จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 472 ทะลวงสวรรค์
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แม่นางต๋าจี่ไปนอกพิภพแล้ว”
ณ จวนปีศาจสวรรค์ จ้าวปีศาจ ‘เสี่ยวเยา’ ต้อนรับหลี่มู่อย่างนอบ น้อม จากนั้นก็อธิบาย “แม่นางต๋าจี่เป็นสายเลือดจิ้งจอกเก้าหาง ฐานะ สูงส่ง ปรมาจารย์แห่งดาวจิ้งจอกขาวเลือกนาง ถ่ายทอดวิชาเซียนเก้า หางให้ อนาคตไกล เทวะหลี่ไม่ต้องเป็นห่วงนาง ต่อให้เป็นข้าก็ยังอิจฉา วาสนาของแม่นางต๋าจี่ยิ่งนัก”
หลี่มู่ถามต่อ “เป็นต๋าจี่ยินดีไปเอง หรือถูกพวกเจ้าบังคับ?”
‘เสี่ยวเยา’ ตอบอย่างสัตย์จริง “แม่นางน้อยแรกเริ่มอาลัยอาวรณ์ ท่านมาก เรียกท่านว่าท่านพ่อหลี่ แต่หลังจากได้ฟังคําโน้มน้าวให้ไปฝึก วิชาเซียนอันร้ายกาจ ฝึกฝนความสามารถเพื่อมาช่วยท่าน ดังนั้นจึงจะ ไปเอง”
หลี่มู่ไม่พอใจ “ก็แค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าถึงต้องใช้ คําโกหกหลอกลวงปกปิดล่อลวงนางเชียวรึ”
‘เสี่ยวเยา’ ยิ้มเอ่ย “เทวะหลี่พูดผิดแล้ว เผ่าเก้าหางอยู่ในห้วงดารา สมุทรมีประวัติมายาวนาน มีอํานาจยิ่งใหญ่ แม่นางน้อยในเมื่อมี
พรสวรรค์สามารถทําให้ปรมาจารย์แห่งเผ่าจิ้งจอกขาวสัมผัสได้ทั้งยังให้ ความสําคัญ เป็นวาสนา วันหน้าฝึกฝนสําเร็จเป็นบุคคลชั้นยอด ปกครองชะตาชีวิตตัวเองนั่นไม่ดีหรือ เทวะหลี่หากใช้ความอาลัย อาวรณ์ของนางที่มีต่อท่านรั้งนางเอาไว้ กลับจะทําให้นางเสียเวลา เด็ก น้อยยังไม่รู้จักผลประโยชน์ ถูกผิด บางครั้งผู้ใหญ่ก็ต้องเลือกให้แทน มิใช่หรือ?”
หลี่มู่ขมวดคิ้ว
เขาลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอกจวนปีศาจสวรรค์
“เจ้าเป็นคนที่พาไป หากวันหน้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไร หวังว่า เจ้าจะรับผิดชอบ พูดจาสําบัดสํานวนได้เหมือนวันนี้ บอกเผ่าจิ้งจอก ขาวแทนข้าด้วย ดูแลต๋าจี่ให้ดี หลังจากข้าก้าวสู่นอกพิภพแล้วจะต้องไป เยี่ยมเยือนแน่นอน”
หลี่มู่พูดจบร่างก็หายไปจากที่เดิมแล้ว
ใบหน้าของ ‘เสี่ยวเยา’ คล้ายครุ่นคิดอะไร สุดท้ายก็ฉายแววตกใจ
พลังที่หลี่มู่สําแดงออกมาในชั่วพริบตานี้สูงกว่าที่เล่าลือกันในโลก ภายนอกมาก เกรงว่าในใต้หล้าแห่งนี้ ไม่มีใครสามารถกําราบเขาได้แล้ว จริงๆ ตําแหน่งอันดับหนึ่งในใต้หล้า เขานั่งได้มั่นคงแล้ว
“เห็นทีจะต้องควบคุมเหล่าชาวปีศาจแล้ว วันหน้าจะต้องทําอะไร อย่างระมัดระวังรอบคอบ อย่าได้ล่วงเกินเมืองขาวพิสุทธิ์ ฟ้าดิน แผ่นดินใหญ่เสินโจว อนาคตในอีกช่วงระยะเวลายาวคงอยู่ภายใต้การ ปกคลุมจากพลังเมืองขาวพิสุทธิ์แล้ว”
……
เมื่อกลับมาเมืองขาวพิสุทธิ์ หลังจากจัดเตรียมอะไรเรียบร้อย หลี่มู่ ก็เลือกที่จะเก็บตัวฝึกฝน
เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งอัศจรรย์พิสดารบางอย่าง สามารถเตรียมออกไป จากโลกใบนี้เดินทางกลับโลกได้แล้ว
เรื่องงานราชการหยุมหยิมในเมืองต่างๆ มีพวกเฝิงหยวนซิง หม่าจ วินอู่ เจินเหมิ่งคอยดูแล
ส่วนชิงเฟิงก็เริ่มจัดระเบียบผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากการไปสุสานเทพ ของทุกคนในครั้งนี้ ศึกษาความอัศจรรย์ล�าลึกที่ซ่อนอยู่ในของวิเศษ ทั้งหลาย อีกทั้งตําราลับ เคล็ดวิชา ค่ายกลต่างๆ จากมิติเก็บของที่ได้มา จากหลังที่หลี่มู่ฆ่าผู้ฝึกฝนนอกพิภพทั้งหลายพวกนั้นซ�าแล้วซ�าเล่า
ส่วนวงเป่าสีดีดร้องทั้งสี่ไม่ได้จากไป แต่กลับอยู่ในเมืองขาวพิสุทธิ์ เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาของสํานักกําเนิดฟ้า ยังคงนับถือหลี่มู่เป็นเจ้านาย คอยดูแลเมืองขาวพิสุทธิ์ต่อไป
พวกเขาทั้งสี่อยู่ในบรรดาผู้ฝึกฝนนอกพิภพมีพลังธรรมดา แต่อยู่ ในโลกใบนี้กลับเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด ไม่กลัวใครผู้ใดทั้งนั้น ทั้งสี่คน จับมือกัน น่ากลัวว่ามากพอที่จะสยบทั้งดาวดวงนี้ได้
จักรพรรดิฉินหมิงรวมทั้งผู้สนับสนุนสํานักนอกพิภพที่อยู่เบื้องหลัง ล้วนตายในสุสานเทพ จักรวรรดิฉินตะวันตกกลายเป็นเรือไร้หางเสือ องค์ชายน้อยฉินเจิ้งค่อยๆ เผยคมเขี้ยวให้เห็น
จักรวรรดิซ่งเหนือตกต�าทรุดโทรมอย่างหนัก สร้างเมืองใหม่ แต่ ปรากฏการณ์แบ่งแยกดินแดนของเหล่าอ๋องทั้งหลายไม่ได้เปลี่ยนไป
ส่วนหวางซืออวี่สุดท้ายก็ไม่ได้มาเมืองขาวพิสุทธิ์ แต่เลือกที่จะอยู่ ที่ซ่งเหนือ ช่วยปาเสียนอ๋องบิดาบุญธรรมของนาง นางไม่อาจฝึกฝนได้ อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเมืองขาวพิสุทธิ์เช่นนี้ก็ไม่มีความหมาย อะไรเท่าไหร่ หลี่มู่เคารพการตัดสินใจของนาง ได้แต่ส่งคนไปปกป้อง อย่างลับๆ
จักรวรรดิฉู่ใต้ก็วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ จากการหายตัวไปของชวีอ๋อง การแย่งชิงระหว่างอ๋องไม่เคยหยุด นี่ก็เป็นสภาพปกติของจักรวรรดินี้ อยู่แล้ว
ราชวงศ์ต้าเยวี่ยกลับหยั่งรากฐานได้มั่นคงในสิบเมืองเก้าดินแดน เริ่มฟื้ นฟูประชากร
ดีที่มีโองการที่หลี่มู่ประกาศก่อนหน้านี้ ดังนั้นสํานักฝั่ งต่างๆ ผู้ที่มี ใจทะเยอทะยาน อีกทั้งขั้วอํานาจทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ต่างไม่กล้าทํา เรื่องไม่ดี อยู่ในสภาวะรักษาความสงบเสงี่ยม รอคอยโอกาส
เรื่องใหญ่ในแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ หลี่มู่ไม่สนใจ อีกต่อไป
เขามุ่งแต่เก็บตัวฝึกฝน เสาะหาวิถียุทธ์ ฝึกฝน ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิ อมตะ’ ฝึกวิชาดาบ
การเดินทางในสุสานเทพ สําหรับหลี่มู่แล้วเบิกทางสว่างให้หลี่มู่ เป็นอย่างมาก
เวลาไหลไป
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสองปี
หลี่มู่ฝึกดาบ หลอมพลังอยู่ในเรือนดาบทุกวัน วันแล้ววันเล่า ปีแล้ว ปีเล่า แทบจะไม่ออกจากเรือนดาบเลย
โลกเล่าลือถึงตํานานของหลี่มู่ แต่กลับไม่เห็นร่างเงาของเขา
ข้าไม่อยู่ในยุทธ์จักร แต่ยุทธ์จักรเล่าลือเรื่องของข้า
ไม่มีใครรู้ว่าพลังของหลี่มู่ถึงขั้นใด เพราะไม่มีใครกล้าท้าทายเขา
สองปีนี้เมืองขาวพิสุทธิ์รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เต็มเปี่ ยมไปด้วยพลัง ค่อยๆ กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า ดึงดูดให้อัจฉริยะ วิถียุทธ์มากมายมาขอพึ่งพิง หลี่มู่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรคนพวกนี้
ในเมืองวิชายุทธ์เฟื่ องฟู ยอดฝีมือถือกําเนิดมากมายไม่หยุด แต่ กลับรักษากฎระเบียบความเรียบร้อยได้ดี
พวกเฝิงหยวนซิงดูแลเรื่องการปกครอง ส่วนชิงเฟิงและหมิงเยวี่ย ดูแลจัดการเรื่องในยุทธจักร
เวลาสองปี ความโตเกินไวและสติปัญญาประหนึ่งปีศาจของชิงเฟิง ทําให้คนมากมายตื่นตะลึง
เขาเลือกคนที่เหมาะสมถ่ายทอดเผยแพร่วิชาต่อสู้ วิชาหลอมโลหะ และค่ายกลต่างๆ ที่ตนเองศึกษาค้นคว้าออกมา กระจายวิชาความรู้ ออกไป รวบรวมพลังสติปัญญาของทุกคนแล้วจัดระเบียบใหม่ เพื่อ ยกระดับ สรุป ปรับปรุงจากข้อเสนอแนะ
สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญก็คือเรื่องที่ต้องใช้สติปัญญา งานคุณูปการครั้ง ใหญ่
และพลัง พลังฝึกตน ความรู้ สติปัญญา ความสามารถ ความทรง อํานาจของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนในยุทธจักรต่างขนานนามว่า
‘คุณชายนักปราชญ์น้อย’ มีอํานาจอย่าง ‘เพียงคําพูดเดียวก็สั่งการยุทธ จักร’
ส่วนหมิงเยวี่ย นางในฐานะประมุขพรรคกระยาจกก็ท่องผดุงความ ยุติธรรมไปในยุทธจักรกับเจ้าไซบีเรียน แน่นอน หลักๆ แล้วเพื่อลิ้มรส ของอร่อย และดื่มสุราเลิศรสในใต้หล้าให้หมด
เดิมนางก็พลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว เจ้าไซบีเรียนก็ยังร้ายกาจ รวมกับ พรรคกระยาจกข่าวสารแม่นยําฉับไว คนมีมากมายเพียงพอ อีกทั้งเหตุ จากหลี่มู่และชิงเฟิง แผ่นดินใหญ่เสินโจวนี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องกลุ่ม หนึ่งคนหนึ่งสุนัขนี่ ทั้งคู่ค่อยๆ สร้างชื่อเสียง ได้รับขนานนามว่า ‘จอม ยุทธ์หญิงสุนัขเทพ’ แต่สมญานี้ไม่ว่าจะเป็นหมิงเยวี่ยหรือเจ้าไซบี้ล้วน ไม่ค่อยชอบเท่าใด ทุกครั้งที่ได้ยินก็พาลจะโมโหเสียทุกครั้ง
และในปลายปีที่สองที่หลี่มู่ปิดด่าน ภายใต้การช่วยเหลือจากพี่สาว อย่างองค์หญิงใหญ่ฉินเจินและราชครูลึกลับจิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ องค์ ชายน้อยฉินเจิ้งที่กุมอํานาจได้ก็ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการในวัง หลวงเมืองฉิน เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของฉินตะวันตก
ฉินเจิ้งเปลี่ยนรัชศกใหม่เป็นรัชศกชิงผิง ปีนี้จึงกลายเป็นฉิน ตะวันตกรัชศกชิงผิงปีที่หนึ่ง โลกภายนอกเรียกจักรพรรดิน้อยอายุสิบสี่ ปีผู้นี้ว่าจักรพรรดิฉินชิงผิง
ชวีอ๋องเจียงชิงหรวนที่ถูกกักขังอยู่ในเมืองขาวพิสุทธิ์ อยู่ในคุกมืด ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอยู่ตลอดเวลาจนใกล้จะบ้าแล้วเต็มที ขอร้องขอ พบหลี่มู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากถูกจับ มาแล้วจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
แต่เดิมคิดว่าหลี่มู่จะสอบเค้นสืบสาวเรื่องกลุ่มคนชุดดําด้วยตัวเอง เขากระทั่งว่าเตรียมคําอธิบายต่างๆ เอาไว้ คิดไม่ถึงว่าจะแค่ถูกขัง เท่านั้น หลี่มู่ขี้เกียจจะสนใจเขา วันเวลาที่ไร้แสงสว่างช่างเป็นการ ทรมานที่น่ากลัวที่สุดในโลก เพื่อจะได้เห็นเพียงเศษเสี้ยวแสงตะวัน ดม กลิ่นหอมของหญ้า สุดท้ายแล้วเขาก็ตอบคําถามเรื่องราวมากมายเอง…
ตามเวลาที่ไหลผ่านไป หลายคนพบเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง
พลังฟ้าดินของดาวดวงนี้เริ่มค่อยๆ เข้มข้นขึ้น
ความเข้มข้นนี้ไม่ใช่เมืองใดเมืองหนึ่ง และก็ไม่ใช่แค่จักรวรรดิใด เขตใดเขตหนึ่ง แต่ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจว รวมถึงแผ่นดินสุดแดนใต้ ที่ราบทุ่งหญ้า ดินแดนชนเผ่าทั้งหลาย พลังฟ้าดินในทุกๆ ที่ล้วนเริ่ม เข้มข้นขึ้น
ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตอย่างบ้าคลั่ง วิหคนกกามีอิทธิฤทธิ์ สัตว์เดิน เท้ากลายเป็นเซียน ปีศาจ
และผลกระทบต่อมนุษย์ คุณสมบัติกายของคนธรรมดาทั่วไป เปลี่ยนแปลง พลังแข็งแกร่งขึ้น อายุขัยเพิ่มขึ้น สําหรับจอมยุทธ์ ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มมากกว่าในอดีตหลายเท่า ข้อติดขัดมากมาย ที่ก่อนหน้านี้ไม่อาจทะลวงได้ ก็ทะลวงได้ง่ายๆ ฝึกฝนกําลังภายในหรือ ปราณแท้ออกมาได้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้ว
ตามเวลาที่ผันผ่านไป มีจอมยุทธ์ทะลวงขั้นฟ้าประทานและเหนือ มนุษย์ได้มาขึ้นเรื่อยๆ เทวะก็กําเนิดขึ้นไม่หยุด!
พลังฟ้าดินฟื้ นกลับมาอีกครั้ง
นี่เป็นคําอธิบายจาก ‘คุณชายนักปราชญ์น้อย’ แห่งเมืองขาว พิสุทธิ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์วิถียุทธ์แผ่นดินใหญ่เสินโจว
พลังฟ้าดินเหมือนน�าทะเล มีขึ้นมีลง หลายพันปีที่ผ่านมา พลังฟ้า ดินในแผ่นดินใหญ่เสินโจวอยู่ในช่วงลดลงในทุกที่ ตกต�าจนถึงขีดสุด ส่วนการพลิกผันของสถานการณ์เช่นนี้แผ่นดินใหญ่ก็เข้าสู่ยุคพลังฟ้า ดินพุ่งเพิ่ม
ความเข้มข้นของพลังวิญญาณจะส่งผลกระทบต่อสรรพชีวิต ทั้งหลาย และส่งผลกระทบต่อกฎแห่งฟ้าดินเช่นกัน
ยุคที่พลังฟ้าดินทะลักล้นยุคหนึ่งจะเป็นยุคทองแห่งวิถียุทธ์ เรืองรองอย่างแน่นอน
ปีที่สามที่หลี่มู่เก็บตัวฝึกฝนซึ่งก็เป็นปีที่ห้าที่เขามายังโลกใบนี้ แผ่นดินใหญ่เสินโจวในที่สุดก็มีผู้แข็งแกร่งที่ทะลวงขั้นทะลวงสวรรค์ได้ คนหนึ่ง
นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งไร้ชื่อเสียงเผ่าปีศาจตนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่ รู้จัก ฝึกฝนอยู่ในหุบเขาเทวะ วันหนึ่งทะลวงขั้น ผจญเคราะห์ในขุนเขา กว้างใหญ่ ทําให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน เมฆทั่วสารทิศไหลเคลื่อนคล้อย ดึงดูดคนนับไม่ถ้วนให้มุ่งไปดู
ขั้นตอนการผจญเคราะห์ทั้งหมดน่ากลัวเป็นอย่างมาก ผู้แข็งแกร่ง เผ่าปีศาจไร้ชื่อตนนี้ถูกสายฟ้าถาโถมท่วมมิด หายไปในห้วงอัสนีกว้าง ใหญ่ ในช่วงเวลาสําคัญ เพราะเหตุลึกลับอะไรบางอย่าง ทําให้แสงอัสนี เคราะห์สวรรค์เกิดสัญญาณพลังลดลง สุดท้ายผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจ ลึกลับคนนี้ก็ผจญเคราะห์สําเร็จ
เขาแค่โจมตีออกไป ท้องฟ้าก็แยกออกเป็นเผยให้เห็นรอยแยกดํา มืด มองเห็นดวงดาวส่องประกายยิบยับ นําทางไปสู่โลกใบใหม่ลึกลับ เลือนราง
ทะลวงสวรรค์!
ผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ของโลกใบนี้นับไม่ถ้วนมองเห็นภาพนั้นอยู่ ไกลๆ ก็ล้วนใจเต้นระรัว หลงใหลเคลิ้บเคลิ้ม
ข้างหลังรอยแยกก็คือโลกเซียนนอกพิภพในตํานานใช่หรือไม่?
ตํานานวิถียุทธ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาเนิ่นนาน ภาพอัศจรรย์วิถียุทธ์ พวกเขาได้เห็นในยามที่มีชีวิตแล้วหรือ?
ในขั้นตอนที่ผจญเคราะห์สวรรค์ ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจตนนี้ก็แสดง ร่างที่แท้จริงออกมา เป็นนกเผิง[1]ปีกทองตัวหนึ่ง สุดท้ายเมื่อเขาผจญ เคราะห์สําเร็จก็ไม่ได้จากไปในทันที แต่เลือกที่จะทําขอบเขตให้เสถียร มั่นคงก่อนบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว
เพราะพลังฟ้าดินฟื้ นคืน ระดับการรองรับพลังงานของโลกใบนี้ เห็นได้ชัดว่ายกระดับขึ้น สามารถ ‘รับ’ ผู้แข็งแกร่งพื้นเมืองขั้นทะลวง สวรรค์ได้
ไม่นาน หัวข้อถกเถียงหัวข้อหนึ่งก็แพร่ไปทั่วแผ่นดินใหญ่เสินโจ วกันอย่างสนุกปาก
หลายคนวิเคราะห์และคาดเดา ระหว่างนกเผิงยักษ์ปีกทองที่ ทะลวงขอบเขตทะลวงสวรรค์ตนนี้กับบุคคลวิถียุทธ์อันดับหนึ่งหลี่มู่ ใครจะยิ่งแข็งแกร่งกว่ากัน
ข้อถกเถียงต่างกันไป ผู้สนับสนุนมีทั้งสองฝั่ ง
และในการถกเถียงเช่นนี้ ไม่ถึงหนึ่งเดือน ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวง สวรรค์คนที่สองของแผ่นดินใหญ่เสินโจวก็ถือกําเนิดขึ้น เป็นอัจฉริยะ เผ่ามนุษย์ตระกูลเก่าแก่ เย่อหยิ่งอวดดี ผจญเคราะห์สําเร็จก็ซัดท้องฟ้า แยกเป็นทางเช่นกัน
เหมือนกับนกเผิงยักษ์สีทอง เขาก็เลือกที่จะอยู่ในแผ่นดินใหญ่เสิน โจวทําให้ขอบเขตเสถียรก่อน
แต่เห็นได้ชัดว่าเขากําเริบเสินสานยิ่งกว่า
“ข้าไร้เทียมทานในใต้หล้า ข้าจะให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในฟ้าดิน แห่งนี้ศิโรราบต่อข้า”
…………………………………………
[1] นกในตํานาน ว่ากันว่าในทะเลแดนเหนือมีพญามัจฉาตัวใหญ่ หลายพันลี้ชื่อว่า ‘คุน’ ภายหลังแปลงเป็นนก ‘เผิง’ นกเผิงมีขนาดใหญ่ หลายพันลี้ ยามสะบัดปีกบิน ท้องทะเลก็ปั่ นป่วนคลุ้มคลั่งไกลถึงสาม พันลี้