ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่187 เริ่มการแข่ง
ตอนที่187 เริ่มการแข่ง
ไม่นานหลังจากที่จ้าวเฉียนมาถึงสนามแข่ง International Racing จ้าวเฉียนก็โทรหาหวานเจียงทันที
“ฮาโหล เธออยู่ไหน?”
จ้าวเฉียนทักถาม
หวานเจียงกระซิบเสียงเบาตอบกลับไปว่า
“นี่นายมาจริงๆเหรอ? ฉันบอกไปแล้วว่าอย่ามา ไม่ฟังกันเลยรึไง!”
“ยิ่งได้ยินแบบนั้นเลยต้องมา ฉันจะจัดการให้เจ้านั้นสิ้นฤทธิ์เอง!”
จ้าวเฉียนเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจ
หวานเจียงคล้ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระบุตำแหน่งที่เธออยู่ไป
จ้าวเฉียนแกล้งทำเป็นวิ่งไปชนเข้ากับหวานเจียงโดยบังเอิญ โดยทักทายทันทีว่า
“อ้าวคุณหวาน ช่างบังเอิญอะไรแบบนี้ ดันมาเจอคุณในที่แบบนี้ซะได้”
หวานเจียงถึงกับกลอกตาไปที เธอไม่อยากให้จ้าวเฉียนมาพบเธอในสภาพนี้จริงๆ เธอตอบกลับไปว่า
“บังเอิญดีนะ แล้วนายมาทำอะไรที่นี่?”
จ้าวเฉียนรวนหัวเราะคิกคักเล็กน้อยและเอ่ยตอบไปว่า
“ระหว่างอาบน้ำ ผมดันลื่นล้มหัวไปฟาดขอบอ่างอาบน้ำน่ะ จู่ๆก็อยากสร้างหนังที่เกี่ยวกับรถแข่งขึ้นมา ก็เลยเดอนทางมาดูสถานที่จริง”
หวานเจียนลอบส่ายหัวอย่างลับๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่า จ้าวเฉียนจะกล้าโกหกหน้าด้านๆออกมาแบบนี้
เฟิงเต๋อคิดว่าจ้าวเฉียนเป็นพวกชายหื่นตามจีบหวานเจียง เหลือบหางตาเหล่มองจ้าวเฉียนเล็กน้อยด้วยความรังเกียจ และเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“คุณผู้ชาย ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย หรือจะเป็นคนสนิทของคุณหวาน?”
จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า
“ไม่เลยครับ ผมเพิ่งรู้จักกับเธอได้ไม่นาน อืม…จะว่าไปหน้าตาของคุณก็ดูคุ้นดีนะครับ? เหมือนกับว่าเคยพบเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง”
หวานเจียงกลอกตาระลอกสองอย่างช่วยไม่ได้ และผายมือกล่าวแนะนำเฟิงเต๋อให้จ้าวเฉียนรู้จักทันที
จ้าวเฉียนเสแสร้งแกล้งทำเป็นตื่นตะลึง อุทานขึ้นว่า
“ว้าว! ก็ว่าทำไมผมรู้สึกคุ้นจัง! ที่แท้ก็เป็นผู้กำกับดาวรุ่งของเรานี่เอง! ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ! ยินดีที่ได้รู้จัก!”
เห็นดังนั้นเฟิงเต๋อครุ่นคิดไปว่า บางทีจ้าวเฉียนอาจเป็นพวกผู้กำกับหนังหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการมา ดังนั้นเขาจึงกล่าวแนะนำขึ้นทันทีว่า
“เป็นเด็กใหม่ ควรเริ่มต้นจากอะไรง่ายๆก่อนจะดีกว่านะ อย่างเช่นถ่ายโฆษณาหรือไม่ก็MVเพลง จะมาสร้างหนังเลยดูจะใจร้อนเกินไป ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา สิ่งนั้นจะกลายเป็นตัวทำลายอาชีพในอนาคตของคุณเลย”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปว่า
“สิ่งที่ผู้กำกับเฟิงพูดสมเหตุสมผลดีครับ ผมยังไม่ควรข้ามขั้นมาก็จริง แต่ความใฝ่ฝันของผมคือการได้ทำหนังสักเรื่อง ถ้าได้ทำหนังเกี่ยวกับรถแข่งกับคุณคงจะดีมากเลยครับ”
ขณะที่สนทนากันอยู่นั่นเอง เกมการแข่งขันก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
จ้าวเฉียนจึงรีบตัดบทกล่าวไปว่า
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณสองคนแล้ว พอการแข่งจบลง เดี๋ยวผมแวะมาหาใหม่นะครับ”
ทันทีที่พูดจบจ้าวเฉียนก็วิ่งจากไปทันที
เฟิงเต๋อหันมาถามหวานเจียงเจือสีหน้ารังเกียจว่า
“หมอนั้นคือใคร? คนในบริษัทคุณเหรอ?”
หวางเจียงยิ้มแห้งพลางส่ายหัวตอบ
“เดี่ยวคุณก็รู้เอง หลังเกมการแข่งจบลง เขาจะมาพบกับคุณอีกครั้งแน่ มีอะไรสงสัยก็ถามเขาไปตรงๆได้เลย แต่ฉันแนะนำว่าอย่าไปคุยกับเขาเลยจะดีกว่า”
ยิ่งเฟิงเต๋อได้ยินแบบนั้น เขายิ่งมั่นใจขึ้นทันทีว่า จ้าวเฉียนจะต้องเป็นหนุ่มที่คอยตามจีบหวานเจียงแน่นอน และในฐานะที่เขาเองก็มีเป้าหมายเป็นหวานเจียงเช่นกัน เขาไม่มีทางญาตดีกับอีกฝ่ายแน่นอน
จ้าวเฉียนตรงมาถึงสถานที่ที่มีธรงสัญลักษณ์ของตนตั้งอยู่
ในการแข่งครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการแข่งอยู่สองคน นอกจากอู่เลอแล้วก็ยังมีนักแข่งอีกคนชื่อว่า ซางหมิง ซึ่งหน้าที่ของซางหมิงคือการปกป้องอู่เลอไม่ให้คู่ต่อสู้แซงไปได้ ถึงแม้นจะต้องเสียสละตัวเองก็จำเป็นต้องทำ เพื่อให้แน่ใจว่าอู่เลอจะสามารถเหยียบได้เต็มร้อย โดยไม่มีคู่แข่งเข้ามาขวาง
นี่เป็นกลยุทธ์โดยทั่วไปของการแข่งรถ และเกือบทุกทีมล้วนทำแบบนี้กันทั้งสิ้น
สถานที่ใช้แข่งขันในครั้งนี้ค่อนข้างซับซ้อนอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นถนนที่จำลองโค้งมาจากสนามทดสอบใบขับขี่ที่เพิ่มความยากไปอีกเท่าตัว ซึ่งกล่าวได้ว่า จะแพ้หรือชนะก็ต้องมาวัดกันที่จุดนี้
ในตอนเริ่มเกมการแข่งอู่เลอกับซางหมิงอยู่ช่วงตำแหน่งกลาง หลังจากก็คล้ายว่าจงใจถอนคันเร่งรั้งท้ายตลอดการแข่งขัน
จ้าวเฉียนไม่ค่อยรู้เรื่องการแข่งรถมากนัก จึงหันไปถามเหล่าลูกมือในทีมว่า
“นี่เป็นกลยุทธ์ของอู่เลอเหรอ?”
ลูกมือคนนั้นพยักหน้าและอธิบายให้ฟังทันทีว่า
“นี่เป็นกลยุทธ์ของพี่เลอเอง สองรอบแรกพี่เลอบอกว่า เขาไม่จำเป็นต้องเร่งความเร็วแข่งกับคนอื่นให้เสียเปล่า ที่เขาผ่อนคันเร่งแบบนั้นก็เพื่อรักษาหน้ายางให้สมบูรณ์แบบที่สุด และใช้มันในช่วงโค้งสุดท้ายและแซงคว้าที่หนึ่งในอึดใจ และอีกข้อสำคัญคือ การขึ้นนำตั้งแต่รอบแรก พี่เลอจะตกเป็นเป้าของคู่แข่งคันอื่นๆทันที”
จ้าวเฉียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวชมเชยขึ้นว่า
“อืม การแข่งรถมันไม่ได้วัดแค่ความเร็วอย่างเดียวสินะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องใช้สมองมากขนาดนี้ เอาล่ะ! ถ้าอู่เลอชนะการแข่งครั้งนี้ เดี๋ยวฉันพาทุกคนไปฉลองที่โรงแรมตงไห่!”
“เย้! ขอบคุณมากครับบอส!”
“บอสจ้าวของเราสุดยอดที่สุดแล้ว!”
ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นต่างโหร้องดีใจกันยกใหญ่ ทั้งยังร้องเพลงสรรเสริญจ้าวเฉียนกันอย่างมีความสุข
“สุดยอดไปเลยบอส!”
“เตรียมชนแก้วให้บอสจ้าวเลยครับ!”
………..
ทันทีที่รอบแรกผ่านไป จู่ๆซางหมิงก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และค่อยๆแซงทีคนคันขึ้นนำมาถึงส่วนกลางของขบวน
“บอส นี่คือกลยุทธ์ของพี่เลอ เขาจะให้ซางหมิงออกโรงไปเคลียร์ทางให้ก่อน เพื่อให้พี่เลอแซงขึ้นนำได้สะดวกขึ้นครับ”
ลูกมือข้างกายเอ่ยอธอบายแบบนาทีต่อนาที จ้าวเฉียนพนักหน้าและชมการแข่งต่อไป
หลังจากที่ซางหมิงสามารถรักษาตำแหน่งจนมั่นคงแล้ว เขาก็ไปเปลี่ยนเข้าเลนขวาทันที เพื่อบล็อกไม่ให้คนอื่นแซงได้ อู่เลอใช้โอกาสนั้นเร่งความเร็วตีตื้นขึ้นมาทันที ก่อนที่ซางหมิงจะเข้ามาตีประกบข้างคล้ายว่าทำหน้าที่ป้องกันจากคู่ต่อสู้รอบทิศ
ภายใต้ความร่วมมือระหว่างอู่เลอและซางหมิง การจะแซกคันอื่นขึ้นนำจะกลายเป็นเรื่องง่ายดายในทันที
ในเวลานี้เอง พวกเขามาถึงทางโค้งสุดหินแล้ว และเป็นอีกครั้งที่อู่เลอกับซางหมิงใช้แผนเดิมเพื่อขึ้นแทรกระหว่างทางโค้ง
พอถึงจุดหวังผล รถแข่งของซางหมิงก็เร่งเครื่องพุ่งขึ้นหน้าอีกครั้ง เข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เพื่อหาตำแหน่งให้อู่เลอขึ้นแทรกจ่อไป
อาศัยกลยุทธ์นี้ อู่เลอขึ้นเป็นอับดับสามทันที ทางด้านซางหมิงยังคงเข้าเบียดรถในเลนซ้ายและขวา หวังไม่ให้พวกนั้นขึ้นแซงได้
“ไปเลย! คว้าที่หนึ่งมาให้ได้!”
“นายทำได้เฉาหลิน นายต้องขึ้นเป็นแชมป์คนต่อไป!”
“สู้ๆ…”
ในเวลานั้นเอง สุ่มเสียงของเหล่าหนุ่มสาวที่อยู่ไม่ฝกล้ไม่ไกลจ้าวเฉียนก็ตะโกนโหลั่นหลายหลากอารมณ์พลั่งพลู
จ้าวเฉียนปราดตามองแค่แวบเดียวถึงกับเหลียวมองอีกทีแทบไม่ทัน ในบรรดากลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่เขารู้จักอยู่ด้วย ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหยางหมิงที่ไม่ได้เจอกันสักระยะหนึ่งแล้ว
บรรดาลูกมือรอบตัวจ้าวเฉียนที่เห็นปฏิกิริยาแบบนั้น จึงเอ่ยปากอธิบายต่อทันที
“พวกเขาอยู่ในทัมซุปเปอร์คาร์คลับ มีแต่พวกลูกทายาทเศรษฐีทั้งนั้น”
จ้าวเฉียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยเอ่ยตอบด้วยท่าทีสับสนไปว่า
“ซุเปอร์คาร์คลับ? ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลย!”
“เป็นปกติครับที่บอสไม่เคยได้ยิน ในวงการนี้มีทีมรถแข่งมากมายนอกจากในทีวี เจ้าของซุปเปอร์คาร์คลับมีเงินทุนหนามาก ได้ข่าวรถที่เข้าร่วมการแข่งในครั้งนี้มีมูลค่าสูงถึง5ล้านหยวน และเขาก็คือหลินจือ โดยมีพ่อของเขาอย่างหลินซ่ง ประธานบริษัท หรงจี้ อินเวสเมนต์ คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ ปรากฏว่าเป็นทีมรถแข่งของพวกลูกทายาทเศรษฐีนี่เอง
ระหว่างพูดคุย สามอันดับแรกก็เริ่มทิ้งห่างจากขบวนแล้ว
นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะชี้ชะตาผู้ชนะ ตัดสินว่าใครจะคว้าอันดับหนึ่งไปได้
ทางด้านของทีมหลินจือ พวกเขาเองก็มั่นใจอย่างมากว่าพวกตนต้องเป็นผู้ชนะ เพราะกลยุทธ์ของพวกเขาเองก็เหมือนกับของอู่เลอไม่มีผิด โดนให้รถหมายเลข35บล็อกอู่เลอไว้ และเปิดทางให้หมายเลข10ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงและคว้าชัยทั้งแบบนั้น
เกมนี้เป็นการแข่งที่สำคัญอย่างยิ่ง นอกจากจะได้รับรางวัลเป็นจำนวน1ล้านหยวนแล้ว ผู้ชนะอันดับหนึ่งยังได้สิทธิ์ไปแข่งขันต่อในระดับเอเชียได้ ดังนั้นหลินจือจึงคาดหวังอย่างยิ่งกับเกมการแข่งขันนี้
ห้าโค้งสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย อู่เลอพยายามขึ้นแทรกในโค้งแรก แต่กลับต้องคว้าน้ำเหลว รถแข่งหมายเลข35ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม อีกฝ่ายจงใจละลอรถเพื่อลดความเร็วของอู่เลอตามไปด้วย
“โอ้! เลนของพี่เลอถูกบล็อกแล้ว! โอกาสเดียวที่เหลืออยู่คือการขึ้นแทรกในอีกสี่โค้งข้างหน้า!”
“ใช่แล้ว ถ้าพี่เลอทำไม่สำเร็จ ระยะทางตรงก่อนเข้าเส้นชัย เขาจะไม่มีวันขึ้นแทรกได้อีก!”
“แย่แล้ว ถ้าพี่เลอไม่ได้แชมป์นี้ไป เขาต้องลงแข่งในรอบคัดเลือกกับไม่รู้อีกกี่ร้อยทีม ถ้าเป็นแบบนั้นจึงปัญหาใหญ่แน่!”
“กุญแจสำคัญคือ สิทธิ์การเข้าแข่งขันในระดับเอเชีย และเงิน1ล้านก็สำคัญมากเช่นกัน นั่นเป็นส่วนที่ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายในอีก6เดือนข้างหน้า!”
จ้าวเฉียนไม่ค่อยรู้เรื่องกลไลเครื่องยนต์หรือรถแข่งมากมายเช่นกัน เขามีเพียงความรู้พื้นฐานที่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนในตอนวัยรุ่นอย่างเรื่อง “Initial D” เท่านั้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือ ส่งกำลังใจอู่เลอ
“เราคงทำได้เพียงส่งกำลังใจให้เขาแล้วเท่านั้น ตราบใดที่ชนะ เงินรางวัล1ล้านฉันจะไม่แตะต้องและให้พวกนายไปแบ่งกันเองเลย แล้วไม่ต้องก่วงเรื่องเงืนสนับสนุนปีหน้า ฉันจ่ายเองทั้งหมด!”
เมื่อทุกคนได้ยินว่าจ้าวเฉียนจะมอบเงินรางวัล1ล้านให้พวกเขาไปแบ่งกัน แต่ละคนต่างคึกขึ้นมาทันที
“สุดยอดไปเลยครับบอส!”
“พวกเรา! มาเชียร์พี่เลอกันเถอะ! พวกเราต้องชนะ!”
“ไปเลยพี่เลอ! คว้าอันดับหนึ่งมาให้ได้!”
เสียงเชียร์ของทีมจ้าวเฉียนดังสนั่นไปทั่วบริเวณนั้น จนทำให้ทีนซุกเปอร์คาร์คลับหันมามอง
“อะไรของพวกมัน? ทีมมันอยู่ที่สามไม่ใช่เหรอ? เหลืออีกแค่สี่โค้งสุดท้าย พวกมันแพ้แล้ว!”
“ฮ่าฮ่า….อย่าได้ฝันหวานไปเลย!”
….
พอหหยางหมิงเหลือบไปเห็นจ้าวเฉียน เขาก็หัวเราะเยาะขึ้นคำหนึ่ง และหันไปกระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ข้างหู่หลินจือ
หลินจือหันมามองจ้าวเฉียนด้วยสีหน้าเย้ยหยันในทันใด