ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 708 ศพที่หายไป
เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าเปลี่ยนแปลง เรียกวังฝูงมังกรออกมา ส่งอาหู่เข้าไปด้านในก่อนทันที
เฟิงอวิ๋นเซิงฝืนดันดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกของตนกลับลงไปในฝัก แสงสว่างสีฟ้าในดวงตาสองข้างหายไป จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในวังฝูงมังกร
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?” เยี่ยนจ้าวเกอส่งกระแสเสียงถามอาหู่
เมื่อมาอยู่ในวังฝูงมังกร อาหู่เหมือนได้สติกลับมา สายตากระจ่างใสเช่นเดิม
ทว่าเขายังคงสับสนกับความรู้สึกเมื่อครู่ “ไม่มีความรู้สึกพิเศษใด เหมือนกับบางครั้งที่คิดอะไรบางอย่างจนเพลิน หรือไม่ก็เหมือนรู้สึกง่วงเหงาแล้วงีบสักพัก”
เฟิงอวิ๋นเซิงส่ายหน้าเช่นกัน “ไม่มีความรู้สึกผิดปกติที่แจ่มชัด แค่เพียงเหม่อไปเล็กน้อย ดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกกลับเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาแทน”
“แต่ต้องมีปัญหาแน่ ไม่อย่างนั้นดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกคงไม่เกิดเค้าลางปกป้องเจ้าของเช่นนี้”
เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย เก็บวังฝูงมังกร แล้วสำรวจรอบๆ อย่างตั้งใจ
ด้านในเส้นทางที่นำไปสู่สุสานอันมืดสลัว ดูเหมือนยังคงไม่มีสิ่งผิดปกติใดให้พูดถึง
แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ให้ความรู้สึกพิกลอยู่บ้าง
จอมยุทธ์สำนักความมืดที่อยู่ด้านข้าง ต่างอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น จะมากจะน้อยก็สัมผัสถึงความไม่ธรรมดาได้
โดยเฉพาะโจวฮ่าวเซิง เจ้าสำนักความมืดยังมีสีหน้ายิ่งเคร่งขรึม “ไม่ถูกต้องนัก ทั้งหมดระวังไว้ด้วย”
เขาปล่อยญาณจริงแท้ออกมาจากจุดลมปราณทั่วร่าง ประกอบกันเป็นไอสีดำชั้นหนึ่ง มืดสลัวเหมือนกับม่านราตรีมาถึง กั้นแสงที่อยู่รอบๆ เอาไว้
ทุกคนเดินไปอีกพักหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ตั้งสมาธิสำรวจรอบๆ แต่รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า จิตใจของตัวเองเหมือนกับเข้าไปติดอยู่ในแสงสว่างที่มืดสลัวนั้น ยากจะถอนตัวออกมาได้
เขาระวังตัว ยิ่งเตรียมตัวป้องกันเท่าไร จิตใจยิ่งวอกแวกได้ง่ายเท่านั้น
ความจริงนี่เป็นผนึกพิทักษ์สุสานชนิดหนึ่ง ทำร้ายคนอย่างไร้ร่องรอย ทำให้ผู้คนโดนเล่นงานอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
และยิ่งเข้าไปในสุสานลึกเท่าไร ผนึกพิทักษ์สุสานที่แปลกประหลาดนี้ก็ส่งผลรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูแสงสลัวนั้น เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว ‘การอยู่ข้างในจะค่อยๆ ถูกแสงที่มืดสลัวนี้เปลี่ยนให้กลายเป็นพวกเดียวกัน สูญเสียสติสัมปัชชัญญะของตัวเอง กลายเป็นเลอะเลือน
‘ผลลัพธ์ในตอนสุดท้าย จะกลายเป็นหุ่นเชิดที่เหมือนกับศพเดินได้ หุ่นเชิดที่อยู่ด้านนอกพวกนั้นต่างเกิดขึ้นเพราะเหตุนี้เอง’
เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเริ่มสงบนิ่ง ลึกล้ำมัวซัว พร่าเลือนยิ่งกว่าแสงที่มืดสลัวเบื้องหน้าเสียอีก
เขาโคจรเคล็ดวิชาในคัมภีร์นภาไร้ขีดจำกัด ดูจากภายนอกแล้วไม่มีสิงใดแตกต่างจากเดิม แต่ว่าภายในคนคล้ายกับแปลงร่างกลายเป็นความขมุกขมัว กั้นผลของแสงมืดสลัวนั้นไว้ด้านนอก
หลังจากมุ่งหน้าต่อไป ก็เริ่มมียอดฝีมือสำนักความมืดแตกขบวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ดีที่พวกโจวฮ่าวเซิงที่เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดยังคงรักษาสติไว้ได้ คอยสังเกตสภาพของศิษย์ร่วมสำนักของตนตลอดเวลา
ขณะเห็นพลังแห่งผนึกที่ยิ่งมายิ่งส่งผลมากขึ้น โจวฮ่าวเซิงก็ถอนใจคำหนึ่ง
เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ธงยาวสีดำผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ขณะที่โบกมัน แสงสีดำหลายสายก็สาดลงด้นล่างดุจผ้าไหม
แสงที่มืดสลัวด้านในทางเดินสุสานพลันถูกกั้นไว้ด้านนอกมากกว่าครึ่ง จอมยุทธ์สำนักความมืดต่างได้สติ สีหน้าสับสนเล็กน้อย จากนั้นก็เผยสีหน้ายินดีและหวาดกลัวออกมา
เยี่ยนจ้าวเกอมองธงยาวที่เหมือนทั้งธงทั้งหอกในมือของโจวฮ่าวเซิงอย่างสนอกสนใจ
สำนักความมืดไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองสำนัก แต่ธงวิญญาณ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางมีคุณสมบัติค่อนข้างโดดเด่น มีประโยชน์มากมาย นับได้ว่าเป็นยอดของวิเศษ ทุกครั้งเจ้าสำนักจะเป็นคนใช้
ธงสีดำเบื้องหน้านี้ สมควรเป็นธงวิญญาณแล้ว
โจวฮ่าวเซิงในตอนนี้หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ เมื่อเห็นดวงตาที่กระจ่างใสของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็อดอึ้งไปเล็กน้อยไม่ได้
หากตัดเฟิงอวิ๋นเซิงกับอาหู่ที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์สองคนไปแล้ว คนที่มีระดับพลังฝึกปรือต่ำที่สุดในกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ คือเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ขั้นรวมรูประยะต้น
เยี่ยนเจ้าเกอมีพลังน่าทึ่ง เหนือกว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกันอยู่แล้ว ปัจจุบันเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับจากคนทุกคน
ทว่าการอยู่ในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬโดยที่ยังผ่อนคลายถึงเพียงนี้ กลับทำให้พวกโจวฮ่าวเซิงรู้สึกเหนือความคาดหมาย
‘คนหนุ่มผู้นี้คาดเดายากยิ่งกว่าภาพลักษณ์ในอดีตอีก…’ โจวฮ่าวเซิงทางหนึ่งคิด ทางหนึ่งกางธงวิญญาณ
แสงสีดำอันมืดมัวคลุมลงมาปกป้องเยี่ยนจ้าวเกอไว้ด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มพลางพยักหน้า เคลื่อนไหวพร้อมคนที่เหลือ
ยิ่งเดินเข้าไปด้านในมากเท่าไร พลังแห่งการดูดซึมของผนึกก็ยิ่งแกร่งขึ้น เมื่อมาถึงตอนท้าย การประสานระหว่างพลังฝึกปรือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงระยะท้ายของโจวฮ่าวเซิง และธงวิญญาณอันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลางก็เริ่มต้านทานไม่ไหว
แม้แต่โจวฮ่าวเซิงก็ยังเกิดความรู้สึกเลอะเลือนขึ้นรางๆ แล้ว
โชคดีที่ชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุสานจักรพรรดิประกายกาฬเหล่านั้น ในนาทีนี้กำลังแสดงความสามารถอย่างต่อเนื่อง
แสงสว่างจากเศษของวิเศษเสริมพลัง ช่วยทุกคนแบกรับแรงกดดันส่วนหนึ่ง ทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอและโจวฮ่าวเซิง สามารถล่วงลึกเข้าไปในสุสานจักรพรรดิได้ต่อ
ในตอนที่ทุกคนมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของสุสาน ก็เห็นลำแสงที่มืดมัวหลายสาย รวมตัวกันอยู่กลางที่เก็บศพ เหมือนกับโซ่ตรวนก็ไม่ปาน
ณ ที่แห่งนั้น มีโลงศพหินขนาดยักษ์โลงหนึ่งลอยอยู่!
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้างก็คือ ฝาของโลงศพหินนั้นอ้าออก เมื่อมองดูจากไกลๆ แล้ว ด้านในโลงศพไม่มีศพของใครสักคน!
พวกโจวฮ่าวเซิงมองภาพนี้อย่างงงงัน ไม่ได้สติอยู่เนิ่นนาน
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกประหลาดใจ ‘หรือจักรพรรดิประกายกาฬจะไม่สวรรคต? เหตุการณ์ทุกอย่างในตอนนั้นเป็นแค่ภาพลวงที่เอาไว้ตบตาผู้คน?’
‘หรือว่าจะใช้ปาหี่จั๊กจั่นลอกคราบ ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ เหมือนกับราชันพระอาทิตย์เกาหาน?’
เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเปลี่ยนเป็นล้ำลึก ‘ไม่ถูกต้อง…’
โลงศพหินนั้นเคยถูกใช้มาก่อน ต่อมาถูกคนเปิดออก ไม่ใช่เพราะอิ่นเทียนเซี่ยเตรียมไว้แต่ไม่ได้ใช้
ด้านในห้องเก็บศพ เต็มไปด้วยความซึมเซาและกลิ่นของความตาย
ปราณความตายที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ได้อธิบายว่าเคยมีตัวตนที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดอยู่ที่นี่จริงๆ
เช่นนั้นเป็นจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยคืนชีพขึ้นมาหลังจากสวรรคตไปหลายปี แล้วออกจากที่นี่หรือ?
หรือว่าจะมีคนเปิดโลงศพ แล้วย้ายศพของอิ่นเทียนเซี่ยไป?
ไม่ว่าจะเป็นความเป็นไปได้ใด ต่างทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพอง ความเย็นเยียบสายหนึ่งชำแรกจากก้นกบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
พวกโจวฮ่าวเซิงสายตาเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง ยินดีที่จักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ยอาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็กังวลที่ศพของบรรพบุรุษหายไปอย่างลี้ลับเช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องที่คนที่กลายเป็นหุ่นเชิดหลังจากเข้ามาในสุสานจักรพรรดิก่อนหน้านี้เข้ามาได้อย่างไร ยังเป็นปริศนามาโดยตลอด
พอได้เห็นโลงศพหินที่ว่างเปล่าในสถานการณ์เช่นนี้อีก ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้คนรู้สึกไม่พอใจไม่ได้
ทุกคนสำรวจอย่างละเอียด เห็นบนโลงศพมีตะเกียงไฟหนึ่งวางอยู่
ตัวตะเกียงเป็นสีดำขาว แต่ว่าสีดำและสีขาวกระจ่างชัด ไม่มีสิ่งใดเจือปน ผสมกันอย่างสมบูรณ์แบบ รวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ไร้ร่องรอยของฝีมือมนุษย์แม้แต่น้อย
ไฟของตะเกียงดับไปนานแล้ว แต่กลับมีแสงสว่างหลายสายเชื่อมต่อกับรอบๆ ห้องเก็บศพ
มีจอมยุทธ์สำนักความมืดบางคนสีหน้าเปลี่ยนแปลง อุทานเสียงเบา “ตะเกียงประกายกาฬ!”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยิน สายตากลายเป็นเคร่งขรึม
ตะเกียงประกายกาฬ ว่ากันว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่จักรพรรดิประกายกาฬเคยพกติดตัว และหายไปพร้อมกับท่าน
หลายปีมานี้ ทุกคนต่างคาดเดาว่า ตะเกียงประกายกาฬถูกฝังอยู่ในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬพร้อมกับอิ่นเทียนเซี่ย
การค้นหาสุสานจักรพรรดิประกายกาฬในครั้งนี้ ตะเกียงประกายกาฬเป็นเป้าหมายหลัก!
ดูจากในตอนนี้ ตะเกียงประกายกาฬนี้ เหมือนจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
แต่ก็ยังคงเป็นยอดของวิเศษชิ้นหนึ่ง ข้อนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัย
โจวฮ่าวเซิงมองตะเกียงประกายกาฬ หลังจากคำนับเสร็จแล้ว ก็เดินไปด้านหน้า ยื่นมือเข้าหาตะเกียงโบราณสีดำขาวนั้น