ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่53 การตัดสินใจของจ้าวเฉียน
ตอนที่53 การตัดสินใจของจ้าวเฉียน
หยางหมิงข้องใจนักว่า พนักงานตัวเล็กๆ ในบริษัทกระจอกแบบนี้ ทำไมถึงกล้าท้าทายตนเองเรื่อยมา?
ทันใดนั้นเอง เขาก็จำได้ว่า มีครั้งหนึ่งที่จ้าวเฉียนถูกตำรวจจับไป ทว่าเหตุการณ์ดังกล่าวกลับคลี่คลายลงอย่างไร้สาเหตุและเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมาทันที ทางตำรวจยศผู้กำกับที่รู้จักบอกว่า มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่จากหยานจิ้นเข้าทาบทามอะไรสักอย่าง จึงจำเป็นต้องปล่อยตัวจ้าวเฉียนไปทั้งๆ แบบนั้น นี่แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า จ้าวเฉียนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาควรจะมีภูมิหลังอะไรบางอย่าง?
เพื่อความปลอดภัยของตัวหยางหมิงเอง เขาคิดว่าควรถามไถ่อีกฝ่ายไปเลยให้ชัดเจน ยังดีกว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นแล้ว มารู้ทีหลังว่าจ้าวเฉียนมีภูมิหลังเป็นถึงทายาทมหาเศรษฐี หรือเป็นคนจากตระกูลใหญ่ขึ้นมา ตอนนั้นอาจจะสายเกินแก้ไปแล้ว
“เรามาคุยกับแบบลูกผู้ชายดีกว่า! นายเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงกล้าแข็งข้อกับฉันขนาดนี้?”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะ เอ่ยตอบกลับไปว่า
“ฉันก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันก็แค่คนธรรมดาคนหนี่งที่เคยยากจนมาก่อน พอมีเงินในมือหน่อยก็อยากใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายบ้าง ถ้าไม่เชื่อก็ไปตามสืบประวัติฉันได้”
ตราบใดที่จ้าวเฉียนไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง หยางหมิงก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
“ฮ่าฮ่าๆๆ …อย่างงี้นี่เอง ที่แท้ก็ไอ้ขี้คุยนี่หว่า! ในเมื่อเป็นแบบนี้ฉันจะสูบเงินในกระเป๋าแกให้เกลี้ยงเลยคอยดู!”
ที่หยางหมิงมั่นใจขนาดนี้ เพราะเขาสามารถใช้เส้นสายในกรมตำรวจ เช็ดประวัติของอีกฝ่ายได้ และในเมื่อจ้าวเฉียนพูดถึงขนาดนี้ แสดงว่ามันก็แค่คนไร้ภูมิหลังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
แต่หยางหมิงหารู้ไม่ว่า ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้ปกปิดข้อมูลทั้งหมดที่ระบุเกี่ยวกับตัวตนของจ้าวเฉียนในอดีตไว้แล้ว แค่ตำรวจยศกระจอกในเมืองตงไห่ พยายามสืบหาให้ตายยังไงก็ไม่สามารถเข้าถึงชั้นข้อมูลนี้ได้
พอหยางหมิงกล่าวจบ เขาก็เดินจากไปทันทีพร้อมเสียงหัวเราะ
แววตาคู่นั้นของจ้าวเฉียนเปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการเช่นนั้น เขาคงต้องสร้างความบันเทิงให้บริษัทเฟยอวี่สักหน่อยแล้ว
หลังจากชนะการประมูล จ้าวเฉียนก็เดินทางกลับพร้อมกับเจียงเสี่ยวปิง
ทันทีที่ขึ้นรถมา จ้าวเฉียนก็เอ่ยปากพูดกับเจียงเสี่ยวปิงขึ้นพร้อมสีหน้าจริงจังขึ้นว่า
“เจียงเสี่ยวปิง เธอก็เห็นแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับหยางหมิงมันตึงเครียดแค่ไหน ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับเธอ ถ้าเธอกล้าไปยุ่งกับเขาไม่ว่าทางใด ก็อย่าหาว่าฉันไม่เคยเตือน บางทีฉันอาจเอาเธอถึงตาย!”
เจี่ยงเสี่ยวปิงที่จู่ๆ ก็มาได้ยินอะไรจริงจังแบบนี้ เธอนั่งตัวแข็งด้วยความผวา ยามนี้เริ่มรู้สึกจริงๆ แล้วว่า จ้าวเฉียนเป็นคนน่ากลัวกว่าที่คิด แตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง เห็นดังนั้นเธอจึงรีบตอบไปว่า
“นี่มันความคับแค้นใจระหว่างพวกนาย แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับฉันได้? ฉันไม่รู้จักหมอนั่นอยู่แล้ว แล้วจะไปยุ่งกับเขาได้ไง?”
จ้าวเฉียนปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา และออกรถกลับไปที่บริษัทโดยตรง
บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างรอฟังข่าวการประมูลอย่างใจจดใจจ่อ ทันทีที่เห็นทั้งสองกลับเข้ามา ทุกคนก็รีบแห่เข้าไปทักทายและเอ่ยถามขึ้นว่า บริษัทเราชนะการประมูลไหม?
จ้าวเฉียนเหลือบมองเจียงเสี่ยวปิงเล็กน้อย ก่อนตอบไปว่า
“ทุกอย่างราบรื่นดี เราชนะการประมูล!”
ทุกคนต่างโห่ร้องดีใจเอ่ยปากชื่นชมจ้าวเฉียนไม่ขาดสาย สำหรับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ผู้จัดการจ้าวโดดเด่นมากความสามารถเหลือเกิน แม้แต่คู่แข็งที่แข็งแกร่งจากบริษัทอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้
จ้าวเฉียนคลี่ยิ้มตอบและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม
ในขณะเดียวกัน หวังเฉียงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฝูงชน ก็จ้องจ้าวเฉียนตาเขม็งด้วยความอิจฉาริษยา ในทางกลับกับเขาก็เพิ่งคิดได้ว่า หากจ้าวเฉียนสามารถเอาชนะการประมูลได้ ก็หมายความว่า ทำให้หยางหมิงต้องขุ่นเคืองอย่างหนักเช่นกัน พอนึกถึงจุดนี้ หลากหลายอารมณ์ภายในใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น แผนการยืมมือหยางหมิงเพื่อจัดการกับจ้าวเฉียนเป็นไปได้ด้วยดี และถ้ากำจัดจ้าวเฉียนไปได้ ตำแหน่งผู้จัดการย่อมกลับสู่อ้อมกอดดังเดิมแน่นอนในอนาคต
เจวียงหยวนรู้สึกขุ่นมัวภายในใจเกินพรรณนา ในตอนแรกสุดจุดเริ่มต้นของทั้งสองเหมือนกันทุกอย่าง แต่ตอนนี้จ้าวเฉียนกลับได้ดีแซงหน้าเขาชนิดไม่ทิ้งฝุ่น หากจ้าวเฉียนยังเป็นผู้จัดการต่อไปล่ะก็ อนาคตของเขาจะต้องถูกอีกฝ่ายคอยขัดขวางแน่นอน
เจียงเสี่ยวปิงไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมจ้าวเฉียนถึงเป็นที่ชื่นชมของทุกคนมากมายนัก เธอจึงกล่าวแทรกขึ้นทันทีว่า
“เหอะ…นี่พวกนายไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้เลยใช่ไหม? จ้าวเฉียนจงใจเสนอราคาสูงลิบลิ่วจนเสี่ยงกระทบต่อเงินเดือนของพวกเรา แถมยังเสี่ยงต่ออนาคตของบริษัทอีกด้วย ไม่รู้ว่าถ้าประธานฟางทราบเข้า เธอจะโกรธหรือไม่?”
ทุกคนต่างตกตะลึงกันอย่างยิ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น จ้าวเฉียนไม่ใจกล้าเกินไปหน่อยเหรอ? กล้าที่จะเสนอราคาทั้งๆ รู้ว่าขาดทุน? ถ้าประธานฟางรู้เรื่องเข้า เธอไม่ฟาดเขาตายคามือเลยเหรอ?
หวังเฉียงและเจวียนหยวนได้ใจในทันทีที่ได้ยินแบบนี้ ครั้งนี้จ้าวเฉียนทำตัวเอง!
อย่างไรก็ตาม หวังเฉียงไม่มีคุณสมบัติที่จะเอ่ยปากแสดงความเห็นได้อีกต่อไปแล้ว แต่เจวียงหยวนทำได้
เขากล่าวขึ้นทันควันว่า
“จ้าวเฉียน นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นผู้จัดการจริงๆ แล้วใช่ไหม? แล้วอีกอย่าง ถึงตอนนี้นายจะเป็นผู้จัดการ แต่นายก็ไม่ใช่เจ้าของบริษัทแห่งนี้ กล้าตัดสินใจเองโดยที่ไม่ถามความเห็นของประธานฟางได้ยังไง?!”
จ้าวเฉียนเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า
“ในเมื่อประธานฟางวางใจให้ฉันดูแลบริษัทระหว่างนี้ ดังนั้นฉันจึงมีสิทธิ์ตัดสินใจโดยชอบธรรม นายไม่ต้องกังวลไปหรอก ไม่ว่าบริษัทจะหมุนเงินทันหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับนาย เงินเดือนก็ได้เท่าเดิม หรือจะให้ฉันลดดีล่ะ?”
เจวียงหยวนยิ้มเยาะและเถียงขึ้นว่า
“นี่นายเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? เรื่องผลประโยชน์ของบริษัทเกี่ยวข้องกับทุกคน! ถ้าบริษัทตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เงินโบนัสที่นายสัญญาไว้ดิบดี ก็กลายเป็นแค่ฝันกลางวัน! นายคือตัวการที่ทำให้บริษัทต้องเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ทุกคน! ไอ้คนแบบนี้ยังสมควรเป็นผู้จัดการอยู่จริงๆ เหรอ?”
แม้ว่าคนอื่นๆ จะใช้ถ้อยคำต่อว่าที่ไม่ค่อยรุนแรงนัก แต่พวกเขาก็เห็นไปในทางเดียวกับคำกล่าวของเจวียงหยวน จ้าวเฉียนให้ความสำคัญกับการประมูลครั้งนี้เกินไป โดยไม่ได้คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานเลย
จ้าวเฉียนขี้เกียจที่จะอธิบายให้คนพวกนี้ฟังแล้ว อีกอย่าง ถ้าบอกให้พวกเขาลองคำนวณการแสเม็ดเงินที่ไหลเวียน ทั้งยังส่วนแบ่งการตลาดในอนาคตที่เพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดผลประโยชน์ล้วนหลั่งไหลเข้าบริษัทไม่มีสิ้นสุด แต่พวกเขาเหล่านี้จะเข้าใจเหรอ?
ทำไมCEOชื่อดังมากมายถึงกล้าทุ่มเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อลงทุนในอะไรสักอย่าง? ทั้งๆ ที่เมื่อลงทุนไปแล้วยังไม่สามารถขึ้นเป็นเจ้าที่ผูกขาดได้? นั้นก็เพราะ ตราบใดที่พวกเขาได้ส่วนแบ่งการตลาดสักหนึ่งส่วนสาม ผลกำไรที่ตามมาก็เยอะจนคำนวณไม่หวาดไม่ไหวเช่นกัน ประเทศนี้มีจำนวนประชากรแตะหลักพันล้านเข้าไปแล้ว กล่าวได้ว่ายังไงก็คืนทุนในไม่ช้า แถมยังมีทางเลือกทำตัวเป็นเสือนอนกิน หรือเดินหน้าเชิงรุกเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ก็สามารถเลือกสรรกลยุทธ์ได้ตามอิสระ เรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่ในหัวจ้าวเฉียนหมดแล้ว
แต่เจวียงหยวนและคนอื่นๆ คิดแค่ว่า การทำแบบนี้อาจส่งผลให้บริษัทเกิดหนี้ที่มากเกินชำระไหว และอาจส่งผลกระทบไปถึงโบนัสสิ้นปี หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือ เงินเดือนถูกปรับลด
ในเมื่อพวกเขามีปัญญาคิดกันได้แค่นี้ จ้าวเฉียนก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เสียเวลาเช่นกัน
“ฉันจะอธิบายเรื่องนี้กับประธานฟางทีหลังเอง ส่วนเรื่องโบนัสสิ้นปีก็ไม่ต้องห่วง นี่เป็นสวัสดิการที่พวกนายทุกคนควรได้รับแน่นอน บริษัทของเราในปีนี้ตั้งเป้ากำไรอยู่ที่100ล้านหยวน เลิกคิดมากและกลับไปทำงานได้แล้ว”
จากนั้นจ้าวเฉียนก็เดินกลับไปยังห้องทำงานและนั่งพัก แต่เจวียงหยวนไม่ยอมหยุดแค่นี้ เขารีบโทรหาฟางนี่โดยตรง เพื่อรายงานสถานการณ์ทุกอย่างที่จ้าวเฉียนได้ก่อไว้ ผนวกกับความอิจฉาริษยาที่มีต่อจ้าวเฉียน หวังขึ้นขนาดที่ว่า ครั้งนี้จ้าวเฉียนต้องโดนฟางนี่ปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทันทีแบบสายฟ้าแล่บ
ซึ่งเดิมทีเจวียงหยวนคาดการณ์ไว้ว่า ฟางนี่จะต้องโมโหอย่างมากเมื่อได้ยิน และจัดการจ้าวเฉียนขั้นเด็ดขาด แต่ที่ไหนได้ ฟางนี่กลับตอบน้ำเสียงใจเย็นไปว่า
“ตอนนี้บริษัทอยู่ภายใต้การดูแลของจ้าวเฉียน มีอะไรก็ไปพูดกับจ้าวเฉียนกันตรงๆ ไม่ต้องเสียเวลาโทรมาแจ้งฉัน”
เจวียงหยวนตะลึงไปชั่วขณะ และพยายามกล่าวต่อว่า
“แต่…แต่ประธานฟาง ครั้งนี้เขาทำเกินไปจริงๆ ขนาดเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เองกำลังบ่นถึงการทำงานของเขาไม่ขาดสาย ยังกังวลด้วยว่า เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อสภาพการเงินของบริษัท สถานการณ์หลังจากนี้อาจเลวร้ายลง ประธานฟางคิดว่า ทุกคนที่อยู่ภายใต้อารมณ์เหล่านี้ยังจะสามารถทำงานต่อไหวไหม?”
ฟางนี่เดือดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น และตพคอกสวนกลับไปว่า
“เลิกกังวลในสิ่งที่นายไม่ควรกังวลได้แล้ว นี่ฉันหรือนายกันแน่ที่เป็นเจ้านาย? คนจ่ายเงินเดือนก็เป็นฉัน ถ้ายอมรับกันไม่ได้นักก็ออกไป! ทำไมพวกนายถึงชอบสร้างปัญหาให้จ้าวเฉียนกันนะ? ทำงานให้เก่งเหมือนกับที่พวกนายคอยจับผิดเขาหน่อย! มีอะไรให้ไปคุยกับจ้าวเฉียนกันเองเลย! แล้วอย่าโทรหาฉันอีก!”
หลังด่าจบเธอก็ตัดสายทิ้งไปทันที ปล่อยให้เจวียงหยวนยื่นตะลึงไปทั้งแบบนั้น
เขาต้องการจะคว้าโอกาสนี้โจมตีจ้าวเฉียน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเรื่องนี้กลับย้อนมาโดนตัวเอง
ทุกคนที่เห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของเจวียงหยวน ก็รู้ทักทีว่า ฟางนี่คงไม่ได้พูดดีกับเขาเป็นแน่ ถึงแบบนั้นทุกคนก็ยังอยากรู้ว่าเธอพูดอะไรบ้าง
“เจวียนหยวน ประธานฟางว่าไงบ้าง?”
“ใช่แล้ว! รีบๆ บอกพวกเรามา คุณฟางคิดเห็นยังไงกับการประมูลครั้งนี้บ้าง?”
“นายพูดออกมาเถอะ ฉันลุ้นจนฉี่จะราดแล้ว!”
บรรดาเพื่อนร่วมงานตั้งหน้าตั้งตารอให้เขาพูดอะไรสักอย่าง แต่เจวียงหยวนยังคงยืนอึ้งอยู่แบบนั้น เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ทำไมจ้าวเฉียนที่สร้างผลงานโดดเด่นแค่สองครั้งถึงทำให้ฟางนี่ปฏิบัติต่อเขาดีขนาดนี้? ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาเสนอราคาซื้อที่ทำให้บริษัทต้องขาดทุนแท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงไม่บ่นอะไรสักคำ?
เจวียงหยวนยังคงยืนเงียบ ส่วนเพื่อนร่วมงานก็กำลังยืนวิตก จนท้ายที่สุด มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งใจรอนไม่อาจทนรอต่อไปได้ ตรงเข้าไปเขย่าร่างของเขาสองสามทีและถามขึ้นว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงเงียบไป
เจวียงหยวนสะดุ้งตื่นได้สติขึ้นอย่างรวดเร็วและรีบตอบไปว่า
“อ๊ะ! ขอโทษ ฉันไม่ได้ยินว่าพวกนายถามอะไร”
เพื่อนร่วมงานคนนั้นกลอกตาใส่เล็กน้อย พร้อมถามอีกครั้งว่า ประธานฟางพูดอะไรกันแน่?
เจวียงหยวนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และกล่าวขึ้นว่า
“ประธานฟางก็ตอบแบบเดิม ตอนนี้บริษัทอยู่ภายใต้การดูแลของจ้าวเฉียน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรให้คุยกันได้เลยตามตรง ไม่ต้องโทรมารายงานเธอ”
“ห่ะ? ประธานฟางพูดแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้ คนอย่างเธอจะเต็มใจยอมให้บริษัทตัวเองขาดทุนได้ยังไงกัน?”
“ฉันไม่เชื่อ! เธอเคยบอกว่า ถ้าโปรเจคไหนทำกำไรได้น้อยกว่า30% นั้นเท่ากับขาดทุน แต่ราคาที่จ้าวเฉียนเสนอไปก็ขาดทุนตั้งแต่เริ่มแล้ว!”
เจวียงหยวนเอ่ยตอบน้ำเสียงเศร้าอย่างหมดหนทาง
“ฉันก็พูดทุกอย่างที่ควรพูดไปหมดแล้ว แต่เธอก็ยังยืนกรานให้จ้าวเฉียนรับผิดชอบเอาเอง”
ทุกคนต่างหันไปมองจ้าวเฉียนที่เดินออกมาชงกาแฟเองจนเป็นตาเดียว ทำไมประธานฟางถึงเชื่อใจเขาถึงขนาดนี้กันนะ?