จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 461 ธนูแผ่วปลาย
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงมีสีหน้าปกติ ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เขายังคงสุ่มชี้ผู้ฝึกตนนอกพิภพจากในกลุ่มอีกสามครั้งติดกัน เลือกมาอีกสามคน เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นนักรบระดับต้นทั้งสิ้น “พวกเจ้าสามคน ลงมือพร้อมกัน”
“เจ้าคนไร้ยางอาย ใช้คนมากรังแกคนน้อยกว่า” หมิงเยวี่ยร้อนใจแล้ว เรียกภาพอัศจรรย์ ‘บัวขาวฟ้าคราม’ ออกมา เตรียมจะเข้าไปช่วยเหลือหลี่มู่ ชิงเฟิงกับกัวอวี่ชิงรีบร้อนดึงนางเอาไว้
ร่างกายของหมิงเยวี่ยพิเศษมาก มีศักยภาพไม่จำกัด ทว่าพลังแท้จริงตอนนี้อยู่ในระดับทรงพลังในหมู่จอมยุทธ์บนโลกนี้เท่านั้น สำหรับผู้ฝึกตนนอกพิภพแล้ว อย่าว่าแต่ขั้นนักรบเลย แค่ขั้นสามัญผ่านสะพานเป็นตายก็ยังไม่ใช่คู่มือ
“ผู้ผิดบาปล้วนเป็นพวกโหดร้ายน่ากลัว ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องคุณธรรมกับมัน”
“ได้ตายด้วยน้ำมือพวกเราสามคน ก็ถือว่าเป็นเกียรติของเจ้า”
“จะมัวพูดพร่ำกับผู้ผิดบาปนี้ทำไม สังหาร”
ร่างทั้งสามมีสองชายหนึ่งหญิง พลังอำนาจไม่ธรรมดา แต่ละคนมาจากสำนักเต๋าโบราณ สำนักบุปผาโลกันตร์ และสำนักชำระกระบี่ ดวงตาเผยความเคร่งขรึม ต่างคนต่างหยิบอาวุธออกมาแล้วพุ่งตรงเข้าหาหลี่มู่
กัวอวี่ชิงกุม ‘หอกอัสนีทะยาน’ สาวก้าวใหญ่ขึ้นมาด้านหน้า
หลี่มู่โบกมือ เอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ท่านกลับไปก่อน คอยปกป้องชิงเฟิงกับหมิงเยวี่ย”
กัวอวี่ชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถอยกลับไป
หลี่มู่ยกเท้าขึ้นสองสามครั้ง ถีบศพของซุนจี้วังประสานฟ้า เจ้าสำนักอาทิตย์ทอง และจอมกระบี่วายุโหมกลิ้งไปอยู่ตรงหน้าหมิงเยวี่ยชิงเฟิง หมิงเยวี่ยที่กำลังเดือดดาลพลันตาเป็นประกาย เข้าใจความหมายจากหลี่มู่ จึงเริ่มค้นหาบนร่างคนเหล่านี้ และปลดข้าวของทั้งหมดในตัวพวกเขาลงมาทั้งหมด
เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพเห็นฉากนี้ก็ล้วนพูดไม่ออก
นี่มันพวกหน้าเงินที่ตายไปก็ยังอยากได้ทรัพย์สินชัดๆ เจ้าค้นไปได้แล้วมันจะทำไม? มีชีวิตหยิบมา แต่ก็ไม่มีชีวิตใช้มันอยู่ดี
มือขวาหลี่มู่กำดาบยาวตรงหน้า มือซ้ายพลิกกำดาบสั้น ใต้ฝ่าเท้ามีพลังเวท ร่างกายลากเป็นภาพซ้อนต่อเนื่องกันกลางอากาศ จากนั้นพุ่งตรงเข้าสังหารผู้แข็งแกร่งทั้งสามทันที
การต่อสู้ปะทุขึ้น
ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา ศีรษะลอยขึ้นฟ้าไปอีกสาม เจ้าสำนักใหญ่สามคนสู้จนตัวตาย ไม่อาจหนีพ้นจากเคราะห์ร้ายถูกตัดคอได้
แต่ว่า สถานการณ์ของหลี่มู่ก็ไม่ได้ดีเท่าไรนัก
แขนซ้ายของเขามีรอยกระบี่ลึกถึงกระดูก แทบจะตัดแขนซ้ายแขนแล้ว แผลจากดาบที่ช่วงท้องแทบจะทำให้เขามีทายาทไม่ได้ ลำไส้ก็เกือบไหลลงมา ได้เสื้อผ้าของเขากันเอาไว้เท่านั้น เวลาเดียวกันยังมีกระบี่หักอีกเล่มปักอยู่บนต้นขา แทงทะลุออกไปด้านหลัง…บาดเจ็บสาหัส!
เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพอดสูดปากไม่ได้ สายตาที่มองหลี่มู่เปลี่ยนไปแล้ว
เดิมทีพวกเขาคิดว่าภายใต้การร่วมมือกันของสามเจ้าสำนัก ครั้งนี้หลี่มู่ต้องไม่รอดแน่ ต่อให้เจ้าสำนักใหญ่ทั้งสามจะสู้ถวายหัวจนตายไปคนหนึ่ง เหลือรอดมาได้มากสุดสองคนก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว ใครจะรู้ว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้
หากไม่ใช่ว่าหลี่มู่ก็มีเลือดไหล พวกเขาคงสงสัยจริงๆ ว่าหนุ่มผู้ผิดบาปคนนี้ใช่หุ่นเชิดสังหารตัวหนึ่งหรือไม่ น่ากลัวเกินไป แกร่งกล้าเกินไป นอกจากพลังที่มากมาย ระดับความยอดเยี่ยมของวิชาดาบก็พูดได้ว่าธรรมดา แต่กลับสามารถตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้วิธีการสู้แบบให้ตายกันไปทั้งสองฝ่าย สู้สุดชีวิตจนปลิดชีพเจ้าสำนักใหญ่ทั้งสามลงได้
คนประเภทนี้คือพวกบ้าการต่อสู้ เป็นคนคลั่ง
มุมปากของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเผยยิ้มเหี้ยมเกรียม ไม่ได้ประหลาดใจ และยิ่งไม่พูดจา แต่ยกมือสุ่มชี้ในกลุ่มผู้ฝึกตนนอกพิภพ เลือกผู้แข็งแกร่งออกมาอีกหกคน ก่อนกล่าว “พวกเจ้าลงมือพร้อมกัน อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
หลี่มู่ไม่พูดอะไร และหยุดพวกหมิงเยวี่ยที่ก่นด่าด้วยความเดือดดาลไว้
ชัดเจนว่าจักรพรรดิเซียนหมิงกวงกำลังเล่นแมวไล่จับหนู ตอนนี้คำสาปแช่ง คำด่าทอ และเรื่องเหตุผลใดๆ ไม่มีความหมายอีกแล้ว มีเพียงใช้ดาบในมือสังหาร จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้
เขายกเท้าถีบศพทั้งสามไปด้านหน้าหมิงเยวี่ย ปฏิเสธความช่วยเหลือจากกัวอวี่ชิง ใช้ฟันกัดดาบยาวไว้ ก่อนละมือมาพลิกดึงกระบี่หักออกจากต้นขาจนเลือดสาดกระเซ็น จากนั้นจึงกุมดาบอีกครั้ง และพุ่งตรงเข้าไปฟาดฟันกับยอดฝีมือทั้งหก
ทว่าพุ่งไปได้สองก้าว เท้าก็สะดุดจนเกือบหกล้ม
กระบี่หักเล่มนั้นเป็นอาวุธของเจ้าสำนักชำระกระบี่ซึ่งไม่ธรรมดามาก เป็นอาวุธเต๋าชั้นยอด ภายในแฝงไว้ด้วยจิตดาบที่เหมือนตัวอ่อนแมลงวันเกาะติดกระดูก กำลังแผ่ลามอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกล้ามเนื้อกระดูกต้นขาซ้ายของหลี่มู่ ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่มู่ใช้ปราณแท้สะกดเอาไว้ น่ากลัวว่าขาข้างนี้จะพังไปแล้ว
“เหอะๆ ขาเป๋ไปแล้ว ยังคิดจะสู้เหมือนเสือจนตรอกอีกหรือ?” มีคนเปล่งเสียงเยาะเย้ย
ทว่าพริบตาต่อมา ดาบยาวของหลี่มู่ฟันผ่าน ใช้แผลแลกแผล ฟันร่างของเขาขาดเป็นสองท่อนตรงๆ
การต่อสู้ดุเดือดเกินจะเปรียบ
ไม่นานหลี่มู่ก็มีบาดแผลเต็มตัว กระทั่งหน้าผากก็เกือบจะถูกฝ่ายตรงข้ามใช้ดาบผ่า หน้าอก แผ่นหลัง แขนและขา ทุกที่ล้วนมีบาดแผล ผิวหนังพลิกออกมาด้านนอกเผยให้เห็นกระดูกขาว ราวถูกตัดสินประหารด้วยการตัดชิ้นส่วนอย่างไรอย่างนั้น
คู่มือของเขาตายไปแล้วสามคน เจ็บหนักอีกสอง ยังมีอีกคนที่บาดเจ็บสาหัสกว่า ถูกทำให้ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง สูญสิ้นความกล้าในการสู้รบจนหมดสิ้น เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่มู่ที่อยู่ในสภาพน่าเวทนาเหมือนศพฟื้นคืนชีพมาครึ่งหนึ่ง ก็ร้องเสียงแหลม หันหลังคิดจะหนีไป…
“ไม่ เจ้ามันไม่ใช่คน” ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเหมยหลันผู้นี้ ใจเต๋าแทบจะถูกทำลาย ปณิธานมุ่งต่อสู้สลายกลายเป็นควัน ทรมานเสียยิ่งกว่าถูกบีบให้ตาย ใกล้จะเป็นบ้าไปแล้ว
เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพรอบๆ ไม่รู้แล้วว่าควรพูดอะไรดี
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการสังหารคนคนหนึ่งจะยากเย็นถึงเพียงนี้
นี่แลกชีวิตของยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักไปเท่าไรกันแล้ว? ผ่านมานานแสนนานเขตดาราเทพวีรชนไม่เคยเกิดเรื่องที่เจ้าสำนักดับสูญในเวลาเดียวกันมากขนาดนี้ ถ้าหากไม่มีอานุภาพกดดันจากค่ายกลในอากาศสะกดเอาไว้ เหล่าเจ้าสำนักที่ตายไปทุกคนสามารถสังหารเด็กหนุ่มคนนี้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นผีใต้ปลายดาบกันหมด
สีหน้าของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นเทพผู้สูงส่งเฝ้ามองเหล่ามดแมลงต่อสู้กันจนตาย ในสายตาเขา เจ้าสำนักของสำนักใหญ่ในเขตดาราเทพวีรชนไม่แตกต่างอะไรกับมดปลวก
เขาสุ่มชี้มือไป ไอเซียนสายหนึ่งพุ่งยิงออกมา จัดการผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเหมยหลันที่ตกใจขวัญหายจนหนีไปให้สลายกลายเป็นฝุ่น ตายไปโดยไร้ที่ฝัง
จากนั้นเขายกมือชี้ไปยังกลุ่มคนอีกครั้ง เลือกออกมาถึงสิบคน ก่อนเอ่ยว่า “สังหาร”
สิบคนนี้ล้วนเป็นคนแข็งแกร่งที่สุดที่เหลืออยู่ของกลุ่มผู้ฝึกตนนอกพิภพ
ในนั้น มีชายหนุ่มเย็นชาสะพายกระบี่ในชุดดำ สองสาวพี่น้อง และเด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษ รวมไปถึง ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงด้วย
เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่มู่ที่บาดเจ็บแสนสาหัสจนดูไม่เป็นมนุษย์ สิบคนเช่นนี้ออกสู้พร้อมกัน ถือเป็นการประกาศผลสุดท้ายของการต่อสู้อย่างชัดเจนแล้ว ต่อให้หลี่มู่สู้ได้อีกสักเพียงไหน บ้าคลั่งอีกเท่าไร ก็ไม่มีทางรับมือคนทั้งสิบด้านหน้านี้ได้
หลี่มู่ใช้ดาบยาวยันพื้น ฝืนยืนให้มั่นคง บนใบหน้ามีรอยดาบหนึ่งแผลกับรอยกระบี่อีกแผลตัดกันเป็นกากบาท ทำเขาเสียโฉมไปเรียบร้อย ทว่าสองตากลับสงบนิ่ง ไม่มีแววหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เลือดสดไหลตามดาบยาวก่อนหยดลงบนพื้นดิน กองรวมกันเป็นแอ่งเลือด
พื้นดินในหุบเขาห้าองคุลีไม่เหมือนกับโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้จึงไม่เกิดปรากฏการณ์เลือดเทวะตกสู่พื้นโลก แต่ก็ยังคงย้อมพื้นดินใต้เท้าหลี่มู่จนเหมือนกับบ่อเลือดก็มิปาน
หวางซืออวี่น้ำตานองหน้า ในใจเจ็บปวด โกรธแค้น ร้อนรน เธอถูกสะกดไว้กับที่ กระทั่งตายังกะพริบไม่ได้ นอกจากน้ำตาไหลและสิ้นหวังแล้ว ก็ไม่อาจทำอะไรอื่นได้เลย
พวกของหมิงเยวี่ยและกัวอวี่ชิงอีกด้านก็โกรธแค้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ทว่าหลี่มู่ลั่นวาจาไว้แล้ว ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปช่วยโดยเด็ดขาด
“เหอะๆ ความตายอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังจะทำตัวเป็นวีรบุรุษ” ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงหัวเราะเยาะ กระทั่งดาบยาวบนแผ่นหลังก็ไม่ได้ชักออกมา เอ่ยว่า “ไม่ต้องใช้คนอื่นหรอก ข้าแค่คนเดียวก็ส่งเจ้าไปยมโลกได้”
เขาอยากลงมือมาตั้งนานแล้ว
“ข้าไม่อาจ ลงมืออีก” ชายหนุ่มเย็นชาที่สะพายกระบี่ในชุดดำ หลังจากถูกชี้เรียกก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเดินถอยไปหนึ่งก้าว ปฏิเสธคำสั่งจากจักรพรรดิเซียนหมิงกวงตรงๆ “ชนะไม่สู้ ข้าไม่ยอม ผิดหลักข้า”
ชนะโดยไม่ต้องสู้ ทำร้ายผู้อื่นขณะที่เขาลำบาก ขัดกับหลักใจเต๋าของเขา
การตัดสินใจนี้ต้องใช้ความกล้าด้วย
ปู้เฟยเหยียนคนพี่ในสองพี่น้องยังไม่ทันจะเปิดปาก น้องสาวจอมแก่แดดทำหน้าดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าคือสตรีที่จะเป็นนักดาบอันดับหนึ่งของแดนดาราจื่อเวย จะลงมือกับคนใกล้ตายที่สูญสิ้นพลังต่อสู้แล้วเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่มันดูหมิ่นวิถีดาบของข้า”
พี่สาวปู้เฟยเหยียนไม่ได้ลงมือ แต่ดึงมือน้องสาวไว้ด้วยสีหน้าปกติ ไม่ออกปากห้าม และไม่ได้ใช้ ‘คำสาปผนึกวาจา’ ด้วย การกระทำเช่นนี้แสดงท่าทีของนางชัดเจนแล้ว
ในดวงตาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงมีประกายเคลื่อนไหว ครั้นมองไปที่ร่างของสามคนนี้ แรงกัดดันยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งก็บดขยี้ลงไปปานถล่มภูเขาทลายสมุทรทันที
“พวกเจ้าหมายความว่าอะไร” ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงใช้แววตากรุ่นโกรธมองชายหนุ่มสะพายกระบี่ชุดดำและพี่น้องสองสาว สีหน้าอารมณ์ไม่เป็นมิตร คำพูดและการเลือกของสามคนนี้ทำให้ใบหน้าเขารู้สึกแสบร้อนเหมือนถูกตบ
“เหอะๆ ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ ตอนนี้พวกเจ้าจะแสดงคุณธรรมอันสูงส่งหรือ?”
“เห็นใจผู้ผิดบาปเสียอย่างนั้น?”
“ผู้น้อยสามคนนี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าขัดปณิธานของผู้อาวุโสหมิงกวงรึ?”
ในสิบคนนี้ ผู้ฝึกตนนอกพิภพคนอื่นที่เตรียมจะลงมือกับหลี่มู่มีสีหน้าอับอาย ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเกรงกลัวการเปรียบเทียบทั้งสิ้น การเลือกและการกระทำของชายหญิงสามคนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจ และเกิดความริษยาเกลียดชังขึ้นในเวลาเดียวกัน
“ฮี่ๆ ข้าว่าสามคนนี้ซ่อนความคิดชั่วช้าเอาไว้ คงจะแอบสมคบคิดกับผู้ผิดบาป มิสู้สังหารไปด้วยกันเสียเลยดีกว่า” เด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษที่สองขาพิกลพิการยิ้มเย็นชา บนใบหน้ามีจิตสังหารเปี่ยมล้น
“เจ้าก็ลองดูสิ” ชายหนุ่มที่สะพายกระบี่ยิ้มหยันขณะจับจ้องเด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษ
‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงพลิกมือชักดาบยาวมาจากด้านหลัง สีหน้ามืดทะมึน “ในเมื่อกล้าขัดปณิธานของผู้อาวุโสหมิงกวง ก็ตายเสีย!”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงยิ้มบางๆ “ข้าจะสังหารผู้ผิดบาป แต่ไม่สังหารวีรชนรุ่นหลังของข้า พวกเจ้าเด็กน้อยทั้งสามกล้าต่อต้านข้า นับว่ามีความกล้าหาญเช่นกัน…” ระหว่างพูด เขามองไปทางคนอื่นๆ “เด็กน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำสามคนนี้ให้ปล่อยไว้ จัดการสังหารผู้ผิดบาปอันต่ำต้อยนั่นก่อน”
พวกของ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงรีบร้อนรับคำสั่ง
เปรี้ยง!
จ่างซุนฉางคงซัดฝ่ามือออกไปลองเชิง กระแสพลังดุจคลื่นซัดหลี่มู่กระเด็นไปตกกระแทกพื้นห่างไปราวสิบจั้ง
“อั่ก…” หลี่มู่อ้าปากพ่นเลือดออกมา
เด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษเห็นภาพนี้ก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ ข้าคิดว่าจะยังสู้ได้อีก ที่แท้ก็เป็นธนูแผ่วปลายแล้ว ทานไว้ไม่ได้แม้แต่ทีเดียว…” เขายกมือขึ้นซัดหินก้อนหนึ่งออกไปกระแทกอย่างแรงบนร่างของหลี่มู่ จากนั้นพาหลี่มู่ปลิวไปราวตุ๊กตาผ้าขาด เลือดสดไหลริน
เป็นธนูแผ่วปลายแล้วจริงๆ ด้วย
เด็กหนุ่มคนนี้ชะตาถึงฆาตแน่แล้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าผู้ฝึกตนนอกพิภพมากมายถอนหายใจยาวออกมา มีความรู้สึกว่าในที่สุดฝันร้ายนี้ก็จะจบลงเสียที
……………………………………….