ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล] - ตอนที่65 ผิดพลาด
ตอนที่65 ผิดพลาด
คำกล่าวของจ้าวเฉียนทำให้หวังเฉียงเดือดจัด แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ตอนนี้ไม่อยากถูกหยางหมิงรุมกระทืบอีกแล้ว ความรู้สึกราวกับรีบออกจากขุมนรกมาได้ เขาก็ไม่อยากกลับเข้าไปอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้
ณ ปัจจุบัน หวังเฉียงและเจียงเสี่ยวปิงตระหนักดีแล้วว่า พวกเขาไม่ใช่คู่มือของจ้าวเฉียนได้อีกต่อไป หากพวกเขาต้องการแก้แค้นจำเป็นต้องร่วมมือกับหยางหมิงเท่านั้น แต่ใครยังจะไปกล้าร่วมมือด้วยอีก?
คืนนั้นเจียงเสี่ยวปิงกลายมาเป็นอาหารค่ำของพวกลูกน้องหยางหมิง ส่วนเขาถูกกระทืบจนหมดสติ นี่เป็นความทรงจำที่เลวร้ายเกินลืมเลือน
หวังเฉียงก้มหน้าก้มตากัดฟันแน่นด้วยความหงุดหงิด ชั่วครู่หนึ่งค่อยกล่าวว่า
“แกมาดูพอรึยัง ไปไหนก็ไป ฉันจะพัก”
“ฮ่าฮ่า…”
จ้าวเฉียนไม่ได้เอ่ยกล่าวอะไรกับหวังเฉียง ทิ้งทวนแค่เสียงหัวเราะและเดินจากออกไป
หวังเฉียงหัวเสียจัดจนเขวียงไม้ถูพื้นในมือทิ้งและนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่คนเดียว ตอนนี้งานของเขาใกล้เสร็จแล้ว แต่อย่างไรแฟนของเขากลับไม่มีท่าทีสนใจหรือเหลียวแลเลย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจ้าวเฉียนจะสามารถทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้
ในไม่ข้า ก็ปาไปห้าโมงเย็นแล้ว ทุกคนรีบเก็บข้าวเก็บของและลงมารวมตัวที่ชั้นล่างของบริษัท จ้าวเฉียนทำตามที่สัญญาและพาทุกคนไปที่โรงแรมตงไห่
ยังคงเหมือนกันกับครั้งที่แล้วไม่มีผิด จ้าวเฉียนบอกกับทุกคนว่าไม่ต้องเกรงใจ อยากสั่งหรือดื่มอะไรจัดมาให้เต็มที่ คืนนี้เขาเลี้ยงเอง
“แด่จ้าวเฉียนผู้ยิ่งใหญ่!”
“แด่คุณชายจ้าวของพวกเรา!”
เมื่อเห็นบรรดาเพื่อนร่วมงานยกย่องสรรเสริญจ้าวเฉียนว่า คุณชายจ้าว กลับเป็นเจียงเสี่ยวปิงที่รู้สึกปวดใจอย่างสุดพรรณนา ครั้งหนึ่งในอดีต คำว่า คุณชายจ้าว เป็นเพียงคำสบประมาท เสียดสีความยากจนของจ้าวเฉียนเท่านั้น ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นถ่อยคำที่แสดงความเคารพและภักดีต่อจ้าวเฉียนไปเสียแล้ว
เพียงระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ทำไมทุกอย่างถึงกลับกลายเป็นแบบนี้ได้? ไม่ว่าเจียงเสี่ยวปิงจะคิดยังไง เธอก็ไม่สามารถคิดออกแม้สักนิดว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร? จ้าวเฉียนใช้เวลาไม่นานก็สามารถเอาคืนเธอได้สำเร็จ แถมยังเจ็บแสบถึงทรวงชนิดที่ว่าชาตินี้ก็ไม่มีวันลืม แต่…คืนนี้แหละ เธอจะเอาชนะจ้าวเฉียนและพาตัวเองกลับสู่จุดเดิมอีกครั้ง!
จ้าวเฉียนยิ้มแย้ม พยักหน้าพูดคุยกับทุกพร้อมท่าทีสุขใจ เนื่องจากรอบนี้มีคนจากแผนกพัฒนามาเพิ่ม จำนวนคนจึงมากเป็นพิเศษ จ้าวเฉียนจึงลงทุนเช่าห้องจัดเลี้ยงVIP แบ่งเป็นสามโต๊ะใหญ่ โต๊ะละสิบคน สั่งอาหารได้ตามใจชอบ
เวลาล่วงเลยจนเกือบสองทุ่ม จ้าวเฉียนที่ดื่มกินมาได้สักพักชักรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมา จึงขอตัวออกไปห้องน้ำ และทันทีที่มาถึงหน้าห้องน้ำ เขาก็บังเอิญพานพบกับหวานเจียง ตอนนี้เธอใบหน้าแดงกล่ำลามไปถึงใบหู ดูท่าเธอกำลังเมาหนักเลย
“โย่ว! คุณหวานคงมาดินเนอร์กับหวานใจล่ะสิ? หน้าดูแดงๆนะ คงดื่มมาหนักเลยใช่ไหม?”
หวานเจียงอดหัวเราะคิกคักไม่ได้ ราวกับหญิงสาวที่กำลังมีความรัก เธอตอบไปว่า
“นายอีกแหละ? แล้วมาที่นี่ทำไม?”
“ฉันพาเพื่อนร่วมงานมาทานอาหารเย็นด้วยกันเฉยๆ ฉันว่าคืนนี้เธอดื่มเยอะไปแล้ว เพลาๆบ้างก็ดี ไม่งั้นกลายมาเป็นเป้านิ่งให้ผู้ชายแน่นอน”
จ้าวเฉียนเอ่ยกล่าวไปตามตรง แต่นี่ก็สมเหตุสมผล เธอเมาไปแล้วกว่าแปดในสิบส่วน ถ้ายังฝืนดื่มต่อ มีโอกาสโดนผู้ชายไม่หวังดีเล่นงานเป็นแน่
หวานเจียงกลอกตามองบนใส่ ก่อนจะเดินเกาะกำแพงผ่านหน้าจ้าวเฉียนไป
ส่วนเขาก็ร่วนหัวเราะไปพลาง รีบวิ่งเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เมื่อเดินออกมาก็พบเจียงเสี่ยวปิงยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เธอมองมาหาพร้อมกับไวน์สองแก้วในมือ
เธอคลี่ยิ้มหวานให้จ้าวเฉียนและเดินตรงเข้ามาหา ยื่นแก้วไวน์ใบหนึ่งให้พร้อมกล่าวขึ้นว่า
“มาชนแก้วกันหน่อย จากนี้ต่อไปพวกเราถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วนะ ฉันจะไม่คิดเครียดแค้นอะไรต่อนายอีกแล้ว ทั้งฉันและหวังเฉียงพอแล้วกับเรื่องพวกนี้ เข็ดกันแล้วล่ะ ที่ผ่านมาฉันขอโทษ และรู้สึกเสียใจจริงๆที่ปฏิบัติแบบนั้นต่อนาย คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ถ้าต้องพูดต่อหน้าเพื่อนๆทุกคน ฉันก็เลยออกมาคุยกับนายตรงนี้”
ตอนนี้จ้าวเฉียนไม่สนใจที่จะแก้แค้นหวังเฉียและเจียงเสี่ยวปิงแล้วเช่นกัน สิ่งเดียวที่เขากำลังให้ความสนใจจริงๆคือ การบริหารบริษัทของตนและยกระดับไปอีกขั้นเท่านั้น เรื่องเล็กน้อยกลับไม่อยู่ในสายตาอีกต่อไป
คิดได้ดังนั้น จ้าวเฉียนจึงหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ แล้วพูดว่า
“โอเค! ความแค้นระหว่างเราเป็นอันจบลงแต่เพียงเท่านี้ ในอนาคตหวังว่าพวกเธอจะซื่อสัตย์และตั้งใจทำงานนะ เดี๋ยวฉันคืนตำแหน่งให้หวังเฉียงแน่ไม่ต้องห่วง ไม่ปล่อยให้ลำบากแบบนี้ไปตลอดแน่นอน”
เจียงเสี่ยวปิงกระดกแก้วไวน์ในมือจนหมด เธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและเดินจากไป
จ้าวเฉียนจิบไวน์อีกครา ขณะเดินกลับจู่ๆโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น พอหยิบออกมาปรากฏว่าเป็นหงซิ่วที่โทรมาหา
“ฮัลโหลหงซิ่ว มีอะไรรึเปล่า?”
“ประธานจ้าว เหลียงเหวินส่งอีเมลกลับมาหาดิฉันแล้วเมื่อครู่ เขาฝากถามมาว่า คุณสามารถลดราคาหน่อยได้ไหม พวกเขาจะเรียกประชุมบรรดาผู้ถือหุ้นเป็นการด่วนในวันพรุ่งนี้ เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว ถ้ายังไงดิฉันจะส่งเบอร์ติดต่อของเขาไปให้นะคะ โทรไปบอกด้วยตัวเองเลยก็ได้ค่ะ”
ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั่นเอง หวานเจียงก็เดินโซซัดโซเซมาหาอีกครั้ง เขาต้องหาอะไรสักอย่างมาจดเบอร์พอดี ดังนั้นจึงส่งแก้วไวน์ในมือให้หวานเจียงและบอกว่าขอโทรศัพท์มือถือหน่อย ทางด้านเธอเองที่เมาแอ๋ก็รับแก้วไวน์ของเขามาแบบงงๆ และส่งโทรศัพท์มือถือตัวเองไปให้
พอจ้าวเฉียนได้มือถือของเธอมา ก็สั่งให้หงซิ่วบอกเบอร์ของเหลียงเหวินมาได้เลยตอนนี้เขาพร้อมจด พอทุกอย่างเรียบร้อย จ้าวเฉียนก็พูดทิ้งท้ายไปว่า
“โอเค เดี๋ยวผมโทรหาเขาเอง คุณไปพักผ่อนเถอะ”
จากนั้นจ้าวเฉียนก็ต่อสายตรงโทรไปหาเหลียงเหวินและกล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้มว่า
“คุณเหลียงครับ หงซิ่วโทรมาบอกผมแล้วเมื่อกี้ ผมบอกได้แค่ว่านี่เป็นราคาดีที่สุดที่ผมให้ได้แล้ว ตราบเท่าที่อดทนรอสักหน่อย ภายในสามปีมูลค่าตราสารในมือคุณฉบับนี้จะไม่ต่ำกว่าสามพันล้านแน่นอน นั่นหมายความว่าทางฟูจิโมริ กรุ๊ป ใช้เวลาเพียงสามปีหรือน้อยกว่านั้นก็สามารถคืนทุนได้แล้ว ปีต่อๆไปก็นั่งกินกำไรล้วนๆ พอได้ฟังแบบนี้แล้วคุณคิดว่า ราคานี้ยังสูงอยู่ไหมครับ?”
เหลียงเหวินตอบกลับไปว่า
“ถ้าอย่างนั้น คุณจ้าวสามารถลงนามในสัญญารับประกันมูลค่าบริษัทได้ไหมครับ? ถ้าภายในสามปี มูลค่าแท้จริงน้อยกว่า1,500พันล้าน ทางคุณจ้าวจะต้องคืนเงินให้เราหนึ่งพันล้าน แต่ถ้ามูลค่าแท้จริงแตะถึงห้าพันล้าน ทางฟูจิโมริ กรุ๊ปของเราพร้อมให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆฟรี ตัวอย่างเช่นอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อสร้างจุดยืนที่มั่นคงกว่าเดิม รวมไปถึงกลยุทธ์การตลาด ทางเราจะสนับสนุนให้เอง คุณจ้าวคิดเห็นยังไงบ้างครับ?”
จ้าวเฉียนมั่นใจอย่างมากว่า ภายในสามปี มูลค่าแท้จริงของเทียนซูวจะต้องเกิน1,500ล้านแน่นอน ท้ายที่สุดนี้เขายังมีอีกหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ รวมไปถึงแรงสนับสนุนจากบริษัทหยานจิงโอเชี่ยนเวลท์ กรุ๊ป ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงทันที
“ไม่มีปัญหาครับ ผมสามารถลงนามในสัญญารับประกันได้เลยทันที แต่คุณต้องทำตามคำขออีกเรื่องหนึ่ง ผมต้องการสตีมเมอร์สาวอันดับหนึ่งของแพลตฟอร์มหลงย่ามาเข้าร่วมสังกัด ที่ผมไม่ให้หงซิ่วดึงตัวมาตั้งแต่แรก เนื่องจากประวัติของเธอไม่ค่อยดีนัก อาจได้ไม่คุ้มเสีย อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณสามารถย้ายให้เธออยู่ในสังกัดเราได้ ผมก็ยินดีเซ็นสัญญาทุกเมื่อ”
เหลียงเหวินระเบิดหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ชายหนุ่มคนนี้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านธุรกิจโดยแท้ เขากล่าวตอบไปทันทีว่า เรื่องนี้สบายมาก แล้วพรุ่งนี้เช้าเขาจะทำการหารือกับบรรดาผู้ถือหุ้นอีกรอบหนึ่ง และส่งสัญญาไปให้ทางหงซิ่วโดยเร็วที่สุด
จ้าวเฉียนวางสายด้วยความพึงพอใจ ทว่าทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงกระเส่าเนียนนุ่มอยู่ข้างใบหู เขาแทบสะดุ้งโหย่งในทันทีและหันควับไปมองหวานเจียงที่ตอนนี้เล่นซดไวน์ในแก้วของเขาจนหมด แต่…ทำไมมีบางอย่างแปลกไป? ทำไมเธอต้องจ้องฉันแบบนี้ด้วย? แววตาหวานคู่นั้นราวกับเธอพยายามเย้ายวนฉันอยู่? เธอเลียริมฝีปากสีกุหลาบแดงอับอวบอิ่มของตัวเอง ท่าทางเสมือนว่าเปี่ยมล้นไปด้วยความปรารถนาบางอย่าง
จ้าวเฉียนเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“นี่? นี่เธอ? เธอ…เป็นอะไรหรือเปล่า?”
หวานเจียงโยนแก้วไวน์ในมือทิ้งทันที พร้อมตรงเข้าไปกระชากร่างของจ้าวเฉียนมาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ หน้าอกหน้าใจทรงสวยเบียดเสียดกับใบหน้าของเขา เธอลดศีรษะกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า
“หุบปากแล้วตามฉันมา…”
จ้าวเฉียนตื่นตระหนกไม่ใช่น้อยที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ แล้วสิ่งที่น่าอับอายที่สุดคือ ไม่ว่าจะพยายามดิ้นยังไง กลับไม่หลุดออกจากอ้อมแขนเธอสักที
หวานเจียงลากจ้าวเฉียนเข้าไปในลิฟต์โดยตรง และทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็ไม่อาจอดกลั้นไฟสวาทได้อีกต่อไป เธอกระชับกอดจ้าวเฉียจนแนบแน่น พร้อมจับเขาจูบอย่างหิวกระหาย
จ้าวเฉียนกรีดร้องลั่นภายในใจ ทำไมเธอถึงแรงเยอะขนาดนี้!? แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! คุณหนูทุกคนของฮวาหยิน กรุ๊ปมีพละกำลังมหาศาลปานนี้เลย? เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มีผลักร่างของหวานเจียงออกไปและถามขึ้นว่า
“เธอกำลังทำบ้าอะไรอยู่?!”
หวานเจียงไม่สนใดๆทั้งสิ้น พอเธอทรงตัวขึ้นมาได้ ก็กระโดดเข้าจู่โจมจ้าวเฉียนระลอกสอง เธอกดร่างจ้างเฉียนจนติดกับผนังลิฟต์ และประกบริมฝีปากแสนเร้าร้อนจูบกันอย่างดูดดื่ม
ขณะจูบกันจจ้าวเฉียนบ่นพึมพำแทบไม่เป็นภาษา
“อุดอูบอั้น!!!(หยุดจูบฉัน)”
“ติ๊ง!”
ลิฟต์ตรงมาถึงชั้นใต้ดินบริเวณลานจอดรถ พอประตูลลิฟต์เปิดออกก็ปรากฏชายสองคนกำลังรอขึ้นลิฟต์อยู่พอดี แต่พอเห็นภาพฉากอันเร้าร้อนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มของทั้งคู่ภายในนั้น พวกเขาต้องถึงกับผงะ
จ้าวเฉียนได้แต่ยิ้มแห้งให้คนเหล่านั้นอย่างเปล่าประโยชน์ ก่อนจะรีบอุ้มหวานเจียงที่ยังไซ้คอเขาไม่หยุดออกจากลิฟต์ไปทั้งแบบนั้น
“โอ้! เด็กสมัยนี้มันไวไฟกันดีจริงๆ!”
“ดีจัง เห็นเด็กพวกนี้แล้ว ทำให้ฉันนึกถึงสมัยที่ยังเรียนต่อโท ตอนนั้นฉันก็อายุเท่านี้แหละ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ไอ้น้อง!”
“แต่เดี๋ยวนะ ทำไมฉันรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้จัง? เหมือนกับว่าเคยเจอจากที่ไหนสักแห่ง?”
“นี่นายอย่าดึงนางฟ้าแบบเธอให้เสียภาพลักษณ์สิโว้ย เธอสวยขนาดนี้ คนอย่างนายจะไปเห็นมาก่อนได้ไงวะ?”
“ฮ่าฮ่า…”
ทั้งสองที่อยู่นอกลิฟต์เฝ้ามองแผ่นหลังของจ้าวเฉียนที่ค่อยๆลับตาออกไป แววตาพวกเขาดูอิจฉาไม่น้อยเลย
ในเวลานี้เอง บริหารหน้าประตูของห้องอาหารชั้นที่ห้า เจียงเสี่ยวปิงที่กำลังตื่นตระหนกจัด เธอวิ่งมาเคาะประตูห้องอาหารนี้ทันทีพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่ดูใสซื่อ
ไม่นานประตูก็เปิดออก ปรากฏว่าเป็นหยางหมิงที่เป็นคนเปิดประตูให้ เขากล่าวทักทายทั้งคู่และเชิญให้เข้าไป ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“มีอะไร? แล้วเธอยังจะกลับมาที่นี่ทำไม?”
หญิงสาวที่ดูไร้เดียงสาตอบขึ้นทันทีว่า
“ตอนที่ฉันกำลังเดินเข้าไปตามแผน จู่ๆก็เห็นเขาเดินลงลิฟต์ไปกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งในอ้อมแขน นี่มันไม่อยู่ในแผนที่วางเอาไว้ใช่ไหม? แล้วจะทำยังไงต่อ?”
หยางหมิงตกใจไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“อะไรนะ?! มันถูกใครบางคนลากลงลิฟต์ไปแล้ว? แล้วพวกแกยังมานั่งหน้าสลอนอะไรตรงนี้?! รีบตามมันไปสิ! จะผิดแผนยังไงก็ได้ แต่เราต้องมีคลิปเพื่อแบล็คเมลมัน!”
เจียงเสี่ยวปิงกล่าวปลอบโยนทันทีว่า
“ไม่ต้องห่วง ฉันจ้างคนติดตามมันไปแล้ว น่าจะได้เรื่องในภายหลัง”