ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 472 ท่วมท้น
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่ซากโบราณ ดูราวกับกำลังกังวลความปลอดภัยของฉินมู่ ความวิตกของเขาทำให้เขาเสียกระบวน และเผยช่องโหว่ออกมาในที่สุด
ช่องโหว่ที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เสาะหามานานอยู่ตรงหน้านางนี่เอง!
“อี้ย้าาาาา—”
เสียงหวีดร้องประหลาดดังออกมาจากปากมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ มันทั้งแหลมคม ยาวนาน และบาดหู พลังวัตรพวยพุ่งออกจากร่างกายของนาง และกล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างก็ปูดพองขึ้นมา ในพริบตานั้น ผิวหนังของนางปริแตกจนหมด
กล้ามเนื้อของนางขยายออกมาข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง และมันเผยให้เห็นว่าร่างเนื้อของเถียนซืออวี่มิใช่ร่างดั้งเดิมของนางเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางปลดปล่อยพลังวัตรทั้งหมดออกมา รัศมีเทวะของนางก็แผ่พุ่งออกไป และฉีกทึ้งร่างกายที่นางสิงสู่อยู่เป็นชิ้นๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ทะเลทรายเพลิงโหมก็เหมือนกับจะมีชีวิตขึ้น เม็ดทรายไหลเข้ามาจากรัศมีร้อยลี้ ทรายใต้เท้าราชครูสันตินิรันดร์หมุนเป็นเกลียววนต่อขึ้นมาเป็นปากใหญ่มหึมาที่พยายามจะฮุบกลืนเขา!
ปากใหญ่นั้นเหมือนกับเหวลึกอันมีพลังดูดน่าสะพรึงกลัว ทรายก่อขึ้นมาเป็นเส้น แล้วก็กลายเป็นกระบี่อันแทงเข้าใส่ราชครูสันตินิรันดร์ผู้ถูกทรายดูดเข้าไป
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังกรีดร้องไม่หยุดเมื่อร่างเนื้อของนางขยายใหญ่ไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบวา ราวกับว่านางคือยักษ์อสูรเกรียงไกรผู้พวยพุ่งไปด้วยรัศมีเทวะ
นางได้เตรียมการลอบโจมตีนี้มาเนิ่นนานแล้ว และการลงมือของนางก็ท่วมท้นไปด้วยความเกรี้ยวกราดดุดัน นางดูแตกต่างไปคนละขั้วจากเถียนซืออวี่ผู้อ่อนโยนนุ่มนวล และดูแลปรนนิบัติคณะตลอดการเดินทาง
ความเกรี้ยวกราดดุดันมักจะเป็นคุณศัพท์ที่ใช้บรรยายบุรุษ แต่ในแผ่นดินตะวันตก สตรีเป็นผู้ถือครองอำนาจ ดังนั้นใช้บรรยายพวกนั้นย่อมถูกต้องเหมาะสมกว่า
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยกมือของนางขึ้น และทะเลทรายรอบตัวนางก็กระเพื่อมโยนตัวขึ้นมา ก่อเป็นกำแพงหนาสองชั้นอันตบเข้าไปหาราชครูสันตินิรันดร์!
“ตายเสีย!”
ขณะที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตวาดออกมานั่นเอง แสงกระบี่ก็ทะลวงทะลุท้ายทอยและโผล่ออกไปทางหว่างคิ้วของนาง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตกตะลึง และทะเลทรายอันกระเพื่อมรอบตัวก็พลันแน่นิ่ง กำแพงทรายหนาหนักที่สูงหลายร้อยวาก็พังทลายลงมา แปรเปลี่ยนเป็นมวลทรายไหลรี่อันโถมท่วมราวกับน้ำหลาก
ข้างใต้เท้าของราชครูสันตินิรันดร์ ปากใหญ่อันอ้าปากก็หยุดหมุนเกลียวและกลายเป็นพื้นทรายนิ่งสงบ กระบี่ทรายรอบๆ ตัวเขาก็ร่วงลงจากท้องฟ้า
“เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ” ราชครูสันตินิรันดร์เบือนหน้ากลับมาและมองไปยังมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ผู้ยิ่งยง เสียงของเขากล่าวอย่างนุ่มนวล “ในภาพจิตรกรรม เทพนารีที่ถูกฉินมู่เตะได้กล่าวประโยคนี้อันมีทั้งหมดยี่สิบคำ”
“ตลอดการเดินทาง จ้าวลัทธิฉินได้สนทนาคำเหล่านี้อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง เขานั้นชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าหากเขาบอกให้เจ้าพูดประโยคนี้ทั้งประโยค เจ้าก็จะต้องเปลี่ยนน้ำเสียงและวิธีการพูดทันที แต่ทว่าหากเขาแยกคำทั้งยี่สิบคำนี้ออกไปไว้ในประโยคต่างๆ มากมาย เจ้าก็จะไม่ทันระวังตัว”
“ที่แท้พวกเจ้าก็ไม่ได้เชื่อข้ามาตั้งแต่แรก?” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่นางด้วยสายตาแปลกประหลาดพลางส่ายหัว “จ้าวลัทธิฉินนั้นบ้าดีเดือด ถึงกับวางลูกแก้วเต่าดำไว้ในมือเจ้า ข้าเองก็ตื่นตระหนก หากว่าเจ้าโจมตีในตอนนั้นและขับเคลื่อนพลานุภาพของลูกแก้วเต่าดำ ข้าก็อาจจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ เขาประเมินความสามารถของข้าสูงเกินไป และข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเสแสร้งเป็นปกติธรรมดา แต่นี่เป็นเพราะไอ้เด็กเปรตทำตามอำเภอใจ หัวใจข้าแทบจะหยุดเต้นในตอนนั้น เจ้าพลาดโอกาสไปหลายครั้ง”
“เด็กต่ำช้านี่อีกแล้ว…” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ถอนหายใจ และรอยแผลกระบี่ที่หว่างคิ้วนางก็พลันพวยพุ่งออกมาด้วยโลหิต นางแย้มยิ้มและกล่าว “แต่ทว่า หากเจ้าคิดว่าจะสามารถจัดการกับข้าได้ด้วยเพียงเท่านี้ เจ้านั้นตื้นเขินจนเกินไป…”
สีหน้าราชครูสันตินิรันดร์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ที่ไหลออกมาจากหว่างคิ้วของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ มิใช่โลหิตแต่เป็นทราย
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้แย้มยิ้ม และรอยแผลนั้นก็ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทรายไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง นางหัวเราะคิกคัก “เจ้าไม่รู้หรือว่า วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ ข้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ทะเลทรายนี้ข้าก็เป็นคนสร้าง พยายามสังหารข้าในสถานที่อันเป็นงานรังสรรค์ของข้า? ฝันเฟื่อง!”
ร่างของนางถล่มลงไป และเสียงของนางพลันกึกก้องมาจากทั่วทิศทาง “ข้าได้ต่อสู้กับเรือตะวันและเรือจันทราเป็นสิบๆ ลำที่นี่ สังหารผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรามากมาย เจ้าคิดว่าชื่อเสียงของข้าได้มาโดยเปล่างั้นหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และวิ่งตะบึงตรงไปยังเรือตะวันอันตะแคงกระเทเร่อยู่บนทะเลทราย ด้วยมือของเขาแตะกระบี่ แสงกระบี่ของเขาก็ราวกับรัตติกาลอันนิรมล เมื่อใครมองเห็นเงา พวกเขาก็มิอาจมองเห็นแสง เมื่อใครมองเห็นแสง พวกเขาก็มิอาจมองเห็นรูปลักษณ์!
ด้วยมีเงา จึงปราศจากแสง ด้วยมีแสง จึงปราศจากรูปลักษณ์!
ไม่ทันที่เขาจะไปถึงเรือตะวัน มันก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ยกเหยียดขายืนขึ้น โซ่ดังโกร่งกร่าง และดวงอาทิตย์สีดำก็ถึงกับลอยขึ้นไปข้างบน ทรายอันคลุมกลบมันอยู่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์สีดำกลิ้งไปบนนภากาศและสร้างเสียงกัมปนาทสะท้านพิภพระหว่างที่มันบีบอัดห้วงมิติรอบๆ เปลวอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วทิศทางในทะเลทราย!
เรือตะวันพุ่งไปยังราชครูสันตินิรันดร์ เมื่อสิ่งมหึมานี้แล่นตะบึงผ่านทะเลทรายอันรกร้าง มันก็ให้ความรู้สึกไม่น่าเชื่อและพิลึกกึกกือ
“นี่คือผลงานชิ้นเอกของกระทรวงวิศวกรรมในสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง! พวกเขารังสรรค์อาวุธที่มีพลานุภาพเทียบเท่าเทพสวรรค์ด้วยน้ำมือของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ปุถุชนสามารถยืนหยัดทัดเทียมกับเทพเจ้าได้!”
ที่ใจกลางเรือตะวัน ระหว่างเสาทั้งสี่ สตรีนางหนึ่งอันประดุจดั่งเทพสวรรค์ลุกขึ้นมา แขนสี่ข้างของนางยื่นเหยียดไปจับเสาทั้งหลาย นางหัวเราะอย่างลำพองใจ “แต่กระนั้น ก็กลายเป็นว่าสร้างอาวุธมามอบให้ข้า! พวกมันถูกกวาดล้างไปทั้งหมด ตายจนสิ้นซากในน้ำมือของข้า!”
พึ่บบบ
งูเหินหาวอันก่อขึ้นมาจากทราย ผงาดขึ้นมาในทะเลทราย ด้วยร่างอันหนาใหญ่ไร้ใดเปรียบของพวกมัน มันก็ชอนไชไปทั่วทิศทางในทะเลทราย พุ่งไปยังราชครูสันตินิรันดร์!
“เจ้าสัมผัสได้ไหมล่ะ เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังวัตรของข้ากำลังพุ่งทะยานขึ้น” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สั่งให้เรือวิ่งตะบึงไปข้างหน้าอย่างดุเดือด และเหวี่ยงดวงอาทิตย์ดำฟาดลงใส่ราชครูสันตินิรันดร์พลางหัวเราะ “ให้ข้าเผยให้เจ้าเห็นว่าความสิ้นหวังหน้าตาเป็นอย่างไร! อี๊ย้าาาาาาา—”
เสียงหวีดร้องแหลมบาดหูก้องสะท้อนไปในทะเลทราย ที่ตามมาก็คือเรือเคลื่อนที่อันใหญ่มโหฬารซึ่งกวัดแกว่งดวงอาทิตย์สีดำ และงูตัวหนาใหญ่อันเข้าห้อมล้อมมนุษย์ตัวเล็กๆ
ภาพนี้น่าแตกตื่นสะท้านขวัญ
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างกายของนางใหญ่มหึมา ใหญ่เสียยิ่งกว่าเรือตะวัน เมื่อเทียบกันแล้ว ราชครูสันตินิรันดร์ดูเล็กราวมดปลวก มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เลือกที่จะใช้เรือตะวันเพื่อท่วมท้นเขา แต่ละการโจมตีของนางนั้นเกินจินตนาการ การจู่โจมของนางแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง และมหาสมุทรแห่งเม็ดทรายก็เดือดพล่าน ทั้งทะเลทรายคือร่างกายของนาง อาวุธของนาง!
ราชครูสันตินิรันดร์ล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง ทำลายการโจมตีของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าเขาจะถอยกรูด แต่ระยะห่างระหว่างเขาและเรือตะวันกลับยิ่งร่นสั้นเข้าไปทุกที
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เริ่มว้าวุ้น แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะดูเหมือนเสียเปรียบ และเรือตะวันที่ทะยานเข้าไปใกล้เขาก็ดูเหมือนจะได้เปรียบ แต่จริงๆ แล้วมิได้เป็นเช่นนั้น นางไม่ได้ชัยเหนือกว่าเขาเลยสักนิด และสัมผัสได้ถึงภยันตรายใหญ่หลวงตรงหน้า
หากว่านางและราชครูสันตินิรันดร์เข้าไปใกล้กันมากขึ้นทุกที ที่รอนางอยู่เมื่อพวกเขาเข้าไปยังระยะห่างที่แน่นอนระยะหนึ่งก็คือการโจมตีอันเกรี้ยวกราดที่สุดของชายกลางคนผู้นี้ เข้าไปหาตัวเขานั้นจะต้องนำไปสู่ความตายของนางอย่างแน่นอน!
แต่ว่าจะหยุดแค่กลางคันนั้นก็เป็นไปไม่ได้ มีก็แต่หยิบยืมพลานุภาพของเรือตะวันเท่านั้น นางจึงจะมีพลังวัตรมาพอที่จะสยบเขา แต่การณ์นี้ก็มีข้อเสียเปรียบอยู่ อันก็คือนางจะต้องยืนอยู่ระหว่างเสาทั้งสี่และจับมันเอาไว้ตลอดเวลา
มันจำกัดการเคลื่อนไหวร่างกายของนาง หากว่าราชครูสันตินิรันดร์พุ่งเข้ามาใกล้ นางก็คงได้แต่ต้องถวายหัว
แต่หากว่านางมิได้หยิบยืมพลังวัตรจากเรือและลูกแก้ววิญญาณทั้งสี่ พลังการต่อสู้ของนางก็จะด้อยกว่าราชครูสันตินิรันดร์
นี่หมายความว่านางจะต้องรักษาระยะห่างจากราชครูสันตินิรันดร์ และสังหารเขาก่อนที่เขาจะเข้ามาถึงตัว!
ยิ่งระยะสั้นเท่าไร นางก็ยิ่งใกล้ความตายมากเท่านั้น
พลังวัตรของมารดาเฒ่าสวรรค์ยิ่งเดือดพล่านมากขึ้นทุกที และการโจมตีของนางก็ยิ่งถี่ยิบ นางเข้าไปประชิดทีละก้าวๆ ส่วนราชครูสันตินิรันดร์นั้นถูกบีบให้ล่าถอยต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ไกลพอ ทุกเส้นยาแดงที่เฉียดผ่านก็คือความเฉียดใกล้มรณะ
เสียงกรีดร้องของมารดาเฒ่าสวรรค์ยิ่งดังอึงอลมากขึ้นทุกที ขณะที่หยาดเหงื่อหลั่งไหลมาโซมหลังเต็มไปหมด
เรือตะวันและราชครูสันตินิรันดร์ออกไปจากซากโบราณ ปล่อยฉินมู่และผานกงสั่วยืนอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งของโถงวังอันพังภินท์
เมื่อครู่ที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้โผล่ขึ้นมาลอบโจมตี และราชครูสันตินิรันดร์ก็ได้สังหารนางในกระบี่เดียว ได้สร้างความปั่นป่วนโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง และทำให้ผานกงสั่วหวาดกลัวจนขวัญบิน เกือบจะทำให้เขาหนีเตลิดไปอีกครั้งหนึ่ง
ราชครูสันตินิรันดร์แข็งแกร่งแค่ไหน?
การต่อสู้ที่ตำหนักสวรรค์แท้ได้ทำให้ผานกงสั่วลืมเลือนไปจนหมดสิ้นถึงแผนการที่จะต่อสู้ช่วงชิงกับเหล่าวีรบุรุษแห่งปัจจุบันสมัย ตอนนี้เขาอยากแต่จะแค่บ่มเพาะสะพานเทวะของตน และสังหารผู้คนอื่นๆ ด้วยวิชาสักการะ
แต่ทว่า เมื่อเขาเห็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้หนีไปได้ และที่ราชครูสันตินิรันดร์แทงเข้าไปนั้นเป็นเพียงยักษ์ทราย เขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก และโยนความคิดที่จะหนีเตลิดทิ้งไป
เมื่อเขาเห็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เข้าไปยึดครองเรือตะวันและสะกดข่มราชครูสันตินิรันดร์เอาไว้ เขาก็ลิงโลดใจ
ผานกงสั่วแย้มยิ้มแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “การคิดคำนวณของจ้าวลัทธิฉินอันยอดเยี่ยมเสียจริง เจ้าได้ช่วงใช้ทั้งราชครูและมารดาเฒ่าสวรรค์มาตามหาข้า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ไม่ต่างจากเขวี้ยงหินหนึ่งก้อนได้นกสองตัว ราชครูสันตินิรันดร์จะลอบโจมตีและสังหารมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ส่วนเจ้าก็จะใช้โอกาสที่ข้ากำลังตื่นตระหนกเพื่อสังหารข้า เป็นแผนการที่เหนือชั้นสุดๆ แต่แผนการคนหรือจะสู้ลิขิตสวรรค์ เจ้าคงไม่คาดคิดว่ากำลังฝีมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้จะแข็งแกร่งขนาดนี้สินะ นี่คือความผิดพลาดแรกของเจ้า”
เขายืนไพล่หลังและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ความผิดพลาดประการที่สองของเจ้าก็คือประเมินข้าต่ำเกินไป เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกับผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วๆ ไปสินะ และนั่นคือข้อผิดพลาดอันร้ายแรงที่สุดของเจ้า ข้าได้ผ่านการกลับชาติมาเกิดมากกว่าสิบหน และความเร็วในการฝึกปรือของข้าก็เกินเจ้าจะคิดฝัน ความเร็วที่ข้าพัฒนาไป นั้นเกินเจ้าจะจินตนาการ!”
รัศมีเขาแผ่พุ่งออกมา และปราณชีวิตก็บิดเบี้ยวอากาศโดยรอบ ก่อขึ้นมาเป็นพายุหมุนในโถงวังอันทรุดโทรม พวกมันหอบเอาก้อนอิฐและแม้กระทั่งกวาดซัดเสาหนาใหญ่ขึ้นไป ภาพที่เห็นนั้นน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ!
“เจ้าจะมีปัญญามาเผชิญหน้ากับข้าได้อย่างไร” ผานกงสั่วถามด้วยเสียงตะโกน พลังอำนาจของพลังวัตรเขาเพิ่มพูนอย่างน่าสะพรึงกลัวเมื่อเทียบกับที่เคยพบกันครั้งก่อนนี้ในทะเลทราย เรียกได้ว่าเขารุดหน้าไปด้วยความเร็วประหนึ่งเทพยดา!
ผานกงสั่วก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า และภาพเงาของเทพก็ปรากฏเบื้องหลังเขา ก่อขึ้นมาเป็นชั้นสรวงสวรรค์มากมาย ร่างกายของเขาเป็นทองดำประดุจดั่งพุทธรูปเมื่อเขาขับเคลื่อนพระสูตรมหายานยูไลและบรรลุถึงสวรรค์ชั้นสุรัสวดี!
ผานกงสั่วยกมือของเขาขึ้นเพื่อปลุกเร้าพายุลมและสายฟ้า อย่างหลังนั้นคำรามกัมปนาทเมื่อฝ่ามือซัดลงมายังฉินมู่ราวกับห่าฝนมาลาสวรรค์!
ตูม!
โถงพังไปครึ่งหนึ่ง และผานกงสั่วเดินลงมาพร้อมกับชิ้นส่วนแตกหักของโถงวังอันถล่มร่วงกับพื้น
ฉินมู่กระทืบเท้า โถงครึ่งที่เหลือก็พังตามไป และหลุมใหญ่ปรากฏขึ้นข้างใต้เขา ผานกงสั่วโดนกระทืบลึกเข้าไปในทราย
ฉินมู่เอียงคอเล็กน้อยและเอ่ยถาม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
……………………………….