ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 538 เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดกลางคัน
ทันใดนั้นซังฮั่วก็ดูเหมือนจะสัมผัสถึงบางอย่างและชะงักเท้า มารสาวตรงหน้านางก็รู้สึกถึงอันตรายและรีบหยุดทันที มีภูเขาที่ไม่สูงแต่ชันเป็นอย่างยิ่งกั้นกลางพวกนางเอาไว้ พวกนางขับเคลื่อนทักษะเทวะ มันเกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน แต่ละคนฟาดเข้าไปยังภูเขาตรงหน้าตนเอง
ทักษะเทวะอันกร้าวแกร่งของสตรีสองนางเข้าปะทะกัน และหลังจากชั่วขณะของความเงียบงัน ภูเขาก็พังทลายและฝุ่นผงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวหมอกควัน
ข้างในนั้น รอยประทับอักษรรูนเริ่มจะแหลกสลาย และพวกมันเปลี่ยนเป็นจุดแสงระยิบระยับเจิดจ้า ราวกับว่าเป็นดอกไม้ไฟ สตรีทั้งสองมิอาจมองเห็นซึ่งกันและกัน และไจกระบี่กับไจมีดของพวกนางก็พุ่งออกไปจากแขนเสื้อเพื่อลอยวนไปรอบๆ ร่างกายอันสวยสะคราญ กระบี่บินละเอียดยิบและมีดโค้งพร่างพรมไปรอบๆ เสื้อผ้าราวกับหิ่งห้อยที่เริงระบำอยู่บนฟากฟ้า
ซังฮั่วเรียนวิทยายุทธจากบิดาของนาง เทพซังเย่ ดังนั้นที่นางรู้จักก็คือวิชากระบี่ มารสาวอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นศิษย์ของมีดมารฝูลัวถัว ดังนั้นนางจึงฝึกวิชามีด
พวกนางสัมผัสซึ่งกันและกันในพริบตา และก็คล้ายกับผีเสื้อสองตัวที่บินไปรอบๆ อีกฝ่ายขณะที่ไจมีดและไจกระบี่หมุนปั่น มีดและกระบี่อันละเอียดยิบปะทะกัน ส่งประกายไฟพุ่งออกมา
“เพลงกระบี่ของเทพซังเย่ เจ้าคือซังฮั่ว!”
“เพลงมีดของมีดมารฝูลัวถัว เจ้าคือปี้อี๋!”
เด็กสาวทั้งสองพลันจดจำวิชาของแต่ละฝ่ายได้ ท่ามกลางแสงมีดและเงากระบี่ สองสาวโฉมสะคราญก็ปลดปล่อยทักษะเทวะใส่กันในระยะเผาขน แสงมีดพุ่งทะลวงทักษะเทวะ และแสงกระบี่ก็กวาดผ่านเรือนผม แสงเจิดจ้าอันส่องออกมาจากลูกกลมศาสตราอันหมุนติ้วก็สาดแสงใส่ดวงตาพวกนาง และฉายส่องลงบนเรือนร่าง
แม้ว่าร่างกายของพวกนางจะดูบอบบาง แต่กลับครอบครองพลังงานอันอาจจะเหนือล้ำกว่าฉินมู่เสียอีก เมื่อพวกนางเห็นซึ่งกันและกัน ร่างของพวกนางก็ตอบโต้ไปก่อนที่จะทันได้คิดเสียอีก ด้วยฝ่ามือ ข้อศอก หัวไหล่ ขา และเข่า พวกนางโจมตีศัตรูราวกับพายุคลั่ง!
สองสาวครางกระอัก และบาดเจ็บจากกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม ร่วงลงมาจากดอกไม้ไฟบนฟ้า พวกนางกลิ้งลงจากภูเขาราวกับกระสอบข้าวผุๆ และหยุดลงต่อเมื่อกลิ้งไปได้หกเจ็ดลี้
เมื่อพวกนางกำลังจะกลิ้งสุดแรงผลัก ไจกระบี่และไจมีดที่แต่ละฝ่ายใช้โจมตีฝั่งตรงข้าม ก็ลอยเหนือหัวของพวกนาง เหล่ากระบี่และฝูงมีดถล่มลงมา และในพริบตานั้น มีดโค้งหลายร้อยและกระบี่หลายร้อยก็โปรยปราย
สองสาวพลิกตัวและตีลังกา ซังฮั่วปลดธนูบนหลังนางออกมา และกลิ้งไปรอบๆ ราวกับแมวป่าลายหินอ่อน ด้วยการพลิกตัวแต่ละครั้ง ก็จะมีลูกศรยิงออกไปมากกว่าสิบดอก ในขณะเดียวกันนั้น ที่ระยะห่างออกไปราวสามสิบลี้ ปี้อี๋ก็เอาธนูมารของนางออกมาโจมตีสวนกลับไป
ข้างหลังพวกนาง แสงมีดและแสงกระบี่ยังคงถล่มลงมา
เด็กสาวทั้งสองสะกิดเท้าไปรอบๆ ภูเขา และต่อสู้กันข้ามภูเขา แรงสั่นสะเทือนของสายธนูสร้างเสียงดังสดใสขณะที่ภูเขาถูกยิงทะลุ เกิดรูขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ขณะที่ทั้งคู่วิ่งตะบึงไปด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหลีกลูกศร กระบี่ และมีดของแต่ละฝ่าย ซังฮั่วก็พลันเห็นขวานใหญ่และทวนยักษ์ พวกนางได้สู้กันจนกลับมาถึงจุดที่สองอาวุธมหึมาขัดไขว้อยู่
เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งตะบึงขึ้นไปบนขวานใหญ่ ขณะที่อีกคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนทวนดำ พวกนางเคลื่อนไหวราวกับงูระหว่างที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามไปมา และเมื่อพวกนางสัประยุทธ์กันจนถึงยอดของเทพศาสตราทั้งสองในที่สุด เด็กทั้งสองก็พลันร่วงตกลงมาราวกับดาวตกหลังจากที่ขับเคลื่อนกระบวนท่าทุกชนิดกลางอากาศ
ซังฮั่วรีบมองไป และเห็นปี้อี๋ร่วงลงไปในกับดักที่นางเตรียมไว้ก่อนหน้า นางรีบกระตุ้นการทำงานของพยุหะไจกระบี่ที่ฝังเอาไว้!
“อ๊าาา–”
ในฐานะลูกสาวคนเดียวของเทพซังเย่ ซังฮั่วสามารถได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถหลอมสร้างไจกระบี่เหมือนกับฉินมู่ได้ แต่นางก็ไม่เคยขาดแคลนไจกระบี่
นางได้ฝังไจกระบี่ทั้งหมดเจ็ดเม็ดในค่ายกลกระบี่เจ็ดดาว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงคร้านเกินกว่าที่จะฝึกฝนพีชคณิต ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีการที่ง่ายที่สุด และนั่นคือการคัดลอกผังค่ายกลกระบี่ที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ด้วยการหลอมสร้างสมบัติตามวิธีการอันถูกทิ้งไว้จากยุคสมัยก่อน พวกเขาก็จะสามารถประหยัดเวลาในการฝึกปรือ
ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวนั้นก็คือพยุหะดังที่ว่ามา
ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวมิได้ซับซ้อนมากนัก และผู้ฝึกวิชาเทวะส่วนใหญ่ก็เพียงแค่คัดลอกผังค่ายกลกระบี่มา พลานุภาพของมันไม่รุนแรงมาก แต่ด้วยไจกระบี่ถึงเจ็ดลูก มันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เช่นกัน
ในการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย ต่อให้ชะงักงันไปเพียงชั่วแวบ ก็เพียงพอที่จะตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขา ยิ่งตกลงไปในกับดักนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ซังฮั่วกระทำล่วงหน้าความคิด ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ธนูโค้งยิงแสงศรจำนวนนับไม่ถ้วนลงไปในค่ายกลกระบี่ ปี้อี้ป้องปัดซ้ายและขวา ป้องกันการโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่ในพริบตาถัดมา ไจกระบี่จากมือของซังฮั่วก็โบยบินไป และกระบี่บินจากในนั้นก่อขึ้นเป็นเส้นสาย เล่มแรกแทงทะลุผ่านหว่างคิ้วของมารสาว จากนั้นก็เล่มที่สอง ที่สาม…กระบี่บินหลายร้อยเล่มพรั่งพรูเรียงร้อยกันออกมาจากท้ายทอยของนาง
ร่างของปี้อี๋แข็งทื่อ เมื่อนางถูกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนอันระเบิดออกมาจากค่ายกลกระบี่เจ็ดดาว
“ข้าชนะ?”
ซังฮั่วตกตะลึง และความมั่นใจของนางก็เพิ่มพูนขึ้นมาเป็นอย่างมาก นางเก็บแผนภาพค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวและไจกระบี่ทั้งหลายของนางกลับไป ผละไปจากตำแหน่งที่ขวานกับทวนไขว้กันเพื่อไปตามหาศัตรูคนอื่นๆ
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย เทพซังเย่เหงื่อร่วงพราวราวห่าฝน เขานั้นเป็นเทพเจ้าและมีประสบการณ์ชีวิตมากมาย ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวของตนเอาชนะได้เพราะโชคช่วย
ซังฮั่วอาจจะฝ่าการต่อสู้ฆ่าฟันและได้ฝึกปรืออย่างขะมักเขม้นมาเป็นเวลานาน พร้อมกับผ่านประสบการณ์เป็นตายมาก็หลายหน แต่นางก็ยังคงด้อยกว่าเมื่อเทียบกับปี้อี๋ ยอดฝีมือเผ่ามารผู้นี้ที่ผ่านศึกมาเป็นร้อยๆ สนาม ประสบการณ์ของซังฮั่วเมื่อเทียบกับนางแล้วก็เหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทร
เอาชนะปี้อี๋นั้นเป็นเหตุการณ์โชคอำนวย แต่นางไม่อาจชนะด้วยโชคไปตลอด หากว่านางประจันหน้ากับยอดฝีมือมารคนอื่นๆ มิใช่ว่าครอบครัวคนสุดท้ายของเขาจะถูกปลิดปลงลงไปต่อหน้าต่อตาเขาหรอกหรือ
ทันใดนั้น เทพซังเย่ก็นิ่งขึง ตกตะลึงเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ โลกจำลองศึกทราย
ข้างในนั้น การต่อสู้อีกหลายตำแหน่งได้จบลง และจำนวนของยอดฝีมือมารก็หดหายลงไปอย่างมีนัยสำคัญ มีเหลือเพียงสองคนเท่านั้น คือเจ๋อหัวหลีศิษย์ของฟู่ยื่อลัว และศิษย์อีกคนของมารเที่ยงแท้สวีโม่ นามเจี่ยงอี้
ยอดฝีมือเยาว์แห่งสวรรค์ไท่หวงเหลืออยู่ก็คือฉินมู่ อวี่เหอ ซังฮั่ว และฉู่เหยา อวี่เหอได้ไปพบเจอกับฉู่เหยา และทั้งคู่ก็ร่วมมือกันเพื่อสังหารยอดยุทธเผ่ามารด้วยอาศัยจำนวนคนที่มากกว่า
แน่นอนว่า ศัตรูส่วนใหญ่ก็ยังคงตกตายในน้ำมือของฉินมู่ เด็กฟาดฟ่อนข้าว
เพราะว่าเขาได้สังหารยอดฝีมือมารสามคนในรวดเดียว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่จึงสามารถถือครองความได้เปรียบ
กำลังฝีมือของเจี่ยงอี้นั้นสูงล้ำ แต่อาการบาดเจ็บของเขาก็หนักหนาสาหัสหลังจากต่อสู้ปะทะซึ่งหน้ากับศัตรู ดังนั้นกำลังการต่อสู้ที่เหลืออยู่ของเขาจึงไม่สูงนัก บางทีนี่อาจจะเพียงพอให้ซังฮั่วรอดชีวิตออกมาได้
แต่ทว่า อวี่เหอและฉู่เหยาดูจะบาดเจ็บ…
เทพซังเย่หัวใจตกวูบอีกครั้ง เขาเฝ้ามองลูกสาวของตนเองวิ่งไปยังทิศทางของไอ้เด็กช่างตีเหล็ก
ในขณะเดียวกันนั้น ที่ขอบแดนของโลกจำลองศึกทราย เจ๋อหัวหลีได้แบกมีดมารมาราวกับหลวงจีนธุดงค์ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ เขามิได้ใช้ทักษะเทวะใดๆ ดังนั้นความเร็วของเขาจึงไม่เร็วมากนัก ฝีเท้าของเขาราวกับถูกวัดไว้ด้วยไม้บรรทัด และแต่ละก้าวที่เขาก้าวไปก็ยาวหนึ่งคืบอย่างพอดิบพอดี ไม่สั้นไปหนึ่งนิ้วและไม่ยาวไปหนึ่งนิ้ว
นี่คือกฎเกณฑ์ของเพลงมีดของเขา
ยอดฝีมือของเผ่ามารมักโอ่อ่าผ่าเผย และกระบวนท่าของพวกเขาทั้งตระการตาและใหญ่โต ไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเขามักจะพุ่งทะลวงไปด้วยพละกำลังการต่อสู้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
แต่เจ๋อหัวหลีร่ำเรียนมาจากดาบเทวะลั่วอู๋ชวง ตัวตนที่ได้รับการเรียกว่าว่าเทพเจ้าแห่งดาบ เพลงมีดของลั่วอู๋ชวงนั้นเชี่ยวชาญในด้านการคำนวณ และเขามีการฝึกปรืออันโอ่อ่าน่าเกรงขาม ตำแหน่ง พละกำลัง ท่าย่างเท้า การเคลื่อนไหวร่าง และการขยับของแต่ละมัดกล้ามเนื้อถูกมาตรวัดเอาไว้อย่างเข้มงวด ไม่มีช่องว่างให้กับความผิดพลาด
ปราณชีวิตโคจรลึกลงไปอีกระดับ การขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม เจตจำนง และแก่นพลังชีวิต ล้วนแต่ต้องเป็นตามเงื่อนไขนี้ด้วยเช่นกัน
เจ๋อหัวหลีเติบโตภายใต้การสั่งสอนเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงแตกต่างไปจากผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง ในการเรียนเพลงมีดของลั่วอู๋ชวง เขาจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในเชิงคำนวณ แถมว่า เขายังต้องมีความสำเร็จอันสูงล้ำในศาสตร์นี้อีกด้วย
แม้ว่าเขาจะได้ลงมายังสวรรค์ไท่หวงภายใต้การบัญชา และฝากตัวเป็นศิษย์ต่อฟู่ยื่อลัว เขาก็มิได้เรียนรู้ความห้าวหาญทะยานจิตอย่างไร้พันธาการใดๆ จากอาจารย์คนใหม่ เขายังใช้กฎเกณฑ์ที่เขาเรียนรู้จากลั่วอู๋ชวงมาจำกัดคำพูดและการกระทำของตน กระทำการอย่างหมดจดเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
เขามายังกำแพงไฟแห่งโลกจำลองศึกทราย และเงยหน้าขึ้น ตรงหน้าเขาคือแผ่นหลังของฉินมู่ เด็กหนุ่มกำลังชูกระบี่ขึ้นมาสำรวจงานฝีมือของตนเองท่ามกลางแสงเพลิง
ตรงข้ามกับความระมัดระวังของเจ๋อหัวหลี เด็กหนุ่มผู้นี้มีความห้าวหาญไร้สิ่งพันธนาการแบบฟู่ยื่อลัว
เงาร่าของเขาขณะที่ยกกระบี่ขึ้นมาดูองอาจห้าวหาญอย่างบอกไม่ถูก การชื่นชมกระบี่ตรงหน้ากองไฟนั้นเป็นอารมณ์วีรชนที่ใครก็ไม่อาจเรียนรู้ได้
เจ๋อหัวหลีอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัวขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ทว่าเขารีบสงบใจลงอย่างรวดเร็ว ในจังหวะนั้น เด็กหนุ่มกับกระบี่ก็ดูเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจเขาเปลี่ยนจังหวะเต้น ในเมื่อเขาก้มหัวลงและปรายตามองเขาด้วยหางตา
แต่ทว่า ไม่นานเจ๋อหัวหลีก็ตระหนักว่าเด็กหนุ่มมิได้ชำเลืองมองมาที่ตนจากหางตา ในทางกลับกัน เขามองไปที่กระบี่ของเขา และใช้ใบกระบี่อันมันวาวราวกระจกเพื่อมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหลังเขา
เหตุผลที่เขาแสร้งทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังชำเลืองมองข้าจากหางตานั้นก็เพื่อปั่นป่วนวิจารณญาณของข้า หากว่าข้าฉวยโอกาสในการลงมือ วิจารณญาณของข้าก็จะผิดพลาด และเขาก็จะเป็นฝ่ายชิงชัยได้เปรียบ
เจ๋อหัวหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หากว่ายอดฝีมือเช่นพวกเขามีวิจารณญาณผิดพลาดต่อการเคลื่อนไหวร่างกายแม้เพียงกระเบียดนิ้วของศัตรู ศัตรูก็จะไม่มีทางปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นเล็ดลอดไป
บางครั้ง แพ้ชนะก็มาจากความผิดพลาดที่พื้นฐานสามัญที่สุด!
เขาดูมีประสบการณ์มาก จนไม่สมกับอายุ
เจ๋อหัวหลีสูดลมหายใจลึก และยืดไหล่ของเขาขึ้นมาดุจเดิม เป็นเด็กหนุ่มผู้นี้เองที่ดาบเทวะลั่วอู๋ชวงไม่อาจลืมเลือนได้ เขาคือบุคคลที่แม้แต่ลั่วอู๋ชวงก็ต้องมาแสดงเพลงมีดให้ดูชม!
เจ๋อหัวหลีพลันค้อมกายคารวะแก่ฉินมู่และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ของข้าคือลั่วอู๋ชวง”
ฉินมู่หันกลับมาและวางกระบี่ในมือของตนบนโต๊ะตีเหล็ก “ข้ารู้ ข้าจำเขาได้”
เจ๋อหัวหลียังไม่ลุกขึ้นยืนตรงจากท่าคารวะและกล่าวต่อไป “อาจารย์ของข้ากล่าวว่าหากข้าพบเจ้า ข้าจะต้องร้องขอให้เจ้าชมดูเพลงมีดที่เขาคิดค้น!”
เมื่อเขาโค้งคารวะ ดวงตามารบนดาบมารข้างหลังเขาก็พลันเปิดออกมา และแก้วตาสีแดงเลือดอันเป็นขีดตั้งก็กลอกไปรอบๆ สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่ม
ฉินมู่แย้มยิ้ม และวางฝ่ามือของเขาลงบนโต๊ะตีเหล็ก กระบี่บินทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาเขาราวกับเม็ดทรายละเอียด และรวบรวมเข้าด้วยกันใต้ฝ่ามือของเขา ก่อขึ้นมาเป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือ
“ข้าเองก็อยากจะเห็นเพลงมีดของเขาเป็นอย่างยิ่ง” ฉินมู่ถือไจกระบี่ในมือแล้วกล่าว “เจ้าจะต้องร่ายรำเพลงมีดของเขาแทนตัวเขา ดังนั้นเจ้าจึงคารวะข้าแต่นั่นเพราะเจ้าเคารพเขาแต่มิใช่เคารพข้า นั่นใช่หรือไม่”
เจ๋อหัวหลีลุกขึ้นยืนตรงและผงกหัว
ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ “เขาร่ายรำเพลงมีดของเขาด้วยแขนข้างเดียว เช่นนั้นเจ้าเรียนเพลงมีดของเขาด้วยแขนเดียวหรือสองแขน”
ม่านตาของเจ๋อหัวหลีหรี่แคบ
ฉินมู่ไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงแม้สักนิดบนสีหน้าของเขา และสังเกตปฏิกิริยาของเขาได้ในทันที “เจ๋อหัวหลี เจ้าสามารถร่ายรำเพลงมีดของเขาให้ข้าดูได้ล่ะ”
เจ๋อหัวหลีพลันรู้สึกถึงแรงกดดันอันมองไม่เห็นที่กดทับลงมายังจิตเต๋าของเขา
ฉินมู่ถามเขาว่า เขาสำเร็จเพลงมีดนี้มาแบบหนึ่งแขนหรือสองแขน และนี่สร้างแรงกดดันแก่จิตเต๋าของเขาอย่างมหาศาล นี่ก็เพราะว่าลั่วอู๋ชวงคือดาบเทวะแขนเดียว!
หากว่าเขาสำเร็จเพลงมีดมาด้วยแขนเดียว นั่นก็แปลว่าแขนอีกข้างของเขาก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ หากว่าเขามิได้ใช้แขนนั้นในการต่อสู้ ไม่ว่าทักษะเทวะใดที่เขาร่ายออกไป มันก็จะไม่มีทางสอดคล้องกับเพลงมีดของเขา ถ้าอย่างนั้น เขาก็จะมีช่องโหว่ขนาดใหญ่
หากว่าเขาสำเร็จวิชามาด้วยสองแขน มันก็หมายความว่าเขามิได้รำเรียนเพลงมีดของดาบเทวะแขนเดียวลั่วอู๋ชวง การร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงด้วยสองแขนก็หมายความว่าเขาไม่มีทางร่ายรำมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นก็คือเขาจะไม่สามารถสำเร็จถึงแก่นแท้!
นอกจากทำความปรารถนาของลั่วอู๋ชวงให้สำเร็จแล้ว เจ๋อหัวหลีก็ยังลงมาที่แดนต่ำใต้เพื่อแสวงหาวิธีการที่จะให้เพลงมีดของเขาสมบูรณ์แบบจากฟู่ยื่อลัว มันคือการซ่อมแซมความขาดพร่องของเขาผ่านประสบการณ์และการศึก เพื่อรุดหน้าไปอีกก้าวหนึ่งในการบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ในด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ
และบัดนี้ เพียงพบหน้ากัน เขาก็ถูกศัตรูมองทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าเขาจะร่ายรำเพลงมีดหรือไม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหยุดกลางคัน!
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย ดวงตาของนักบุญคนตัดไม้ลุกวาบ และเขาปรายตามองเสือเทพยดาขนดำที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กรอบคิดจิตใจของเขาสูงส่งอย่างเหลือเชื่อ กดดันเจ๋อหัวหลีในวินาทีแรกที่พบหน้า ไฉนเจ้าถึงบอกว่ากรอบคิดจิตใจของเขาอ่อนแอ”
เทพเสือขนดำหูลู่ปิดลงมาและพึมพำด้วยความขัดเคือง “กรอบคิดจิตใจของเขาอ่อนแอจะตาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างสุดโต่ง…จริงสิ นายท่านก็บอกไม่ใช่หรือว่าเขามีอารมณ์คึกกระโดดไปมา และการฝึกปรือกรอบคิดจิตใจของเขาก็อ่อนแอ”
นักบุญคนตัดไม้สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ข้าเปล่า อย่าพูดจาเหลวไหล เจ้าฟังผิดแล้ว”
เสือเทพยดาขนดำทำแก้มตุ่ยร้องเฮ้อ จนเส้นเลือดปุดๆ ขึ้นมาบนหน้าผากนักบุญคนตัดไม้ เสือเทพยดาขนดำรีบก้มหน้าลงและหัวเราะ “เป็นเสือน้อยๆ ผู้นี้เอง ที่ได้ยินมาผิดพลาด”
……………….