จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 457 หันเป็นศัตรู
เส้นผมที่เดิมทีเป็นสีดอกเลาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิททั้งหมด หนาดกราวน้ำตก ใบหน้าที่หล่อเหลาแฝงความน่าเกรงขามมีเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ ไร้ซึ่งจุดด่างพร้อยใดๆ มีเสน่ห์ที่พิเศษเฉพาะตัว ดวงตาทั้งคู่ราวกับหุบเหวลึกบ่อน้ำลึกโบราณ มองไม่เห็นก้น ไม่เห็นเงา ไม่เห็นความรู้สึก ความถูกต้องและชั่วร้ายรวมอยู่ด้วยกัน จ้องมองเหล่ามดแมลงอย่างสูงส่งไม่ยินดียินร้าย
ชุดคลุมยาวผ้าหยาบที่สวมอยู่บนร่างเขา ก็เหมือนชุดเกราะจักรพรรดิที่สูงส่งเหนือใคร
กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหลี่มู่หรือผู้ฝึกตนนอกพิภพคนอื่นๆ ในพริบตาที่สายตาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงมองมา ต่างก็เกิดความรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยอย่างไม่อาจห้ามได้ รู้สึกว่าตนเองเป็นดั่งมดที่ถูกมังกรยักษ์จับจ้องอยู่ เพียงแค่มังกรยักษ์หายใจก็สามารถเป่าจนตนเองกลายเป็นเถ้าลอยไปได้
หลี่มู่ไม่พูดอะไร ยืนอยู่นิ่งๆ
เมื่อครู่ยามจักรพรรดิเซียนหมิงกวงปรับลมหายใจ พลังฟ้าดินดุจคลื่นน้ำ ทุกคนถูกบีบออกไปไกลหลายลี้จากลานบ้าน ตำแหน่งของพวกหลี่มู่อยู่ใกล้ด้านล่างของยอดเขานิ้วกลางแห่งเขาห้าองคุลีที่สุด แทบจะแนบชิดกับผนังหินผาสีขาวอยู่แล้ว
“ท่านอาจารย์ ในที่สุดท่านก็หายเป็นปกติแล้ว?” หวางซืออวี่เอ่ยขึ้นอย่างยินดี
สายตาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงตกอยู่บนตัวหวางซื่ออวี่ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม กล่าวว่า “แค่ฝืนกระตุ้นเลือดลมเท่านั้น ยังห่างจากคำว่าหายเป็นปกติอีกไกล แต่ว่าน่าจะออกจากสุสานเทพแห่งนี้ได้แล้ว”
ขอแค่ออกจากสุสานเทพก็จะหลุดพ้นจากกรงขังนี้ ความยิ่งใหญ่ของทางช้างเผือก วาสนาอันไร้ขีดจำกัด และยังมีสมบัติอีกนับไม่ถ้วน ค่อยๆ ตามหาของมารักษาก็ยังได้
ดูออกว่าสภาพจิตใจของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงนั้นไม่เลวเลย
“ยินดีด้วยผู้อาวุโส”
“ขออวยพรผู้อาวุโส”
“สามารถเป็นอีกแรงที่ช่วยให้อาวุโสออกจากสุสานเทพนี้ได้ ถือว่าเป็นเกียรติของพวกเราจริงๆ”
บรรดาผู้ฝึกตนนอกพิภพทยอยเข้าไปประจบสอพลอจักรพรรดิเซียนหมิงกวง
พวกเขาที่หยิ่งทะนงสูงส่ง ขณะเผชิญหน้ากับคนพื้นเมืองบนดาวนี้ช่างแกร่งกล้าอย่างที่สุด เต็มไปด้วยความรู้สึกว่าเหนือกว่า ทว่าพออยู่ต่อหน้าตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่าแข็งแรงกว่า สุดท้ายก็ยังยากจะหลีกเลี่ยงไม่เผยธาตุแท้เลวทรามของมนุษย์ออกมา และเปลี่ยนมาเป็นประจบสอพลอแทน
นี่คือลักษณะอย่างหนึ่งของสัตว์
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงพยักหน้า ค่อนข้างฮึกเหิมได้ใจ “หลุดพ้นจากกรงขัง ตัดเครื่องพันธนาการแต่ละอย่างไป ไม่เลว น้ำใจของพวกเจ้าข้ารับรู้แล้ว ข้าจะไม่อยุติธรรมกับพวกเจ้าแน่นอน ว่ามาเถอะ พวกเจ้าต้องการอะไร”
เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพพากันฮือฮา
สิ่งที่พวกเขารอคอยก็คือช่วงเวลานี้
มีคนหวังอยากจะได้วิชา จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็ใช้อภินิหาร ส่งวิชาที่สูงส่งยิ่งเข้าไปในหัวของคนเหล่านั้นโดยตรง ผู้ฝึกตนที่ได้รับวิชาไม่มีใครไม่ทำหน้ายินดีปรีดาประหนึ่งลุ่มหลงเมามาย
มีคนหวังจะติดตามอยู่ข้างกายจักรพรรดิเซียนหมิงกวง คอยรับใช้ซ้ายขวา จักรพรรดิเซียนหมิงกวงส่ายหน้าปฏิเสธ
เขามีฐานะระดับไหน เป็นถึงจักรพรรดิเซียน ใครหน้าไหนก็ได้จะมาติดตามข้างกายได้อย่างไร ไม่ถูกคนเขาหัวเราะเอาหรือ? ท้ายสุดจึงใช้วิธีประนีประนอม ให้คำมั่นสัญญากับพวกเขาว่าจะช่วยเหลือ จะลงมือเพื่อพวกเขาครั้งหนึ่ง สิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้บรรดาผู้ฝึกตนนอกพิภพดีใจแทบคลั่งแล้ว
พูดได้ว่า เป้าหมายใหญ่ที่สุดในการเข้ามาในสุสานเทพของพวกเขาครั้งนี้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว
สำนักค่ายกลสวรรค์ก็ได้รับคำมั่นจากจักรพรรดิเซียนหมิงกวงว่าจะลงมือเพื่อพวกเขาครั้งหนึ่งเช่นกัน
ผู้อาวุโสสูงสุดโอวหยางจื้อคารวะ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส สำนักค่ายกลสวรรค์ของข้าขอบังอาจ ยังมีเรื่องเล็กอีกเรื่องหนึ่ง หวังว่าผู้อาวุโสจะมอบความเป็นธรรมให้พวกเราได้”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงอารมณ์ดีอย่างมาก พยักหน้าพูดด้วยรอยยิ้มบาง “ว่ามาเถิด ‘ลูกกลอนมันสมองมังกรแดง’ ที่พวกเจ้ามอบให้เมื่อครู่เป็นวัตถุเสริมแก่นพลังชั้นยอดที่สุดในหมู่ยาลูกกลอนทั้งหลาย มีส่วนช่วยตัวข้ามากที่สุด พวกเจ้าขอได้อีกเรื่องหนึ่ง”
โอวหยางจื้อยินดียิ่ง รีบร้อนกล่าว “ผู้อาวุโส สำนักค่ายกลสวรรค์ของข้ามีตำราวิชาที่สืบทอดมาอย่างลับๆ ชื่อว่า ‘ค่ายกลเต๋าฟ้าวิวัฒน์’ ซึ่งหายไปในดาวดวงนี้ และถูกเด็กน้อยรุ่นหลังคนหนึ่งที่โชคดีเก็บไปได้ ผู้น้อยพยายามอ้อนวอนให้เขาส่งคืน ทั้งยังยินดีจะชดเชยให้เขา แต่กลับถูกปฏิเสธ ดังนั้นจึงอยากให้ท่านมอบความเป็นธรรมแก่สำนักค่ายกลสวรรค์ของข้า ให้เขาส่งมอบตำราคืนมา”
“ขอผู้อาวุโสมอบความเป็นธรรมด้วย” เฉียนเจิ้นอวิ๋นซึ่งอยู่อีกด้านก็เล่าเรื่องที่หลี่มู่ยึดวิชาของสำนักตนไปด้วยสีหน้าสัตย์ซื่อจริงใจ “หลี่มู่คนนี้เป็นถึงสหายของเทพธิดาหวาง พวกเราก็ไม่อยากทำเกินเลย เพียงแค่ต้องการตำราวิชาลับคืนเท่านั้น”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงมองไปยังหลี่มู่ “สหายน้อย มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
หลี่มู่รู้สึกว่าด้วยสติปัญญาในแววตาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง จะต้องมองเรื่องโป้ปดของสำนักค่ายกลสวรรค์ออกอย่างง่ายดาย ทว่ากลับหันมาย้อนถามเช่นนี้ เรื่องนี้มันแปลกๆ แต่เขายังคงส่ายศีรษะไม่ยอมรับ ตอบกลับว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน”
เฉินเจี้ยนอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าโกรธเคือง “หลี่มู่ พวกเรายอมถอยให้เจ้าก้าวใหญ่ เจ้ายังไม่รู้จักพออีกหรือ? คืนสิ่งของให้แก่เจ้าของเป็นเรื่องชอบธรรมอยู่แล้ว พวกเราเห็นแก่เจ้าที่เป็นสหายของเทพธิดาหวาง ถอยให้ก้าวใหญ่มากแล้ว เจ้าอย่ารังแกกันนักเลย”
หลี่มู่ขี้เกียจจะพูดกับพวกปลิ้นปล้อนกลุ่มนี้แล้ว
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงมองหลี่มู่ พอตั้งท่าจะพูด
หวางซืออวี่ก็รีบร้อนกล่าว “ท่านอาจารย์ คนสำนักค่ายกลสวรรค์พูดจาเรื่อยเปี่อย พาดพิงคนอื่นไปทั่ว วิชาค่ายกลของพี่มู่เป็นสิ่งที่เขาได้รับสืบทอดมาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักค่ายกลสวรรค์ ชัดเจนว่าคนเหล่านี้ต้องการวิชาค่ายกลที่สืบทอดมาของพี่มู่ คิดจะแย่งชิงไป”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงส่ายศีรษะ บอกว่า “เจ้าถอยไปก่อน”
จากนั้นมองไปยังหลี่มู่ จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเอ่ยต่อ “สหายน้อย ก่อนหน้านี้เจ้าก็มอบผลไม้เทพให้กับข้า ถือว่ามีบุญคุณต่อข้าช่วงหนึ่งเช่นกัน ไม่สู้เอาเช่นนี้ เจ้าคืนวิชา ‘ค่ายกลเต๋าฟ้าวิวัฒน์’ ให้กับสำนักค่ายกลสวรรค์ไป แล้วข้าจะมอบวิชาที่เท่าเทียมกับวิชาลับนี้ให้ ถือเป็นการชดเชย เจ้าว่าอย่างไร? ถึงอย่างไรเจ้าก็ฝึกวิชาลับ ‘ค่ายกลเต๋าฟ้าวิวัฒน์’ จนสำเร็จแล้ว ส่งมอบไปเจ้าก็ไม่เสียหายอะไร”
เมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ คนของสำนักค่ายกลสวรรค์ล้วนมีสีหน้ายินดีทันใด
พวกเขารู้ชัดเป็นที่สุดว่ามรดกวิชาค่ายกลในมือของหลี่มู่สูงส่งเพียงไหน จะต้องดียิ่งกว่าตำราวิชาค่ายกลระดับสูงมากมายของเขตดาราเทพวีรชนเป็นแน่ ขอแค่ได้มันมา ก็มากพอจะทำให้สำนักค่ายกลสวรรค์รุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็วแล้ว
หลี่มู่มองจักรพรรดิเซียนหมิงกวง สีหน้าไม่ใส่ใจ ปฏิเสธออกไปตรงๆ ว่า “ขออภัย ข้าทำไม่ได้”
“เจ้า…” โอวหยางจื้อแสร้งทำเป็นโมโห “กระทั่งคำพูดของผู้อาวุโสเจ้าก็ยังทำเป็นหูทวนลม เจ้านี่มัน…กำเริบเสิบสานเกินไปแล้วจริงๆ”
“โอหังเกินไปแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?” เฉียนเจิ้นอวิ๋นก็ทำท่า ‘ตาค้างพูดไม่ออก’ เช่นกัน “เจ้าเจ้าเจ้า…เจ้ากล้าปฏิเสธความหวังดีของท่านเซียน หลี่มู่ ใครมอบความกล้าเช่นนี้ให้เจ้ากันแน่?”
ใบหน้าของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงฉายความไม่พอใจบ้างแล้วดังคาด
หลี่มู่ยิ้มเย็นพูดว่า “วิชาค่ายกลเต๋าขึ้นอยู่กับความจริงใจ ใช้จิตวิญญาณผสานเข้ากับเต๋า คนอย่างพวกเจ้าแสร้งแสดงละครปั้นเรื่องใส่ความเพื่อแย่งชิงมันไป ทำให้คนคลื่นไส้อยากอาเจียนเสียจริง เจ้าคิดว่าการแสดงของพวกเจ้าจะหลอกจักรพรรดิเซียนหมิงกวงได้จริงหรือ? หลอกใช้จักรพรรดิเซียนเช่นนี้ ดีนัก พวกเจ้ากล้าหาญมาก”
โอวหยางจื้อและเฉียนเจิ้นอวิ๋นใจหายวูบ
พวกเขารู้สึกทันทีว่าตนเองเผยท่าทีรีบด่วนเกินไปหรือไม่?
ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้แยกแยะ จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็เปิดปาก “หนุ่มน้อย หนึ่งพันปีมานี้ เจ้าเป็นคนแรกที่ปฏิเสธข้า เจ้าน่าจะรู้ว่าผลลัพธ์ของการปฏิเสธข้าคืออะไร?”
“หือ? ท่านปู่ ท่านหมายความว่าอย่างไร” หมิงเยวี่ยที่อยู่อีกด้านก็ไม่ชอบใจแล้ว “ทำไมท่านเปิดตาข้างหนึ่งพูดโป้ปด หันไปเข้าข้างคนอื่นแล้วช่วยเหลือคนชั่วนอกพิภพพวกนี้กันล่ะ เจ้าสองคนนี้เป็นพวกสมองมีแผลเท้ามีหนอง หัวผุพังหมดแล้ว ท่านคงไม่ได้ตาบอดกระมัง มองไม่ออกหรือ?”
แสงคมกริบสว่างวาบในดวงตาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง เขามองทางหมิงเยวี่ย อานุภาพกดดันน่ากลัววูบหนึ่งบดขยี้ตรงไป ก่อนแค่นเสียงหยันกล่าวว่า “เจ้ากำลังตำหนิข้า?”
หมิงเยวี่ยตัวสั่น มุมปากมีเลือดไหลออกมา รับแรงกดดันเช่นนี้ไม่ไหว หลี่มู่กับกัวอวี่ชิงพุ่งเข้าไปขวางหน้าหมิงเยวี่ยพร้อมกันและต้านทานแรงกดดันนี้ไว้
“ผู้อาวุโส นี่หมายความว่าอย่างไร?” สีหน้าหลี่มู่เคร่งขรึมขณะจับจ้องจักรพรรดิเซียนหมิงกวง
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากไม่ใช่เพราะนางมอบเลือดชามนั้นให้ข้าจนถือเป็นกรรมขึ้นมา มิเช่นนั้นละก็ นางมาตำหนิข้าเช่นนี้ เหอะๆ…ได้ตายไปหมื่นครั้งนานแล้ว ครั้งนี้เป็นเพียงการลงโทษสถานเบาเท่านั้น หากยังกล้าเอ่ยอะไรสามหาวอีก เจ้าคิดว่าแค่พวกเจ้าไม่กี่คนจะต้านทานหนึ่งความคิดข้าได้หรือ?”
“ท่าน.…” หมิงเยวี่ยโมโหจนหน้าแดงก่ำ
นางไม่เข้าใจ เหตุใดจักรพรรดิเซียนหมิงกวงที่มีสีหน้าอบอุ่นเป็นมิตรก่อนหน้านี้ จู่ๆ จึงกลายเป็นพวกไม่ฟังเหตุผล เปลี่ยนท่าทีเป็นไร้น้ำใจ เห็นชัดว่าคนของสำนักค่ายกลสวรรค์พูดจาไร้สาระ แต่กลับหันมากล่าวโทษพวกนาง
หลี่มู่หยุดไม่ให้หมิงเยวี่ยพูดอะไรชวนโมโหอีก จากนั้นหันไปมองจักรพรรดิเซียนหมิงกวงและเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสรู้สึกว่าฟื้นพลังกลับมาได้พอประมาณแล้ว จึงไม่ต้องเสแสร้งทำดีอีก อยากเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเช่นนี้กระมัง?”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ข้าบุกฝ่ามาทั่วแดนดาราจื่อเวย ทุกที่ที่ไปถึง บรรดาผู้ดูแลสำนักใหญ่ ดาวโบราณ หรือชนเผ่าใหญ่ ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นล้วนก้มหัวคารวะข้า จักรพรรดิเซียนจะโดนลบหลู่มิได้ อำนาจของเซียนเป็นสิ่งที่คนต้อยต่ำธรรมดาจะมาสบประมาทได้ที่ไหน? ข้าถือว่าพวกเจ้าไม่รู้จึงไม่ผิด เด็กน้อยพูดจาไร้เดียงสาเป็นเรื่องปกติ ก่อนนี้ก็อดทนยอมพวกเจ้าที่ไม่รู้และไม่รู้จักพอมามากแล้ว”
หลี่มู่หัวเราะเย็นชา เอ่ยว่า “จักรพรรดิเซียน? ข่าวลือเมื่อปีนั้น หนึ่งเซียนหนึ่งมารถูกขังไว้ในสุสานเทพแห่งนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านเป็นเซียนหรือว่ามารกันแน่?”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเปลี่ยนสีหน้าทันที ดวงตาวาบประกายจิตสังหาร
หวางซืออวี่สัมผัสได้ จึงรีบตะโกนอ้อนวอน “ท่านอาจารย์…”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงมองหวางซืออวี่แวบหนึ่ง เหมือนคิดอะไรได้ สุดท้ายจิตสังหารนั้นจึงค่อยๆ จางลง “เห็นว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้ามอบผลเซียนกับเลือดให้ข้าอย่างละหนึ่ง วันนี้ข้าจะไม่สังหารคนแล้วกัน เด็กน้อย ส่งมอบวิชาค่ายกลมา แล้วจะให้พวกเจ้าไปได้”
“เหอะๆ ท่านก็ยังรู้นี่ว่าพวกเรามีบุญคุณกับท่าน” หลี่มู่ในตอนนี้ฉีกหน้ากากออกหมดแล้ว เอ่ยวาวจาประชดประชัน “ไม่ขอให้ท่านมีบุญคุณต้องทดแทนหรอก แต่ท่านกลับมีบุญคุณแล้วชดเชยด้วยความแค้น นี่เป็นคุณลักษณะของเซียนหรือ? ข้าว่าจริงๆ แล้วท่านน่าจะเป็นมารจากหนึ่งเซียนหนึ่งมารเมื่อครั้งนั้นมากกว่า?”
“บังอาจ” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงบันดาลโทสะ
ในชั่วพริบตา พลังอันน่าสะพรึงหอบม้วนออกมาราวกับคลื่นโหมซัดสาด หลี่มู่และกัวอวี่ชิงต้านอยู่หน้าสุด เพียงรู้สึกเหมือนมีหินยักษ์กระแทกเข้าที่ทรวงอก ปากพ่นเลือดออกมาทันใด เซถอยไปกว่าสามสิบจั้ง ทว่าฝืนไว้ไม่ถอยหลบ ปกป้องหมิงเยวี่ย หยวนโห่ว และพวกเป่าสีดีดร้องสี่คนด้านหลังเสมือนเสาเอกกลางแม่น้ำที่มีคลื่นยักษ์หยุดเรือไว้ได้
“ท่านอาจารย์” หวางซืออวี่ร้อนใจยิ่งนัก รีบโผเข้าไปสุดชีวิต ตะโกนเสียงดังว่า “อย่า…ท่านอาจารย์ หากท่านสังหารพวกพี่มู่ เช่นนั้น…ข้า…ข้าคงเป็นศิษย์ของท่านไม่ได้อีกแล้ว”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงหันขวับกลับมามองหวางซืออวี่
“เจ้ากำลังข่มขู่อาจารย์รึ?” เขาเดือดดาล “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไร ก้มศีรษะประสานมือคารวะบุญคุณอาจารย์ อาจารย์เป็นดั่งบิดา เจ้ามาเป็นศิษย์ของข้าได้ ไม่รู้ว่ามียอดคนผู้มีพรสวรรค์มากมายเท่าไรที่อิจฉาริษยาเจ้า เจ้ากลับกล้ามาข่มขู่อาจารย์เช่นนี้?”
“ท่านอาจารย์ ท่านปล่อยพวกพี่มู่ไปเถิด” หวางซืออวี่ค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แต่แววตาเด็ดเดี่ยวมั่นคง “ขอเพียงท่านรับปากศิษย์เรื่องนี้ ชีวิตนี้ของศิษย์จะติดตามอาจารย์ จะไม่กล้าต่อต้านใดๆ อีก”