ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่200 พูดแทนฟู่เทียน
ตอนที่200 พูดแทนฟู่เทียน
จ้าวเฉียนวุ่นกับเรื่องของตัวเองมาพักใหญ่แล้ว และไม่มีเวลาไปสอบถามความเป็นอยู่ของบริษัทฟางนี่เลย
จางหยางเองก็ไม่ลืมเขาเช่นกัน ดังนั้นพอถึงเวลาประชุมผู้ถือหุ้น จึงไม่ลืมที่จะเชิญจ้าวเฉียนมาด้วยเช่นกัน
หลังจากที่รับฟังผลการดำเนินงานของไตรมาทที่ผ่านมา บริษัทฟางนี่ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ชั่วคราว แต่ยังดีที่มีโปรเจคร่วมกับเหล่ยอู่ ทำให้บริษัทยังทรงตัวต่อไปได้ ทว่ายังไม่มีกำไร
นี่คือเอกสารที่จ้าวเฉียนได้รับมา พอเดินทางไปถึงบริษัท บรรดาเพื่อนร่วมงานของเขาทั้งหมดคลี่ยิ้มอ่อน พลางทักทายดล็กน้อยเป็นพิธี
จางหยางขู่พวกเขาทุกคนว่า ตอนนี้ตนเองถือเป็นประธานบริษัทชั่วคราว ดังนั้นใครก็ตามที่กล้าพูดคุยกับจ้าวเฉียนจะต้องโดนไล่ออกทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข บรรดาเพื่อนร่วมงานแต่ละคนจึงจำใจทำตัวเฉยเมยกับจ้าวเฉียนอย่างไม่มีทางเลือก
ทุกคนทราบดีถึงความขัดแย้งระหว่างจางหยางกับจ้าวเฉียน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดคุยกับจ้าวเฉียนมากนัก
ในห้องประชุม ฟางนี่, จางหยาง, หวานฮันซู และฟู่เทียน ล้วนนั่งประจำที่อยู่ในห้องประชุม แต่สิ่งที่แปลกคือคราวนี้ ฟางนี่ไม่ได้นั่งอยู่หัวโต๊ะ แต่นั่งอยู่ด้านหลังจางหยางเสมือนผู้ช่วย
เมื่อเห็นจ้าวเฉียนมาถึง ฟางนี่ก็เอ่ยปากทักทายทันที
“จ้าวเฉียน เป็นยังไงบ้างช่วงนี้?”
“เป็นยังไงงั้นเหรอ? เหอะ ได้ข่าวว่าเพิ่งใช้เส้นสายทำลายเฟยอวี่กรุ๊ปไปเองหนิ”
หวานฉันซูเอ่ยกล่าวน้ำเสียงดูถูกยิ่ง
ฟู่เทียนระเบิดหัวเราะเยาะ
“ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกลับไม่รู้จัก สักวันนายจะต้องชดใช้ผลกรรมของตัวเอง!”
จางหยางระเบิดหัวเราะลั่นและกล่าวว่า
“จ้าวเฉียน บางครั้งบางทีฉันก็รู้สึกชื่นชมนายนะ กล้าชนไม่เว้นขนาดนี้ ฉันอยากรู้จริงๆว่าชีวิตของนายต่อจากนี้จะเป็นยังไง? ไม่ใช่ว่าต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ? เพราะอะไรงั้นเหรอ? เพราะนายเพิ่งทำลายเฟยอวี่กรุ๊ปไปยังไงล่ะ สองพ่อลูกตระกูลหยางเอานายตายแน่ นี่ยังไม่รวมบรรดาผู้ถือหุ้นอีกนะ แล้วอย่างนายจะรอดเหรอ?”
จ้าวเฉียนนั่งเก้าอี้ประชุมเท้าคางอย่างเฉยชา ก่อนยิ้มตอบไปว่า
“ผมอยู่บนเส้นทางล้างแค้นจนเคยชินแล้วครับ ตราบเท่าที่ผมสามารถเอาคืนได้สมใจ ผมไม่สนใจผลที่ตามมาหรอกครับ แล้วผู้จัดการจางเป็นยังไงบ้างครับ? คุณมีสิทธิ์นั่งเก้าอี้ตัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ฮ่าฮ่า…เสี่ยวนี่กำลังตั้งครรภ์อยู่น่ะ เลยต้องพักไม่อยากให้ทำงานหนักช่วงนี้ ดังนั้นฉันจึงขึ้นมาเป็นคนดูแลแทนชั่วคราว อำนาจทั้งหมดของเธอเป็นของฉันแล้ว”
จางหยางเอ่ยตอบอย่างมีชัย
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบ และไม่พูดอะไรอีกเลย
จางหยางเข้ามาแทนที่ฟางนี่เพื่อถือครองอำนาจ กล่าวได้ว่าเขาคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และการประชุมครั้งนี้ประธานก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขาเช่นกัน
“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีว่า เหตุผลที่วันนี้ผมเชิญทุกคนมาก็เพื่อจะประกาศว่า ทางบริษัทฟางนี่ของเขาตัดสินใจที่จะขยายหุ้นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนี่จะกระทบต่ออัตราหุ้นในส่วนของพวกคุณทุกคน ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบ ทุกคนมีความเห็นว่าอย่างไร?”
ทันทีที่สิ้นเสียงจางหยางไป หวานฮันซูก็แจ้งจุดยืนของตัวเองทันทีโดยกล่าวขึ้นว่า
“ตามกลักการแล้วผมเห็นด้วย แต่ผมเองก็มีเงื่อนไขข้อหนึ่งเช่นกันคือ หลังจากขยายเพิ่มหุ้นแล้ว ทางคุณจะต้องอนุญาตให้ผมเข้าซื้อเพิ่มเช่นกัน”
ฟู่เทียนกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว
“ฉันเองก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไร”
จางหยางพยักหน้าให้ทั้งคู่ทันทีและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้ว หลังจากนี้ผมจะช่วยเหลือพวกคุณเท่าที่จะทำได้ครับ แล้วจ้าวเฉียน นายมีความเห็นว่าไง?”
จ้าวเฉียนหัวเราะน้ำเสียงเย็น กล่าวตอบไปว่า
“ก็เห็นด้วยกันทุกคนแล้ว ความเห็นของผมยังสำคัญอะไรล่ะครับ? เชิญตามสบายกันเลย”
“ฮ่าฮ่า…นายค่อนข้างเข้าใจจุดยืนของตัวเองดีนะ อย่างไรก็เถอะ ตอนนี้นายก็เป็นส่วนหนึ่งของผู้ถือหุ้นบริษัท นายควรเคารพความคิดเห็นของตัวเองซะหน่อย ด้วยเหตุนี้เรามาลงความเห็นโดยการยกมือ ใครเห็นด้วยกรุณนายกมือขึ้นครับ”
หลังจากพูดจบ จางหยางก็ประเดิมยกมือขึ้นก่อน ตามด้วยหวานฮันซูกับฟู่เทียนที่ยกมือขึ้นตาม ส่วนจ้าวเฉียนยังคงนั่งเอามือเท้าคาง แสยะยิ้มมุมปากอย่างหน่ายใจ
ตามสัดส่วนมูลค่าผู้ถือหุ้นของจ้าวเฉียนตอนนี้ถูกปรับลดเหลือ25% เนื่องจากจางหยางขายให้ฟู่เทียน ดังนั้นความเห็นของเขาจึงไม่มีผลต่อการประชุมนี้อยู่แล้ว พูดไปก็เปลือยน้ำลายเปล่า
จางหยางแสยะยิ้มอย่างมีชัยขึ้นทันที เขารู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรก ที่เขาสามารถเอาชนะจ้าวเฉียนได้
“จ้าวเฉียน นายทำตัวดีขึ้นนะช่วงนี้ ถ้าก่อนหน้านายสงบปากสงบคำแบบนี้ คงไม่ถูกไล่ออกหรอก หลังจากนี้เราจะคุยกันต่อเรื่องการจัดสรรหุ้นหลังขยายเพิ่มเข้ามา นายออกไปได้แล้ว”
จ้าวเฉียนส่ายหัวและกล่าวตอบไปว่า
“ในฐานะผู้ถือหุ้น ผมมีสิทธิ์รับรู้การเปลี่ยนแปลงของบริษัท”
ฟู่เทียนแสยะยิ้มเยาะกล่าวอย่างรังเกียจว่า
“ถ้าเขาอยากอยู่ต่อก็ตามใจ แต่พวกเราเองก็ไม่จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของเขา มีก็เหมือนไม่มีนั้นแหละ”
“ถูกต้อง ผมเห็นด้วยกับคุณฟู่ จะอยู่หรือไม่อยู่ก็มีค่าเท่ากัน”
หวานฮันซูกล่าวเย้ยหยันซ้ำเติม
จ้าวเฉียนหรือจะนั่งเสียเวลาอยู่ฟัง คนพวกนี้แจกจ่ายหุ้นกันเอง? ที่เขายังยืนหยัดอยู่ที่นี่เพราะเขามีแผนอยู่ในใจแล้ว
จางหยางพยักหน้าและกล่าวขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้น เรามาเริ่มกันเลย เสี่ยวนีกับผมกำลังจะเพิ่มหุ้นจดทะเบียนเป็น100ล้านหยวน อย่างไรก็ตาม เราที่ได้รับความร่วมมือกับคุณฟู่จึงไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับโปรเจคในอนาคตแน่นอน สำหรับฮันซู ผมยินดีที่จะขายหุ้นเพิ่มให้ สำหรับจ้าวเฉียนคงไม่ได้ เพราะหุ้นที่เขาเคยซื้อมามันราคาถูกมากพอแล้ว พวกคุณทั้งสองคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้ครับ?”
จ้าวเฉียนยกมือขึ้นทันทีและกล่าวว่า
“ผมมีความคิดเห็นครับ”
จางหยางเหลือบมองเล็กน้อยและกล่าวตอบอย่างรังเกียจไปว่า
“คุณควรเก็บความคิดเห็นของคุณไว้ ไม่มีใครต้องการให้นายซื้อหุ้นเพิ่มแน่นอน”
ฟู่เทียนกับหวานฮันซูระเบิดหัวเราะเยาะลั่นอย่างมีความสุข
ฟางนี่รู้สึกอับอายแทน จึงกล่าวขึ้นทันทีว่า
“จางหยาง คุณฟู่ คุณฮันซู ดิฉันว่าพวกเราควรรับฟังความคิดเห็นของจ้าวเฉียนนะคะ ถึงยังไงเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของเรา เราต้องเคารพความคิดเห็นของเขา”
ขณะที่พวกจางหยางกำลังจะเอ่ยสวนกลับไป จ้าวเฉียนก็พูดแทรกขึ้นทันทีว่า
“ขอบคุณคุณฟาง ผมไม่ต้องการหุ้นส่วนเพิ่มแต่อย่างใด แต่ผมอยากเสนอให้ผู้จัดการจางเพิ่มหุ้นส่วนของคุณฟู่เป็น30%หรือมากกว่านั้น ถึงยังไงบริษัทฟางนี่แห่งนี้ยังต้องพึ่งพาอาศัยเหล่ยอู่เพื่อความอยู่รอดในอนาคต ดังนั้นผู้จัดการจางควรอนุญาตเพิ่มอัตราส่วนให้คุณฟู่”
ทันทีที่ความคิดเห็นของจ้าวเฉียนเปล่งดังออกมา ห้องประชุมพลันเงียบกริบลงทันที
‘เจ้าเด็กนี่มันหมายความว่ายังไงกัน? ทำไมหมอนี่ถึงพูดเพื่อช่วยเหลือฉัน?’
ฟู่เทียนอุทานกับตัวเองด้วยความสงสัย
จางหยจางเองก็มึนงงอย่างมากเช่นกัน พลางคิดกับตัวเองไปว่า
‘แปลก…แปลกมาก… คนอย่างไอ้จ้าวเฉียนไม่มีทางที่จะพยายามเพื่อใครอื่นแน่นอน แล้วทำไมคราวนี้ถึงพูดช่วยฟู่เทียน? หรือเป็นไปได้ไหมว่า…สองคนนี้จะแอบร่วมมือกัน?’
หวานฮันซูยิ่งกังวลกว่าใครๆ เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกโกง หรือคนพวกนี้กำลังรวมหัวกันหลอกเขา? ทำไมจ้าวเฉียนถึงพูดเชียร์ฟู่เทียนไปแบบนั้น?
จางหยางเอ่ยถามขึ้นทันทีอย่างช่วยไม่ได้
“จ้าวเฉียน นายมีแผนอะไรกันแน่? ฉันขอบอกนายไว้ก่อน บริษัทฟางนี่ในตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่นายรู้จักอีกแล้ว ไม่มีใครไว้หน้านายอีกแล้ว!”
จ้าวเฉียนแสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสา เอ่ยตอบไปตามความจริงว่า
“ผู้จัดการจาง นี่คุณกำลังหมายความว่ายังไงกันแน่? เพื่อให้บริษัทฟางนี่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ผมเลยอยากเสนอให้คุณฟู่ขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของที่แห่งนี้ ผมแค่แสดงความคิดเห็นเท่านั้น ทำไมพูดยังกับว่าผมผิด? หรือถ้าสิ่งนี้ทำให้พวกคุณไม่สบายใจกัน งั้นผมมอบหุ้นส่วนของผมให้กับคุณฟู่เองก็ได้นะครับ ยังไงซะผมก็ยังเหลือส่วนผู้ถือหุ้นอยู่นิดหน่อย กินปันผลได้สบายๆ เพราะบริษัทฟางนี่ยังต้องเพิ่งพาเหล่ยอู่อีกมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่า มันสมเหตุสมผลดีนะครับ?”
ฟู่เทียนพยักหน้าอย่างมีความสุข กล่าวขึ้นอย่างมีชัยว่า
“ดูเหมือนว่านายจะมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกลดีนะ การที่รู้จักจุดยืนของตัวเองนับเป็นเรื่องดี บางสิ่งบางอย่างเราไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดมันได้ ขอแค่ยอมรับความจริง ทุกๆอย่างจะดีขึ้นตามมาเอง”
“ถูกต้องแล้วครับ ผมหวังว่าในอนาคตต่อไปคุณฟู่จะทำกำไรให้บริษัทเรามากขึ้นและมากขึ้น หลังจากนี้ผมจะสนับสนุนคุณเองครับ”
จ้าวเฉียนยกมือทุบอกกล่าวเน้นย้ำจุดยืนอย่างหนักแน่น
ฟู่เทียนได้ยินแบบนั้นก็ระเบิดหัวเราะอีกครั้ง จางหยางกับหวานฮันซูเองก็หัวเราะขึ้นตาม
ในมุมมองของพวกเขา ท้ายที่สุดนี้จ้าวเฉียนก็ยอมจำนนแต่โดยดี
จางหยางประกาศอย่างเป็นทางการออกไปทันที
“อืม ผมเองก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของจ้าวเฉียน เพิ่มอัตราส่วนผู้ถือหุ้นของคุณฟู่เป็น30%! ส่วนฮันซู ฉันรับประกันได้ว่านายจะไม่ได้น้อยกว่า20%แน่นอน สำหรับนายจ้าวเฉียน ก็นั่งกินปันผลเล่นไปก็แล้วกัน จบการประชุม!”
จางหยางกระซิบกระซาบกับฟู่เทียนและหวานฮันซูต่อ คล้ายว่าไม่อยากให้จ้าวเฉียนได้ยินเรื่องราวต่อจากนี้
ส่วนทางจ้าวเฉียนเองก็ไม่จำเป็นต้องฟังอีกต่อไป ถ้าฟู่เทียนได้หุ้นส่วน30%ก็เท่ากับว่าจ้าวเฉียนได้มา30%เช่นกัน เพราะอะไรงั้นเหรอ? เพราะว่าอีกไม่นานเหล่ยอู่จะตกมาอยู่ในกำมือเขาแล้วยังไงล่ะ ปล่อยให้จางหยางดำเนินการโอนหุ้นต่อไปจนเสร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่จ้าวเฉียนวางไว้อย่างราบรื่น
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ พลางเย้ยเยาะกับตัวเองว่า
‘ปล่อยให้พวกโง่คุยกันวางแผนตามสบาย ส่วนฉันแค่รอชุบมือเปิปรวดเดียวทีหลัง ฮ่าฮ่า…’