จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 559 สังหารให้สิ้นซาก
“ต้วนสุ่ยหลิว แกไอ้ฆาตกร สังหารวิถียุทธ์ฝ่ายธรรมะ เจ้าสํานัก
คนในสํานักฝ่ายธรรมะตายด้วยเงื้อมมือเจ้ามากมายมหาศาล เจ้าไม่
รู้สึกผิดเลยหรืออย่างไร?”
ต้วนเฟิงลุกยืนขึ้น ยืนอยู่บนหัวเรือ ใบหน้าทรงคุณธรรม เอ่ย
กล่าวโทษเสียงดังอย่างผดุงความยุติธรรม
หลี่มู่แค่นเสียงเย็นเอ่ยขึ้น “ชีวิตของพวกเจ้าเก้าสํานักคือชีวิต
เช่นนั้นชีวิตคนภูเขาสู่ของข้าไม่ใช่ชีวิตหรืออย่างไร? ลูกศิษย์ภูเขาสู่ที่
ตายด้วยมือของเก้าสํานักไม่รู้ต่อเท่าไหร่ วันนี้ ข้าไม่ใช่เพียงแค่จะชนะ
เท่านั้น แต่ยังจะคิดทีละบัญชี นับจากวันนี้ โลกดาวทุรกันดารมีเพียง
ลัทธิภูเขาสู่ ไม่มีเก้าสํานักอีกต่อไป”
คําพูดนี้พูดได้กําแหง เหี้ยมโหดนัก จิตสังหารทะลักล้น
ต้วนเฟิงได้ยินดังนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี
ลูกศิษย์เก้าสํานักคนอื่นๆ ก็หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
นี่จะล้างเก้าสํานักหรือ?เจ้าลัทธิคนใหม่ของภูเขาสู่กําแหงถึงเพียงนี้เชียว?
“ต้วนสุ่ยหลิว เจ้ามันเป็นคนเหี้ยมโหดอํามหิตจริงๆ คําพูดไร้
คุณธรรมเช่นนี้ยังพูดออกมาได้” ต้วนเฟิงโมโหหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะ
เอ่ย “แต่ว่า อย่าคิดว่าเจ้านั้นไร้พ่ายจริงๆ เซียนบนสวรรค์ใช่ผู้ที่เจ้าจะ
กําเริบด้วยได้เสียที่ไหน เจ้าก็อย่าได้ดูถูกพลังของยุทธ์จักรธรรมะของ
เรานักเลย”
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น “เซียนหากลงมาเยือนข้าก็จะสังหารเซียน
ลัทธิเทพภูเขาสู่รวบรวมยุทธจักรให้เป็นหนึ่ง”
ต้วนเฟิงฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน
เขาพลันตั้งสติกลับมาได้ ต้วนสุ่ยหลิวคนนี้เดิมก็เหมือนผู้ฝึกฝน
ลัทธิมารอยู่แล้ว จะมากลัวอะไรกับเรื่องพวกนี้
สัมผัสได้ถึงสายยตาที่มองมาจากข้างหลัง ต้วนเฟิงรู้สึกเพียงหลัง
เย็นยะเยือก เขารู้ นี่คือการบอกจากเซียนชุดดําว่าไม่พอใจที่ตัวเองรีๆ
รอๆ จึงทําได้เพียงกดความรู้สึกกลัวลงไป ร่างพลันเหาะไปในอากาศพุ่ง
ไปยังเวทีประลองลอยฟ้า เอ่ยปากกล้าขาสั่น “หลี่มู่ วันนี้ข้าจะจบชีวิต
ชั่วช้าของเจ้าเสีย ฝ่ายธรรมะเก้าสํานัก ไม่มีทางทนถูกหยามหมิ่น”
ฟังคําพูดนี้ของต้วนเฟิง คนของเก้าสํานักฝ่ายธรรมะต่างโห่ร้อง
กึกก้องหลี่มู่กลับหัวเราะเสียงเย็น
ตอนนี้เอง ต้วนเฟิงที่อยู่กลางอากาศก็พลันสะบัดมือ
ฟุ่บ ฟุ่บ!
แสงดําสองสายพุ่งไปทางหลี่มู่
อัสนีอเวจี!
ต้วนเฟิงมองอย่างกระจ่าง ตัวเองต่อให้ใช้ ‘โอสถวาสนาหยกแดง’
กระตุ้นพลังอยู่เหนือสภาวะปกติหลายเท่า แต่ก็ยังคงไม่ใช่คู่มือของห
ลี่มู่ หลี่มู่จื่อและจูน่งก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด ดังนั้น ทีแรกเริ่มก็ไม่คิดจะฝืน
สู้กับหลี่มู่ เขายังไม่ทันร่อนลงถึงพื้นก็ชิงซัดไม้ตายออกไปก่อน
หลี่มู่เพียงหรี่ตา
แสงดํานั่นเร็วมาก แต่พลังสังหารไม่มาก สามารถใช้จิตดาบฟันได้
แต่ในเสี้ยวขณะที่เขาจะออกดาบ ในใจเขาก็เกิดลางสังหรณ์ขึ้น
ทันที
“มีแผนลวง!”
หลี่มู่โน้มไหล่ลง ร่างหายไปในทันที ที่ตรงนั้นเหลือเพียงรอยเงาบึ้ม!
แสงสีดําโจมตีไปบนพื้น แล้วระเบิดขึ้นทันที จากนั้นหมอกแสงสี
น�าตาลประดุจทําลายล้างลอยตลบมา คลื่นแสงทําลายล้างเป็นชั้นๆ แผ่
ไปทั่วท้องฟ้าทุกสารทิศ ท่ามกลางท้องฟ้าเกิดหลุมดํามืดสนิทหลุมหนึ่ง
ม่านปราการมิติถูกทําลายแหลก แผ่แรงดูดสังหารน่าหวาดกลัวออกมา
เหมือนหลุมดํา
ทั่วทั้งเวทีประลองเหนือฟ้าสั่นไหวอย่างรุนแรง
พื้นเกิดรอยแยกร้าวเป็นทางๆ เหมือนใยแมงมุม
“นี่มากพอจะทําร้ายให้ขั้นสามัญบาดเจ็บสาหัสได้”
หลี่มู่วิเคราะห์ออกมาในเสี้ยวพริบตา
นี่ไม่ใช่อาวุธของเก้าสํานักแน่นอน เป็นอาวุธของผู้ฝึกฝนนอก
พิภพ
“หืม? พลังแข็งแกร่งขนาดนี้…น่าจะถูกระเบิดไปแล้ว ไม่ตายก็ต้อง
เจ็บหนัก” ต้วนเฟิงก็ตกใจกับพลังของอัสนีอเวจีเช่นกัน แต่ใน
ขณะเดียวกันในใจก็ลิงโลด พลังชนิดนี้ทําให้ต้วนสุ่ยหลิวบาดเจ็บได้
แน่นอนเขายืนอยู่สุดขอบเวทีประลองลอยฟ้า โคจรพลังต้านทานพลัง
ระเบิดจาก ‘อัสนีอเวจี’ ในขณะเดียวกันก็โคจรพลังกวาดสายตามองหา
ร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสของต้วนสุ่ยหลิว ในมือของเขายังมี ‘อัสนีอเวจี’
อยู่อีกสองลูก สามารถลงมืออีกครั้งได้ตลอดเวลา
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทําให้ผู้ชมของทั้งสองฝ่ายตื่นตะลึง
“ไร้ยางอาย”
“ใช้อาวุธลับอย่างนั้นรึ”
ค่ายฝั่ งภูเขาสู่ด่าระงมทันที
“ดีจริง”
“ระเบิดมันให้ตายไปเลย…”
ส่วนเก้าสํานักนั้นโห่ร้องยินดีไปทั่ว
หมอกระเบิดทําลายล้างจากอัสนีอเวจีไม่สลายไป เหมือนว่ามันจะ
ดูด และหลอมละลายแสงได้ จึงมองเห็นไม่ชัดว่าหลี่มู่ที่อยู่ข้างในมี
สภาพเป็นอย่างไร
“ฮ่าๆ ต้วนสุ่ยหลิว ตอนนี้เจ้ารู้ฝีมือของเก้าสํานักหรือยังเล่า อาศัย
เจ้าก็คิดจะปกครองดาวทุรกันดารรึ หึๆ ถุย” ต้วนเฟิงหัวเราะฮ่าๆ จงใจส่งเสียงหยั่งเชิง พยายามยั่วยุหลี่มู่ เพื่อที่จะหาตําแหน่งหลี่มู่ในหมอก
‘อัสนีอเวจี’ ในมือสองลูกกําแน่น เตรียมไว้หากหลี่มู่เพียงออกมา ก็จะ
ลงมือทันที
แต่เสี้ยวขณะต่อมา เสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลังเขา
“งั้นหรือ?”
เป็นเสียงของหลี่มู่นั่นเอง
ใกล้เพียงแค่เอื้อม
ต้วนเฟิงตื่นตระหนก
เขากระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจของต้วนสุ่ยหลิวพ่นรดต้นคอของ
ตน ความเย็นยะเยือกที่ยากบรรยายทําให้เขาเหมือนตกอยู่ในโกดัง
น�าแข็งทันที
“ข้า…” ตอนที่ต้วนเฟิงกําลังจะหันหน้ากลับ พลันรู้สึกคอเย็นวาบ
จากนั้นครรลองสายตาก็เริ่มหมุนวนอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยมุมอย่างไม่
อยากจะเชื่อ จากนั้นเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งยืนอยู่บนเวทีลอยฟ้า
แผลที่คอไหลเลื่อนลงมากําลังไหลพุ่ง แบบของชุดนั่น…
นั่นเป็นข้า!นั่นเป็นร่างของข้า
เจ้าเมืองเป็นหนึ่งผู้นี้พลันรู้ตัว
แต่ว่าร่างของข้าทําไมถึงไม่มีหัว?
ท่ามกลางความตื่นตะลึง ต้วนเฟิงถึงได้มองเห็นว่าหลี่มู่ยืนอยู่ข้าง
กายตน ‘อัสนีอเวจี’ สองลูกนั้นก็อยู่ในมือของหลี่มู่ไปแล้ว
หลังจากนั้น ครรลองสายตาก็เริ่มพร่าเลือน
ช่วงสุดท้ายของชีวิต เขามองเห็นร่างของตัวเองถูกเปลวไฟกลุ่ม
หนึ่งแผดเผากลายเป็นเถ้า โปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า
หลี่มู่มองไปทางเก้าสํานัก
เรือเหาะหลายร้อยลํา ฝูงชนแน่นขนัด เงียบกริบไปตั้งนานแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของบางคนแข็งค้างเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ‘อัสนี
อเวจี’ ที่น่ากลัวแบบนั้นไม่ได้ทิ้งรอยใดๆ ไว้บนร่างของเจ้าลัทธิมารต้
วนสุ่ยหลิวเลย กระทั่งผมของเขา หรือแม้แต่เสื้อของเขาก็ไม่ยุ่งเหยิง
ยับย่นเลย
ในเสี้ยวขณะนี้ คนในสํานักและผู้แข็งแกร่งเก้าสํานักแทบจะทุกคน
ในใจต่างมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาชายนามต้วนสุ่ยหลิวผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะเอาชนะได้
ความหวาดกลัวแผ่ถาโถมมายังจิตใจของเขาประดุจคลื่น จากนั้นก็
ท่วมพวกเขาทั้งตัวจนมิด
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของสํานักภูเขาสู่ ศึกประลองสิบยกใน
ที่สุดก็นับว่าจบลงแล้ว
ภูเขาสู่ชนะหกแพ้สี่ หัวเราะจนถึงสุดท้าย
คนของเก้าสํานักสีหน้าหมองหม่น
กงซุนเปี๋ ยหลีผู้นําตระกูลหุ่นกลไกกัดฟันก้าวออกมา “ได้ ศึก
ประลองครั้งนี้พวกเจ้าภูเขาสู่ชนะ เมืองไป๋ตี้ยังเป็นของพวกเจ้า พวก
เราเก้าสํานัก…” ยังพูดไม่ทันจบ สีหน้าของเขาก็พลันหวาดกลัวเป็น
อย่างยิ่ง สีหน้าราวเจอเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในโลก กรีดร้องออกมา “ไม่
เจ้าจะทําแบบนั้นไม่ได้…หนีเร็ว!”
หลังของเขาพลันมีปีกโลหะคู่หนึ่งงอกออกมา เหมือนกับปีกเทวดา
แบบนั้น สะบัดพรึ่บทะยานขึ้นฟ้า หมุนตัวหนีทันที
เสี้ยวพริบตาต่อมา ‘อัสนีอเวจี’ สองลูกนั้นก็ลอยมาจากมือหลี่มู่
แล้วตกลงไปใจกลางกลุ่มเรือเหาะเก้าสํานัก เสียงดังบึ้มลอยมาแล้ว
ระเบิดออก พลังน่าหวาดหวั่นทําลายล้างเรือเหาะไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ คนบนนั้นก็เหมือนมดที่ถูกเปลวไปแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่เสียง
ร้องโหยหวนก็ยังไม่ทันได้ร้องออกมา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งเทวะ หรือ
มหาเทวะก็ไม่อาจต้านทานได้
คลื่นรังสีของ ‘อัสนีอเวจี’ แผ่ระลอกมา เรือเหาะที่อยู่ขอบๆ ต่าง
ถูกหอบลอยทับซ้อนเป็นชั้นๆ หลอมละลายไปอย่างรวดเร็วเหมือน
น�าแข็งถูกไฟแผดเผา
ใจกลางระเบิด ท้องฟ้าถูกฉีกเป็นหลุมดํา
ศพทั้งหมด ซากเรือก็ถูกแรงดูดจากหลุมดํานี้ดูด จากนั้นก็กลืนกิน
เข้าไป
หมอกอัสนียะเยือกสีดําลอยตลบมาในท้องฟ้า เหมือนควันดําจาก
เปลวไฟลุกโหมเผาไหม้
ต่อให้เป็นคนของภูเขาสู่ที่อยู่บนกระสวยแสงเทพก็ต่างคิดไม่ถึงว่า
จู่ๆ หลี่มู่จะทําเช่นนี้
ตอนนี้หลายคนถึงจะนึกถึงคําพูดที่หลี่มู่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้
ว่า——นี่ไม่ใช่ศึกประลอง แต่เขาจะทําลายล้างเก้าสํานัก
นี่เอาจริงแล้วส่วนหลี่มู่ยืนอยู่บนเวทีประลองลอยฟ้าที่ใกล้จะพังทลายลงเต็มที
เนตรสวรรค์กลางหน้าผากแสงเทพทางหนึ่งไหลวน มองไปทางเขตเรือ
เหาะเก้าสํานักที่ปั่ นป่วนเหมือนกําลังหาอะไร
ทันใดนั้นเอง——
“เจอเจ้าแล้ว”
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น จิตสังหารในดวงตาไหลวน
เขาเพียงยกมือ ดาบบินหนึ่งร้อยแปดทางก็ปรากฏออกมาจากมิติ
เก็บดาบ ควงหมุนฟุ่บๆ แปรเปลี่ยนเป็นลําแสง รวมตัวดาบขนาดใหญ่
เล่มหนึ่งที่มือเขา คือ ‘ดาบวัฏจักร’ ที่ไม่เห็นมานานแล้วนั่นเอง ลําแสงสี
ขาวหมุนวน คมดาบประหนึ่งสายน�าระยิบระยับยามฤดูใบไม้ร่วง
“ตาย!”
ร่างของหลี่มู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นลําแสงพุ่งไปยังเขตหมอกดํา
‘อัสนีอเวจี’
เงาร่างไปถึงเพียงชั่วอึดใจ
แสงดาบไหลวน ดาบหนึ่งผ่าหมอกดําไปทางลูกศิษย์สํานักกระบี่
ทะเลประจิมอายุน้อยที่ทําตัวไม่ถูกคนหนึ่งไม่มีใครรู้ว่าทําไมหลี่มู่จึงกําดาบในมืออย่างจริงจังเช่นนี้ คู่ต่อสู้เป็น
เพียงลูกศิษย์อายุน้อยที่ไม่สําคัญอะไรเลย ดูแล้วพลังฝึกตนไม่ถึงขั้น
เหนือมนุษย์ด้วยซ�า จวบจนกระทั่งเสียงปะทะโลหะแปลกประหลาด
เสียงหนึ่งดังขึ้น
เคร้ง!
ในมือของลูกศิษย์อายุน้อยสํานักกระบี่ทะเลประจิมคนนั้นมีกระบี่
เรียวปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รับดาบนี้ของหลี่มู่เอาไว้ได้อย่างไม่น่า
เชื่อ
“คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจอจนได้!”
เงาดําเพียงพัดผ่านร่างลูกศิษย์สํานักกระบี่ทะเลประจิมคนนี้
จากนั้นก็แปรเปลี่ยนรูปโฉมเป็นสาวงามใบหน้าเกลี้ยงเกลาชุดผ้าโปร่ง
บางสีดําคนหนึ่ง แต่ดวงตาของนางเรียวเล็ก ให้ความรู้สึกไร้จิตใจ
เหี้ยมโหด นางจ้องหลี่มู่ “แปลกใจหรือไม่เล่า? พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
หลี่มู่เก็บดาบ แล้วฟันออกไปอีกหนึ่งดาบ
เคร้ง!
สตรีชุดผ้าโปร่งบางสีดําตวัดกระบี่รับไปอีกครั้ง
“วันนี้ รางวัลค่าหัวของเจ้า ข้าขอรับไปล่ะนะ”ประกายกระบี่พร่างพรายสะท้านออกมาจากกระบี่เรียวในมือของ
สตรีผู้นี้ ระยิบระยับดั่งดวงดาริกา
ท้องฟ้ารอบๆ ถูกเฉือนแหลกราญในชั่วพริบตา
ร่างของหลี่มู่ก็ถูกแสงกระบี่นี้เฉือนแหลกราญเป็นหลายสิบชิ้น
ทันที
……………………………………………