ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 752 คำสัญญาจากอดีต
กี่ปีแล้ว
ฉินมู่ไม่เข้าใจเรื่องนี้มากเท่าไรเหมือนกัน ยุคสมัยแสงฉานถูกทำลายล้างไปสามแสนห้าหมื่นปีก่อน และมันก็ดำรงอยู่เพียงแค่หนึ่งแสนปี งั้นยุคสมัยหลงฮั่นก็จะต้องจบสิ้นไปเมื่อสี่แสนห้าหมื่นปีก่อน
ยุคสมัยหลงฮั่นยาวนานแค่ไหน
เขาไม่มีหนทางที่จะคิดคำนวณได้
กาลเวลาอันไร้สิ้นสุด โดยไม่ใส่ใจเดือนและปี หรือว่าเด็กหนุ่มสวมหน้ากากที่ปิดกั้นตนเองผู้นั้นจะรอเขาอยู่ในแดนใต้พิภพตลอดมาจนกระทั่งฉินมู่มาถึง
หรือว่าเขาจะคอยอยู่ข้างๆ โลงศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้ตลอดเวลา
ฉินมู่จิตนาการไม่ออกว่าวิญญูชนสวรรค์โยวที่ขี้เบื่อถึงกับโยนทักษะเทวะไประเบิดปลาจากบนสะพานเหินหาวในสระหยกผู้นั้น เด็กหนุ่มที่จะงอก่องอขิงและตัวสั่นระริกทุกครั้งที่เขาเศร้าเสียใจและกล่าวโทษตนเองผู้นั้น จะอยู่แต่ในแดนใต้พิภพอันมืดมิดและรอคำสัญญานั้นตลอดกาลเวลาที่ผ่านมา
ในตอนนั้น เขายังเป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าซีดขาวราวป่วยไข้ และตอนนี้เขากลายเป็นผู้เฒ่าไปแล้ว มีก็แต่เขาที่ปิดกั้นตนเองจากผู้อื่น ถึงจะสร้างร่างแยกของตนเองมากมายและกระจายตัวเขาไปทั่วทุกโลกมิติเพื่อนำทางวิญญาณคนตายไปยังแดนใต้พิภพ
ทั้งหมดก็เพราะคำสัญญา
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฉินมู่มิได้เอ่ยปากสัญญากับเขาด้วยตนเองด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน เขาให้วิญญูชนสวรรค์หลิงนำคำมั่นสัญญาไปฝาก
ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ข้ากลับมาแล้ว
สำหรับถ้อยคำเพียงแค่นี้ เขาก็ได้ไปยังแดนใต้พิภพ และพิทักษ์โลงศพของวิญญูชนสวรรค์อวี้ตั้งแต่วัยหนุ่มจนเขากลายเป็นชายชรา
เขาและวิญญูชนสวรรค์อวี้ไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกัน และวิญญูชนสวรรค์อวี้เพียงมาเยี่ยมเยียนเขาเมื่อมารดาของเขาป่วยหนัก วิญญูชนสวรรค์อวี้เพียงแค่ปฏิบัติต่อเขาอย่างดี และดูแลเขาเป็นอย่างมากเท่านั้น
เพียงแค่ความเมตตาเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ปิดกั้นตนเองอย่างเขายอมอุทิศทั้งชีวิตของตน
ฉินมู่กระโดดลงจากสะพานและเหยียบลงไปบนเรือกระดาษ วัวแก่เห็นสถานการณ์ก็รีบกระโดดลงจากเรือสะพาน แต่ก็ตกลงไปในแม่น้ำจนปัญญา เรือนั้นได้ล่องพาผู้เฒ่านำทางความตายและฉินมู่เข้าไปในแดนใต้พิภพแล้ว มันไม่รับเขาไปด้วย
“เด็กแสบ เจ้าลืมข้าไปแล้วหรืออย่างไร”
วัวแก่นั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความโมโหและฮึ่มๆ “เมื่อครั้งกระโน้น เมื่อข้าอาละวาดในสภาสวรรค์…”
ลู่หลี เจว้หวง เสวียนหมิง และหานเหลย สี่มหาผู้บัญชาการแค้นต่างก็หันไปมองกันและกันด้วยความวิตก เมื่อครู่ผู้เฒ่านำทางความตายยังบุกโจมตียมโลกอยู่เลย และอิทธิพลอำนาจของเขาก็ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว แต่ในบัดนี้ เขาก็แค่แล่นเรือเล็กๆ ออกไปและทิ้งพวกเขาเอาไว้เสียเฉยๆ!
หากว่าโอรสหยินสวรรค์และผู้เฒ่านำทางความตายไม่ตกปากรับคำที่จะโจมตียมโลก พวกเขาไม่มีทางกล้าบุกเข้ามาในยมโลกเป็นแน่
และก็เพราะว่าโอรสหยินสวรรค์ได้มุ่งหน้าไปยังแดนใต้พิภพ และใช้นามของสภาสวรรค์เพื่อโน้มน้าวภูติบดี เขาสัญญาว่าจะเปิดม่านคุ้มกันระหว่างโลกของยมโลกด้วยตนเอง แบบนั้นภูติบดีถึงให้ผู้เฒ่านำทางความตายไปสะสางความแค้นที่ผ่านมาให้จบสิ้น นั่นคือสาเหตุที่ลู่หลีและคณะตัดสินใจจะเข้าโจมตียมโลก
และในตอนนี้ โอรสหยินสวรรค์หนีเตลิดไปจากตี้อี้เยว่ และผู้เฒ่านำทางความตายก็รับหน้ากากมาและหนีหายไปด้วยเหตุผลอันพิลึกกึกกือ ปล่อยเพียงแค่พวกเขาเอาไว้ข้างหลังเพื่อรับมือกับซากทัพแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง พวกเขาจะหาวิธีต่อสู้ในศึกนี้ได้อย่างไรกัน
สี่ผู้บัญชาการแคว้นแห่งแดนใต้พิภพหันไปมองกันและกัน ก่อนที่จะตัดสินใจในฉับพลัน พวกเขาดีดตัวขึ้นไปบนอากาศ และมุดกลับเข้าไปในแม่น้ำจนปัญญาด้วยเสียงดังจ๋อม
เมื่อมารเทวะใต้พิภพตนอื่นๆ เห็นสถานการณ์ พวกเขาก็รีบกรูกันกลับเข้าไปในแม่น้ำจนปัญญา
ท้าวยมราชชูกระบี่ขึ้นและกล่าวอย่างเย็นเยือก “ฆ่า!”
“ปิดกั้นแม่น้ำจนปัญญาและสังหารพวกมันให้หมด!”
เสียงโห่ร้องคะนองศึกดังมา และศีรษะจำนวนนับไม่ถ้วนก็ร่วงลงไปกับพื้นบนสองฟากฝั่งของแม่น้ำจนปัญญา แม่น้ำจนปัญญาถูกย้อมเป็นสีแดงฉานจากเลือดอันไหลท่วมไปหมด
เถียนฉู่ ตี้อี้เยว่ และคนอื่นๆ ต่างก็งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ทว่า พวกเขาไม่มีเวลาจะคิดอะไรมากมาย และไปเข้าร่วมกับการล้อมสังหาร
ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ เป็นตัวตนที่ดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น ทำไมเขาถึงยอมปล่อยวางความแค้นทันทีที่เห็นหน้ากาก
ตี้อี้เยว่ทำลายล้างมารเทวะใต้พิภพไปกลุ่มหนึ่งพลางครุ่นคิดกับตนเอง น้องมู่ทำได้อย่างไร แล้วประโยคนั้นหมายถึงอะไร
เถียนฉู่คิดอยู่ในใจ ราชันย์ขุนนางเป็นผู้ดุร้ายโดยกมลสันดาน และเขาก็เป็นคนที่ดึงดันไม่ยอมฟังเหตุผลใครมากที่สุดในแดนใต้พิภพ โลกมิติมากมายถูกทำลายล้างภายใต้เงื้อมมือของเขา หากว่าข้ารู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาแบบนั้นหลังจากที่เห็นหน้ากากอันหนึ่ง ข้าก็คงจะให้หน้ากากเขาไปสักกระบุงเลย!
เกี่ยวกับราชันย์ขุนนางนั้น มีตำนานมากมายเล่าขานถึงเขา
เถียนฉู่และตี้อี้เยว่ล้วนแต่เป็นราชาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ดังนั้นพวกเขาย่อมรู้เรื่องราวและข่าวลือมากมาย
จากคำร่ำลือ ภูติบดีนั้นมิใช่ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในแดนใต้พิภพ ในทางกลับกัน มันคือราชันย์ขุนนางใต้พิภพที่รู้จักกันในนามราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ ไม่มีใครล่วงรู้ว่าราชันย์ขุนนางผู้นี้มายังแดนใต้พิภพตั้งแต่เมื่อไหร่ บางคนบอกว่าเดิมทีนั้นเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ได้รับการเชื้อเชิญจากภูติบดีให้มาเป็นราชันย์ขุนนางแห่งแดนใต้พิภพ บางคนก็กล่าวว่าเขาคือน้องชายของภูติบดี และเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ก่อนฟ้าดินด้วยเช่นกัน
ภูติบดีรักษากฎแห่งแดนใต้พิภพอย่างเคร่งครัด และตราบใดที่กฎแดนใต้พิภพไม่ถูกล่วงละเมิด ก็น้อยนักที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกแห่งคนเป็น และแม้ว่าจะมีใครที่ฝ่าฝืนกฎแดนใต้พิภพ ตราบใดที่คนผู้นั้นหลบหนีเข้าไปในโลกแห่งคนเป็น ภูติบดีที่จะไม่สืบสาวราวเรื่อง เขาเพียงแต่บันทึกเอาไว้และตระเตรียมที่จะลงโทษหลังความตายเท่านั้น
กระนั้นราชันย์ขุนนางใต้พิภพนั้นก็ไม่ค่อยจะเคร่งครัดเหมือนภูติบดีในเรื่องการไม่ก้าวก่ายกับโลกแห่งคนเป็น
ในคำร่ำลือจำนวนนับไม่ถ้วน ราชันย์ขุนนางคือบุคคลที่มีกำลังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวไร้ปานเปรียบ เขานั้นแข็งแกร่งจนไม่ใช่มนุษย์ ด้วยร่างแยกเป็นพันล้านร่างของเขา เขาก็นั่งเรือน้อยไปนำทางวิญญาณจากทุกโลกมิติมายังแดนใต้พิภพ
หากว่าเขาพบกับการสกัดขัดขวางจากญาติมิตรของผู้ล่วงลับ ภัยพิบัติก็จะโถมซัดมาทันที!
ในประวัติศาสตร์ โลกมิติมากมายอึกทึกครึกโครมจากข่าวอันน่าแตกตื่นว่ามีโลกถูกทำลายล้าง นั่นก็เพราะว่าเมื่อผู้เฒ่านำทางความตายไปเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ เขาถูกทวยเทพที่นั้นสกัดขัดขวางเอาไว้
เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายและผู้เฒ่านำทางความตายต่อสู้กัน ผลลัพธ์นั้นก็น่าสยดสยองจนไร้เปรียบปาน
พลังอำนาจของผู้เฒ่านำทางความตายคนเดียวนั้นไม่ได้ไร้เทียมทาน และเทพเจ้าหลายตนก็สามารถเอาชนะเขาได้ แต่ทว่าเมื่อผู้เฒ่านำทางความตายนับพันล้านมาถึง มันก็กลายเป็นหายนะสิ้นโลก!
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ราชาสวรรค์เถียนฉู่ตัวสั่นงันงกและกลัวจนกระดุกกระดิกไม่ได้เมื่อครั้งที่ติดตามฉินมู่ไปยังแดนใต้พิภพ
เขาตัดเขาของภูติบดี และภูติบดีก็ไล่ล่าเขามาด้วยตนเอง เมื่อเขาหลบหนีกลับไปยังโลกแห่งคนเป็น ภูติบดีได้จับกายเนื้อของเขาเอาไว้ในพริบตานั้น แต่เพราะว่าเขาอยู่ในโลกคนเป็นแล้ว ภูติบดีจึงไม่สังหารเขา
หากว่าผู้ไล่ล่าเป็นราชันย์ขุนนางใต้พิภพ ราชันย์ขุนนางก็จะต้องปลิดชีวิตของเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาจะหลบหนีไปยังแห่งหนใด!
หลังจากที่ราชันย์ขุนนางใต้พิภพกำจัดเขา เขาก็จะยังเอาดวงวิญญาณไปไต่สวนอีก ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้!
“มีก็แต่ฉินมู่ที่ไม่หวาดกลัวราชันย์ขุนนางใต้พิภพ ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงมีหน้าใหญ่โตนัก”
ราชาสวรรค์เถียนฉู่มีสีหน้าประหลาด เมื่อครั้งก่อนนั้น ตอนที่พวกเขาหลบหนีออกไปจากดาบเทวะประตูจักรพรรดิ ราชันย์ขุนนางถมึงทึงใส่เขา แต่กลับสุภาพต่อฉินมู่อย่างยิ่ง ทั้งยังสนทนากันอย่างถูกคอ
และก็เป็นฉินมู่ด้วยที่วิงวอนต่อหน้าภูติบดี จึงทำให้พวกเขาหลุดออกมาจากแดนใต้พิภพได้
ฉินมู่ไม่รู้ว่าราชันย์ขุนนางนั้นน่าสะพรึงกลัวสักเพียงไหน เขาไม่เคยเห็นโฉมหน้าอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงของราชันย์ขุนนางใต้พิภพ
บนเรือน้อย ผู้เฒ่านำทางความตายสวมหน้ากากที่หลังศีรษะของตนเอง เขาแขวนตะเกียงเอาไว้ที่หัวเรือ และทันใดนั้น เรือน้อยมากมายก็แยกออกจากเรือนี้ และล่องลอยไปทั่วทิศทาง
ผู้เฒ่านั่งลงและปลดหน้ากากลงมา เพ่งพิศมันครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็สวมมันไว้ที่ข้างหลังศีรษะของตนอีกครั้ง
“ข้าแก่แล้ว”
ใบหน้าของเขาพลันชัดเจนขึ้นและทำให้ฉินมู่สามารถมองเห็นโฉมหน้าเขาอย่างแจ่มชัด บนนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น
จากใบหน้าของเขา ฉินมู่ไม่อาจมองเห็นเค้าหน้าของวิญญูชนสวรรค์โยวได้อีกต่อไป เขาเห็นก็แต่ร่องรอยที่หลงเหลือไว้จากกาลเวลา
“วิญญูชนสวรรค์มู่ ไม่ได้พบกันนาน ข้าแก่ชราไปแล้ว และไม่เหมาะที่จะสวมใส่หน้ากากแบบนี้อีกต่อไป เวลาได้ผ่านไปแล้วหนึ่งล้านปี แต่เจ้ายังคงเยาว์”
ดวงตาแก่เฒ่าของเขาเผยความวูบไหวในจิตวิญญาณ แต่มันก็สงบลงไปอีกครั้ง
ฉินมู่โค้งและกล่าว “ขอบคุณที่ดูแลข้าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายศีรษะและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าจนกระทั่งผนึกใบหลิวปรากฏที่หว่างคิ้วของเจ้า ตอนนั้นข้าถึงเริ่มลังเลว่าอาจจะเป็นเจ้า ในภายหลัง เมื่อผนึกของเทพสรรพชีวิตปรากฏ ข้าถึงแน่ใจ แต่ทว่า ข้าไม่อาจก้าวก่ายกับชีวิตของเจ้าได้ เพราะหากว่าทำเช่นนั้น เจ้าอาจจะไม่ได้เป็นตัวเจ้าอีกต่อไป”
ฉินมู่ผงกศีรษะ
แม้ว่าถ้อยคำของเขายากจะเข้าใจ แต่ฉินมู่ก็ยังคงเข้าใจ
“วิญญูชนสวรรค์มู่ พวกเราไปพบกับวิญญูชนสวรรค์อวี้กันเถอะ”
หลังจากที่ฉินมู่พบกับเขา ความคุ้นเคยจากอดีตก็หายไป ในทางกลับกัน เขาได้กลายเป็นวิญญูชนสวรรค์โยวผู้พิลึกประหลาดในอดีตกาลอีกครั้ง เขากล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เพื่อวันนี้ ข้ารอมาถึงหนึ่งล้านปี”
ฉินมู่เงียบงัน
หนึ่งล้านปีเพื่อคำมั่นสัญญา ใครทำเช่นนั้นได้บ้าง
เขาทำได้ จากบุคคลที่เป็นที่ยกย่องจากทุกผู้คน จากวิญญูชนสวรรค์โยว เด็กหนุ่มอ่อนโลกที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ กลายมาเป็นผู้เฒ่านำทางความตายไร้รอยยิ้มที่ทุกผู้คนหวาดกลัว สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งล้านปีนี้มากมายเหลือเกิน และเขาก็ไม่มีใครที่จะบอกเล่าระบาย ได้แต่บอกเล่าระบายกับตนเอง
ดังนั้นผู้เฒ่านำทางความตายจึงมีจำนวนมากขึ้น
แต่ละผู้เฒ่านำทางความตายแบกรับปัญหาและความเจ็บปวดของเขา และแต่ละผู้นำทางความตาย ไม่อาจเปิดหัวใจให้กับผู้อื่น
ฉินมู่มองไปยังภูติบดีซึ่งเข้าใกล้มาทุกที ภูติบดีผู้ยิ่งยงนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ปานเปรียบ และเขายืนตระหง่านอยู่ในความมืด เขามหึมาของเขาใหญ่โตมโหฬาร ฉินมู่พลันกล่าว “เจ้าไปคราวนี้เพื่อนำเอาเขาภูติบดีกลับมา แต่ตอนนี้กลับมามือเปล่า เจ้าจะไปตอบเขาว่าอย่างไร”
ผู้เฒ่านำทางความตายสีหน้ากลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ข้าถูกใครบางคนขัดขวางเอาไว้ เลยไม่อาจสำเร็จภารกิจ มันก็จะกาลงไปบนหัวเจ้าเหมือนที่เคยๆ”
ฉินมู่ใบหน้ามืดดำทันที และเขาแค่นเสียงเฮอะ “ถึงอย่างไรหัวข้าก็มีเรื่องกาลงไปมากมายนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่านำทางความตายพยักหน้าและกล่าว “มากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ”
ฉินมู่กล่าวอีก “เจ้ากลายมาเป็นผู้นำทางความตายในแดนใต้พิภพได้อย่างไร แล้วเจ้ามาเป็นราชันย์ขุนนางใต้พิภพได้อย่างไร”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงราวกับว่าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตน “หลังจากเจ้าจากไป ข้าก็ได้นำโลงศพไปยังแดนใต้พิภพเพื่อพบกับภูติบดี ภูติบดีกล่าวว่า หากจะเอาศพของหลันอวี้เถียนไว้กับเขาก็ได้ แต่ข้าจะต้องทำงานให้กับเขา ดังนั้นข้าจึงอยู่ที่นี่ต่อ เพราะว่าข้าอยู่ที่นี่ ทำให้ไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถปกป้องพี่ชายได้ ข้ายังสามารถไปพบเจอกับท่านแม่ ด้วยวิธีนี้ ข้าก็สามารถรู้สึกว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”
ฉินมู่อึ้งไป
เรือกระดาษไปยังเขาของภูติบดี และมันก็ลอยผ่านโลกมิติต่างๆ ที่กำลังทำลายล้าง ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์
“ภูติบดีนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วเขาคล้ายกับข้ามาก เขาก็เก็บตัวไม่สุงสิงกับใครเช่นกัน”
น้อยครั้งนักที่ผู้เฒ่านำทางความตายจะพูดมากมายขนาดนี้ “แต่ถึงอย่างไรข้าก็ดีกว่าเขา เขามีแค่ข้าที่เป็นเพื่อนคุยกับเขา แต่ข้ายังมีตัวข้าอีกมากมายหลายคน ข้ายังมีแม่และพี่ชายผู้ซึ่งอยู่ในโลงศพ เขาจะคอยฟังที่ข้าพูดคุย”
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและกระโดดลงจากเรือ เขาเหยียบลงไปบนพื้นดินแข็งและกล่าว “วันนี้ วิญญูชนสวรรค์อวี้จะสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้”
ผู้เฒ่านำทางความตายเก็บเรือกระดาษและพาเขาเข้าไปในคฤหาสน์ ครั้งแรกที่ฉินมู่มาที่นี่ เขารอการลงโทษของภูติบดีอยู่ในโถง และในคราวนี้ ผู้เฒ่านำทางความตายเพียงแค่นำเขาตรงไปยังเรือนด้านหลัง
ที่นั่นมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง และนางมีใบหน้าอันดูป่วยไข้ นางนั้นกำลังยกถังอันเต็มไปด้วยเพลิงไฟสีน้ำเงินอยู่ อันคือน้ำของโลกนี้ นางยกมันด้วยความยากลำบากเพื่อไปรดน้ำดอกปารมิตาในสวน
ดอกปารมิตาเบ่งบานราวกับกระจุกเพลิงที่แต่งแต้มอยู่ในอุทาน
“ท่านแม่”
ผู้เฒ่านำทางความตายเผยรอยยิ้มที่หาได้ยาก และเดินตรงไปข้างหน้า เขาช่วยหญิงผู้นั้นยกถังและกล่าว “ทำไมท่านถึงไม่พักล่ะ ปล่อยให้งานใช้แรงพวกนี้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
หญิงผู้นั้นเช็ดหน้าผากและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกอยากจะหาอะไรทำอยู่ไม่ให้ขาดมือ น้องชายคนนี้คือใครหรือ”
เขามองไปยังฉินมู่ และฉินมู่ก็พบว่าหญิงผู้นี้ไม่มีกายเนื้อ นางเป็นดวงวิญญาณอันบอบบาง แต่ทว่าถังน้ำนั้นไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด จึงทำให้นางสามารถยกมันขึ้นมาได้
“เพื่อนของข้า”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขามาที่นี่เพื่อเยี่ยมพี่ชายและพวกเรา”
หญิงนั้นกล่าวด้วยความยินดี “เจ้ามีเพื่อนไม่มาก และไม่มีใครมาเยี่ยมเล่นกับเจ้าเลย งั้นให้ข้าไปทำอาหารมาเลี้ยงสักหน่อยเถอะ! พวกเจ้าทั้งสองคุยกันไปก่อนนะ ไม่นานก็จะเสร็จล่ะ”
นางรีบออกไปเพื่อเตรียมประกอบอาหาร
ฉินมู่โค้งคารวะ “ขอบคุณมากท่านน้า”
ผู้เฒ่านำทางความตายเชิญฉินมู่ไปนั่ง และฉินมู่ก็มองไปรอบๆ บ้านนี้ยากจนและว่างเปล่า เขาถาม “ทำไมเจ้าไม่จับสัตว์ประหลาดมาสักหลายๆ ตัวให้พวกมันดูแลท่านน้าล่ะ หรือไม่ก็ให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของคนตายมาช่วยสักหน่อยก็ได้ ด้วยศักดิ์ฐานะของเจ้า จะต้องมีภูตผีมากมายที่หมายอาสาเป็นแน่”
ผู้เฒ่านำทางความตายส่ายศีรษะ “ท่านแม่ไม่ชอบสัตว์ประหลาด และก็ไม่ชอบคนตายด้วยเช่นกันภูติบดีนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ข้าตกลงรับเงื่อนไขของเขา เขาก็อนุญาตให้พวกเราได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งและอาศัยอยู่ที่นี่”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงนั้นก็ทำอาหารเสร็จสามสี่จาน และนำพวกมันมา แต่ทว่า อาหารเหล่านี้ล้วนแต่ว่างเปล่าและไม่มีรสชาติ
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและเชื้อเชิญนางให้นั่งลงทาน หญิงผู้นั้นส่ายหัวพลางกล่าว “ข้าจะดูพวกเจ้าสองคนทาน”
ฉินมู่นั่งลงและเริ่มรับประทานด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย เขาเอ่ยปากชมฝีมือทำอาหารของนางไม่หยุดปาก
นางเป็นสุขอย่างยิ่ง และเมื่อพวกเขาทานเสร็จ นางก็เก็บถ้วยชามและตะเกียบเพื่อไปล้าง
“ขอบคุณมาก” ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว
“ข้าทำในสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว” ฉินมู่กล่าวตอบ
“เจ้าเป็นคนดีจริงๆ”
ผู้เฒ่านำทางความตายลุกขึ้นและเดินตรงไปข้างหลังโถงวัง “พี่ข้าก็อยู่ที่นี่ ภูติบดีใช้พลังวัตรของเขาเพื่อถนอมรักษากายเนื้อของเขาไว้ด้วยเช่นกัน ไม่นานมานี้ ข้าสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดิน เทพีหยินสวรรค์ถูกชุบชีวิต และข้าก็รู้ว่าวันนี้คงอยู่ไม่ห่างไกล”
ฉินมู่เดินตามเขาและหัวใจก็สะท้านหวั่นไหว ในที่สุดเขาก็ได้เห็นโลงศพอันเขาสร้างขึ้นมาจากโครเมี่ยมแดงพุทธชีวา!
เสียงหัวใจเต้นของวิญญูชนสวรรค์อวี้ดังออกมาจากโลงศพ!