ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 445 ถูกฟ้าผ่าตายในครั้งเดียว!
ทางหนึ่งจัดการจอมยุทธ์สำนักเพลิงโหมที่มาข่มเหงถึงสำนัก ทางหนึ่งยิ้มให้กับซูอวิ๋นอย่างกระอักกระอ่วน สำนักเขามังกรเขียวทั้งปวดใจทั้งมีความสุข
มิอาจโทษที่พวกเขาทำตัวไม่มีเกียรติ บารมีในการกวาดล้างสามสำนักด้วยตัวคนเดียวของเยี่ยนจ้าวเกอทำให้สำนักเขามังกรเขียวรู้ดีว่า ทั้งสองฝ่ายมิได้อยู่ในระดับเดียวกัน
การยอมทำตัวดีๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เกี่ยวกับที่ทำตัวไร้เกียรติ
…อย่างน้อยคนในสำนักเขามังกรเขียวก็ปลอบตนเองเช่นนี้
ผู้อื่นเชื่อหรือไม่ก็ไม่รู้ พวกเขาเชื่อก็พอ อีกทั้งยังเชื่ออย่างไร้ข้อกังขาด้วย
ส่วนสำนักเมฆาโลหิตกับสำนักอัสนีคำรน ตอนนี้เพียงแค่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเท่านั้น
ถึงแม้ว่าอยากจะกระทืบคนในสำนักเมฆาโลหิตสักครั้ง แต่ว่าตอนนี้ทั้งสองประสบชะตากรรมเดียวกัน เหมือนตั๊กแตนที่ถูกผูกอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ทุกคนในสำนักอัสนีคำรนได้แต่สะกดความเคียดแค้นในใจ
ทั้งสองฝ่ายแยกกันหนี สำนักอัสนีคำรนคิดว่า ถ้าหากเยี่ยนจ้าวเกอคิดไล่ตาม ก็น่าจะไล่ตามคนของสำนักเมฆาโลหิตมากกว่า
ถึงอย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอก็มีแค้นเก่ากับสำนักเมฆาโลหิตอยู่ก่อน การเดินทัพมายังแดนตะวันตก สำนักเมฆาโลหิตเป็นตัวตั้งตัวตี เป็นตัวการของเรื่องในวันนี้
สำนักเมฆาโลหิตก็คิดเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาไม่อาจหนีไปที่ถิ่นของสำนักอัสนีคำรนได้ การหนีกลับไปพึ่งพลังของพญาปักษาชิงเหนี่ยว เป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา ถึงแม้จะไม่มีคนคิดว่าพญาปักษาชิงเหนี่ยวจะสามารถหยุดเยี่ยนจ้าวเกอได้ก็ตาม หลังจากได้เห็นพลังของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว แต่สุดท้ายแล้วอย่างไรมันก็เป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย ทำให้พวกหลู่หมิงที่สิ้นหวังกัดฟันไปต่อ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องอกแตกในทันทีแน่
ที่ด้านหลัง ประกายกระบี่สายหนึ่งสว่างขึ้นที่ขอบฟ้าทางด้านตะวันตก และไล่ตามมาถึงเกือบจะในชั่วพริบตาเดียว
เสียงร้องของมันกรอันยิ่งใหญ่ทำให้จอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิตและสำนักอัสนีคำรนขวัญหนีดีฝ่อ เหมือนการอัญเชิญวิญญาณร้ายของพญายมอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าสำนักอัสนีคำรนหันหน้าไปมอง เห็นประกายกระบี่ของเยี่ยนจ้าวเกอหักเลี้ยวครั้งหนึ่ง ไล่ตามคนของสำนักเมฆาโลหิตไปจริงๆ
แต่ไม่รอให้ทุกคนในสำอัสนีคำรนถอนใจ ปราณกระบี่และประกายดาบก็พุ่งขึ้นมาที่เบื้องหน้า สวีเฟย อาหู่ เฟิงอวิ๋นเซิง และอิงหลงถูขวางอยู่ด้านหน้าพวกเขา
สวีเฟยหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิงและอิงหลงถู “นี่เพื่อให้เจ้าทำความเข้าใจกับวรยุทธ์ของตัวเอง ให้ประมาณพลังของตัวเองก่อนใช้ด้วย”
เฟิงอวิ๋นเซิงกับอิงหลงถูพยักหน้าพร้อมกัน อาหู่หัวเราะเหอะๆ ด้วยรอยยิ้ม “ถูกคุณชายเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บทั้งกองทัพ ก่อเรื่องอันใดไม่ได้แล้ว”
เจ้าสำนักอัสนีคำรนโกรธจนหนวดตั้ง จอมยุทธ์สำนักอัสนีคำรนเดือดดาลอย่างระงับไม่อยู่
ถูกเยี่ยนจ้าวเกอเล่นงาน พ่ายแพ้ชนิดสูญเสียทั้งหมวกเกราะและเสื้อเกราะ[1] ต้องหนีหัวซุกหัวซุนก็อนาถมากพอแล้ว หรือว่าจอมยุทธ์ฝึกลมปราณจะทำอะไรในโลกลอยน้ำก็ได้?
ทุกคนในสำนักอัสนีคำรนที่ไม่เชื่อพุ่งไปด้านหน้า จากนั้นก็พบอย่างรวดเร็วว่า ไม่เชื่อไม่ได้จริงๆ!
บางทีพวกเฟิงอวิ๋นเซิงและสวีเฟยอาจจะไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง และมีของวิเศษอยู่เต็มตัวเท่าเยี่ยนจ้าวเกอ
แต่หลังจากประมือกันแล้ว จอมยุทธ์เลือดปีศาจบนโลกลอยน้ำทุกคนก็พบว่า ที่พวกสวีเฟยกับอาหู่ลงมือตอนอยู่ ณ เมืองสินธุเสถียรของประเทศฟู่หราน ก็ไม่ได้เอาจริงเช่นกัน
จอมยุทธ์อัสนีคำรนที่จนมุมอีกครั้งพลันรู้สึกเคียดแค้นสำนักเมฆาโลหิตมากกว่าเดิม
สำหรับจอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิตที่ต้องเจอกับการไล่ล่าของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว สำนักอัสนีคำรนรู้สึกลิงโลด เพราะอุปสรรคไม่ได้น่าอึดอัดเช่นก่อนหน้าแล้ว
ส่วนจอมยุทธ์ในสำนักเมฆาโลหิตทุกคนย่อมหมดอาลัยตายอยาก
ในตอนนี้เอง เสียงร้องอันไพเราะของนกพลันดังขึ้นบนเส้นทางด้านหน้าจอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิต
เมื่อได้ยินเสียงร้องของพญาปักษาที่คุ้นเคย พวกหลู่หมิงนอกจากจะรู้สึกยินดีแล้ว จิตใจยังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วย
ไกลออกไป ร่างแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งขึ้นข้างบนแล้วสยายปีก ยิ่งใหญ่กว่าพลังที่พวกหลู่หมิงตั้งพระบวนทัพพญาปักษาร่ำร้องก่อนหน้านัก
ปีกของพญาปักษาชิงเหนี่ยวคล้ายเหยียดเข้าไปในอากาศ ขณะที่กระพือก็ทำให้ฟ้าดินเกิดความแปรปรวนไปด้วย
ด้านล่างพญาปักษาชิงเหนี่ยว มีบุรุษวัยกลางคนสวมชุดบัณฑิตยืนอยู่ ดวงตาของเขากลายเป็นสีเขียว บนร่างส่องประกายแสงหลายสาย
หนึ่งในสามยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด และมีพลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกลอยน้ำ อัจฉริยะแห่งสำนักเมฆาโลหิตในอดีต ‘ปีศาจปักษา’ ในปัจจุบัน เซ่าเฟิงถิง
เซ่าเฟิงถิงมองหลู่หมิงอย่างสงบ “ศิษย์พี่เอ๋ย ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งจะเคยเห็นท่านลำบากถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก”
หลู่หมิงมีสีหน้าบิดเบี้ยวยิ่ง พวกตนตอนนี้ได้รับบาดเจ็บหนัก จะเป็นคู่ต่อสู้ของปีศาจปักษา หนึ่งในสามปีศาจได้อย่างไร
แม้ว่าตนจะปลุกสายเลือดกลายเป็นจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจ แต่ก็สู้เซ่าเฟิงถิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี
เซ่าเฟิงถิงยิ้มอย่างเฉิดฉัน “ท่านคิดว่าข้าจะโง่ไปโจมตีสำนักที่มีพญาปักษาชิงเหนี่ยวคุ้มครองอยู่หรือ การรอพวกท่านระหว่างขากลับจากแดนตะวันตกเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“ถึงพวกท่านจะชนะ แต่ก็จะเต็มไปด้วยความพอใจ และละทิ้งความระมัดระวัง”
“และถ้าพวกท่านแพ้ ก็จะตกมาอยู่ในมือข้าพอดี เหมือนเช่นในตอนนี้”
ภายใต้ปีกของพญาปักษาชิงเหนี่ยว มีจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาติดตาม ‘ปีศาจปักษา’ เซ่าเฟิงถิง เหมือนเช่นสัตว์ป่ารวมตัวใกล้ๆ ราชันสัตว์
ขณะมองพวกหลู่หมิงที่โผล่มาเบื้องหน้า ในดวงตาของจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจทั้งหลายต่างปรากฏกลิ่นอายโหดเหี้ยม กระหายเลือด
เซ่าเฟิงถิงมองหลู่หมิง เอียงคอเล็กน้อย “แต่ว่าพวกท่านสามสำนักร่วมมือกันโจมตีแดนตะวันตก เหตุใดจึงพ่ายแพ้สำนักเขามังกรเขียวสำนักเดียวเล่า ใช้ไม่ได้เกินไปแล้วกระมัง ถึงแม้พวกท่านจะไม่กล้าปลุกสายเลือดสวะของตนเอง แต่สำนักเขามังกรเขียวก็เหมือนกัน”
“ต่อให้พวกเขาปลุกสายเลือดทุกคน ก็ไม่สมควรใช้หนึ่งรุมสามกระมัง”
“หรือว่าในสำนักเขามังกรเขียวจะซ่อนมังกรไร้เขาชิงชือเอาไว้?”
“หรือว่า ‘กระเรียนหยก’ ที่ไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของสำนักกระเรียนหิมะผู้นั้น จะมีพลังเหนือกว่าที่คาดไว้”
เซ่าเฟิงถิงดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “เพราะอยู่ห่างมากไป ด้วยความสามารถในการรับรู้ของข้ายังไม่กล้ายืนยัน แต่ข้ารู้สึกได้ว่าสถานที่ที่พวกท่านสู้กัน มีคลื่นพลังอันรุนแรง ทั้งมิใช่พลังสายเลือดที่พวกเราฝึกฝน เหมือนจอมยุทธ์ฝึกลมปราณลงมือมากกว่า”
เขายิ้มเล็กน้อย “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร พวกท่านก็มาติดกับเอง”
ร่างแสงของพญาปักษาชิงเหนี่ยวกระพือปีกครั้งหนึ่ง พายุอันน่ากลัวม้วนเข้ามาหาพวกหลู่หมิง
ลำแสงสีเขียวหลายสายกลายเป็นตาข่าย ครอบคลุมหลู่หมิงไว้เป็นคนแรก
หลู่หมิงสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ได้ยินเซ่าเฟิงถิงพูดว่า “ทิ้งชีวิตของท่านไว้เถอะศิษย์พี่ พญาปักษาชิงเหนี่ยวในสำนักยังมีประโยชน์อยู่”
ครั้งนี้ ห่างออกไปมีประกายกระบี่สว่างขึ้น ยังคงพุ่งเข้าใส่หลู่หมิง เหมือนไม่เห็นจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจอย่างพวกเซ่าเฟิงถิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
เซ่าเฟิงถิงขมวดคิ้ว ก่อนจะโบกฝ่ามือครั้งหนึ่ง พญาปักษาชิงเหนี่ยวยกปีกขึ้นป้องกันประกายกระบี่
“กลับไปบอกกระเรียนหยกว่า ข้าต้องการคนของสำนักเมฆาโลหิต นางไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้าจะปล่อยพวกหลู่หมิงไป” เซ่าเฟิงถิงกล่าวอย่างเรียบเฉย “เรื่องของสำนักเพลิงโหมกับสำนักอัสนีคำรน ข้าจะไม่สอดมือ…”
เสียงยังไม่ทันจะขาดลง ท้องฟ้าพลันเกิดเสียงครืนครานดังสนั่น!
ไข่มุกสีม่วงขนาดยักษ์กำลังลอยอยู่เหนืออากาศ
สายฟ้าไร้สิ้นสุดผ่าลงมา!
ทั่วบริเวณถูกปกคลุมอยู่ในทะเลสายฟ้าโดยสิ้นเชิง
สายฟ้าเพียงผ่าลงในชั่วอึดใจ
สีหน้าและฝ่ามือของเซ่าเฟิงถิงชะงักค้าง ใบหน้าสบายอารมณ์ยังไม่ทันสลาย กำลังจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ก็ถูกสายฟ้ากลืนกินพร้อมกับร่างแสงของพญาปักษาชิงเหนี่ยวที่อยู่เหนือศีรษะ!
เสียงสายฟ้าอันน่าสะพรึงดังขึ้นแค่ชั่วอึดใจ จากนั้นก็หายไปในพริบตา
แต่ว่าทั่วบริเวณยังคงมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังสับสน งูสายฟ้าหลายสายเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด และไม่ยอมสลาย
พวกหลู่หมิงซึ่งอยู่ในบริเวณนี้ รู้สึกทั่วทั้งร่างมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน มิอาจขยับได้เพราะอาการชา
พวกเขาอ้าปากตาค้าง เห็น ‘ปีศาจปักษา’ เซ่าเฟิงถิงที่ก่อนหน้ายังโอ้อวด ในตอนนี้หายไปแล้ว คล้ายกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
แต่กลิ่นอายเลือดที่กระจัดกระจายและกลิ่นความตายหลังจากชีวิตได้ดับสิ้นลงบอกถึงเรื่องหนึ่ง
เซ่าเฟิงถิง หนึ่งในสามปีศาจที่ยิ่งใหญ่ ผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งโลกลอยน้ำ ถูกฟ้าผ่าตายในครั้งเดียว!
……………………………………….
[1] สูญเสียทั้งหมวกเกราะและเสื้อเกราะ หมายถึง พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง