่ท่านคนเดียว? ท่านไม่เหงาบ้างหรือไร?” ซ่างกวนอวี่ถิงถามขึ้นอีก นางนึกไปถึงวันคืนที่ตนเองอยู่ในหอนางโลมหน่วยเลี้ยงรับรอง เคยมีช่วงหนึ่งที่นางอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อนไม่มีญาติ รู้สึกหวาดกลัวและไม่ปลอดภัย แต่บรรยากาศของวิหารเทพหมาป่า ไม่รู้ว่าหนาวเย็นโดดเดี่ยวกว่าหน่วยเลี้ยงรับรองกี่เท่า
“ต้องเหงาสิ แต่ไม่มีคนที่มีคุณสมบัติพอมาอยู่กับข้า” เจียงชิวไป๋เดินไปด้วย พูดด้วยน้ำเสียงสงบไปด้วย “เคยมีคนหนึ่ง น่าเสียดายที่เขาจากไปแล้ว ละทิ้งที่นี่ไปเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง”
เสียงยังไม่ทันเงียบ ฝีเท้าของเขาหยุดลงกะทันหัน
ซ่างกวนอวี่ถิงก็หยุดด้วยเช่นกัน
นางยังคิดว่าเจียงชิวไป๋โดนตนเองสะกิดแผลเก่าเข้าให้แล้ว
แต่ไม่นานบนใบหน้าหล่อเหลาของเจียงชิวไป๋ก็ปรากฏแววประหลาดใจขึ้นจางๆ จากนั้นคิ้วทั้งสองเลิกขึ้น มุมปากยกโค้ง พูดกับตนเองว่า “น่าสนใจจริง ไม่คิดว่านานๆ ทีข้าออกไปข้างนอกสักครั้งหนึ่ง ในบ้านจะมีแขกมาหา…มาอย่างไม่ได้รับเชิญด้วย ฮี่ๆ”
พริบตานี้ ซ่างกวนอวี่ถิงรู้สึกได้ กลิ่นอายทั้งร่างชายหนุ่มผมทองด้านหน้าเปลี่ยนไปทันใด
ก่อนหน้าดุจลมฤดูใบไม้ผลิแปรเปลี่ยนเป็นสายฝน
ตอนนี้กลายเป็นเก้าวันท้ายของฤดูหนาว
“เดินต่อเถอะ” เจียงชิวไป๋เดินไปข้างหน้าต่อ
กลิ่นอายพลังที่ไร้รูปร่างขุมหนึ่งไหลเวียน ปกป้องซ่างกวนอวี่ถิงไว้ด้านใน
ครู่ต่อมา พวกเขามาถึงพื้นที่ว่างกว้างโล่งมากแห่งหนึ่ง
ทางเดินในนี้ทะลุกันได้ทั้งแปดทิศ แยกออกมาปานเขาวงกต กึ่งกลางมีหินยักษ์รูปทรงวงรีสีแดงเข้มก้อนหนึ่ง ริ้วลายสลักเหมือนรากไม้คลุมอยู่เป็นชั้นๆ เล็กหนาไม่เท่ากัน สีเข้มกว่าตัวหินพอควร ดูคล้ายการรังสรรค์จากธรรมชาติ และเสมือนสิ่งที่ปรมาจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลกนี้แกะสลักออกมา
พริบตาที่เห็นหินสีแดงเข้มก้อนนี้ ในใจซ่างกวนอวี่ถิงอดเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาไม่ได้
นางรู้สึกว่าหินก้อนนี้ราวกับมีชีวิต ชีวิตที่สดใสแจ่มใส
เจียงชิวไป๋เดินทีละก้าวมาจนถึงด้านหน้าหินยักษ์สีแดงเข้มก้อนนี้ จากนั้นยื่นมือกดลงไป
แต่ในพริบตาที่ฝ่ามือกดลงบนหินยักษ์ จู่ๆ เขารู้สึกได้ถึงบางอย่าง จึงค่อยๆ ดึงมือกลับมา หัวเราะเย็นชาและเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นผู้ใช้คลื่นวารีจากสำนักมหาวารีนี่เอง มาอย่างไม่ได้รับเชิญก็คือโจร เป็นถึงหนึ่งในเก้ายอดคนใต้หล้า กลับทำเรื่องไก่ขันหมาขโมยเช่นนี้…สำนักเทพสุดแดนใต้ชอบทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้หรือ?”
เสียงยังไม่ทันหาย
ก็เห็นว่าบนหินสีแดงเข้มพลันมีของเหลวประหลาดชั้นหนึ่งเลื้อยขยุกขยิก ครู่เดียวก็แยกตัวออกมาจากหินยักษ์ กลายเป็นคลื่นน้ำกระเพื่อมรูปร่างมนุษย์ร่างหนึ่ง ปรากฏขึ้นด้านบนหินยักษ์ จากนั้นเปล่งเสียงมนุษย์ออกมา “ไม่คิดว่าจะถูกเจ้าจับได้…น่าเสียดาย” เสียงเย็นชาดั่งฉลามแห่งท้องทะเลมาพร้อมกับกลิ่นอายกระหายเลือด
เจียงชิวไป๋เงยหน้าขึ้น มองร่างมนุษย์ลายน้ำสว่างไสวนั้น ก่อนยิ้มเย็นชาตอบกลับ “ห้าร้อยปีก่อนไม่ง่ายเลยกว่าที่สำนักมหาวารีจะปรากฏผู้ใช้คลื่นวารีมาคนหนึ่ง และได้เป็นถึงหนึ่งในเก้ายอดคนใต้หล้า ฝืนรักษาตำแหน่งเก้าสำนักเทพเอาไว้ แต่กลับไม่รู้จักหวงแหน โร่มาหาที่ตายถึงวิหารเทพหมาป่า”
ร่างมนุษย์สว่างไสวหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ใครอยู่ใครตายก็ยังครึ่งต่อครึ่ง คำพูดเทพหมาป่าเร็วเกินไปแล้ว”
เจียงชิวไป๋เอ่ยต่อ “ถ้าหากอยู่บนผืนสมุทรของแผ่นดินสุดแดนใต้ เจ้าที่เป็นผู้ใช้คลื่นวารีก็อาจมีคุณสมบัติพูดคำนี้ แต่ที่นี่คือที่ราบทุ่งหญ้า อยู่ในวิหารเทพหมาป่า เจ้าก็เหมือนปลาหนีชิวตัวหนึ่งที่กระโดดเข้ามาในอ่างปลา จะโบกสะบัดฟองคลื่นได้แค่ไหนกัน?”
วิหารเทพหมาป่าเป็นพื้นที่ของเขา
เขาที่อยู่ที่นี่ ใต้ขั้นทะลวงสวรรค์ลงไปก็แทบไร้เทียมทานแล้ว
ตอนนี้เอง อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ในวิหารเทพหมาป่า แน่นอนว่าไม่อาจสู้กับเทพหมาป่าเพียงลำพังได้ ดังนั้นข้าจึงมาด้วย”
แสงกระบี่สายหนึ่งเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ กลางอากาศ เคลื่อนไหวไปมาในพื้นที่กว้างใหญ่มืดทึมแห่งนี้ คล้ายภาพจริงคล้ายมายา ดุจระลอกคลื่นยามแสงจันทร์ส่องลงกระทบกระแสน้ำเชี่ยวกราก วูบวาบไม่หยุดนิ่ง จิตกระบี่ประหลาดกลุ่มหนึ่งแผ่กระจายทั่วทั้งอาณาเขต
เจียงชิวไป๋ผงกศีรษะ เอ่ยขึ้นว่า “วิชากระบี่พร่างพราว? ที่แท้เจ้าสำนักฟ้าครามกู้ป้านเซิงก็มาด้วย ดีมาก เจ้าสำนักเทพทั้งสองจากแผ่นดินสุดแดนใต้ สองคนในเก้ายอดคนใต้หล้า กลับมายังวิหารเทพหมาป่าของข้าด้วยกัน เหอะๆ น่าสนุกจริงๆ มหาวารีกับสำนักฟ้าครามไม่เคยคิดจะอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน แต่พวกเจ้าสองคนกลับพร้อมใจกันลงออกหน้าเช่นนี้? อืม นี่ทำให้ข้าเริ่มแปลกใจและดีใจจริงๆ”
สำนักเทพทั้งเก้าใต้ผืนฟ้า ฉินตะวันตกมีทุ่งปิดภูผา ซ่งเหนือมีเขาเมืองมรกต ฉู่ใต้มีสำนักบัณฑิตถามเต๋า ที่ราบทุ่งหญ้ามีวิหารเทพหมาป่า พุทธศาสนามีวัดฮว๋าจั้ง เผ่าปีศาจมีจวนปีศาจสวรรค์ ดินแดนทรายทิศพายัพมีวิหารเทพอาทิตย์ และแผ่นดินสุดแดนใต้ที่ชนต่างเผ่ารวมตัวกันอยู่มีสองสำนักเทพ แบ่งเป็นฟ้าครามและมหาวารี
สองสำนักเทพนี้ข้ามเขตมายังดินแดนของสามจักรวรรดิและที่ราบทุ่งหญ้าน้อยมาก คอยแย่งทรัพยากรกับเหล่าศิษย์กันอยู่ในแผ่นดินสุดแดนใต้ เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน สู้รบกันมาตลอดหลายพันปีไม่เลิกรา พูดได้ว่าอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันไม่ได้
แต่ตอนนี้ ‘มารศักดิ์สิทธิ์กระบี่ภูต’ กู้ป้านเซิงเจ้าสำนักฟ้าครามกลับร่วมมือกับผู้ใช้คลื่นวารีแห่งสำนักมหาวารี มาปรากฏตัวในวิหารเทพหมาป่า
ข่าวเช่นนี้หากแพร่ออกไป ก็เพียงพอจะสั่นสะเทือนทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่แล้ว
“มีเพียงผลประโยชน์คงอยู่นิรันดร์ ศัตรูตลอดกาลนั้นไม่มีอยู่จริง” น้ำเสียงของผู้ใช้คลื่นวารีจากสำนักมหาวารีมีทำนองประหลาดเหมือนกระแสน้ำขึ้นลง
ส่วนแสงกระบี่ที่วูบวาบไม่หยุดนิ่งลงในฉับพลัน ก่อนกลายเป็นปัญญาชนชุดขาวอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกยืนอยู่กลางอากาศ หน้าขาวผมดำ ใบหน้าผอมแห้งราวภูตผี มีกลิ่นอายชั่วร้ายรางๆ นี่คือเจ้าสำนักฟ้าคราม ‘มารศักดิ์สิทธิ์กระบี่ภูต’ กู้ป้านเซิงนั่นเอง
เขายิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “ว่ากันว่าฟ้านิจนิรันดร์ห้าสิบปีจะเปิดทางสู่เขตภายนอกครั้งหนึ่ง หนึ่งร้อยปีจะเปิดทางสู่เขตกลางครั้งหนึ่ง และถ้าหากถึงปีที่หนึ่งพัน การเปิดครั้งนั้นจะสามารถตรงเข้าสู่ดาราสมุทร ได้หยั่งรู้ปริศนาของการทะลวงสวรรค์ เทพหมาป่าขาว มีความสุขคนเดียวสู้มีความสุขเป็นกลุ่มไม่ได้หรอกนะ ปีนี้เป็นปีที่ฟ้านิจนิรันดร์จะเปิดออกในรอบพันปี มีเพียงวิหารเทพหมาป่าเท่านั้นที่ค้นหาทางเข้าสู่ฉางเซิงเทียนได้ มิสู้พวกเราสามคนร่วมมือกัน เข้าสู่ดินแดนเทพที่ลึกที่สุดในฟ้านิจนิรันดร์ ไปสอดส่องความยอดเยี่ยมของเทพมารในดาราสมุทร เช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือ?”
เจียงชิวไป๋หัวเราะ ตอบกลับสั้นๆ ได้ใจความว่า “เจ้าพวกที่บุกรุกวิหารเทพหมาป่า ตายเสีย”