ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 189: ตราบใดที่เป็นตระกูลแอสคาร์ด
บทที่ 189: ตราบใดที่เป็นตระกูลแอสคาร์ด
กองทัพของโรซ่าเป็นกองกำลังที่ไม่ธรรมดา
โดยทั่วไปแล้ว กองทัพของแต่ละอาณาจักรจะมีนโยบายสอดคล้องกับแนวทางของอาณาจักร ยกตัวอย่างเช่น หากจักรวรรดิเซนต์เมซิทมีความขัดแย้งกับจักรวรรดิออสทีน กองทัพของพวกเขาก็จะมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูไปด้วยเช่นกัน แต่ที่นี่ในโรซ่า นโยบายทางทหารของอาณาจักร ไม่ได้ขึ้นกับนโยบายของอาณาจักร
เมืองโรซ่าก่อตั้งขึ้นจากธุรกิจการค้าขาย และสมาคมพ่อค้าโซโรฟยานั้นเป็นองค์กรที่ขยายการค้าขายออกไปทั่วทวีปเซีย ทำให้พ่อค้าทุกคนล้วนรักสงบและสามัคคี อันที่จริง การแต่งงานของบรูซ โซโรฟยา กับอเดลิเซีย มิลตัน เป็นเพียงการทูตและกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อที่จะเข้าไปทำธุรกิจในตลาดขนาดมหึมาของจักรวรรดิออสทีน โดยไม่ต้องเผชิญกับความเป็นปรปักษ์ของจักรวรรดิ
กลับกันแล้ว กองทัพของเมืองโรซ่าไม่ได้สนใจวิธีการประนีประนอมใด ๆ พ่อค้าอาจจะต้องก้มหัวลงอย่างใจเย็นในบางครั้งเพื่อเพิ่มผลกำไรให้สูงที่สุด แต่ทหารมักจะใจร้อนกว่ามาก ทหารและนายพลหลายคนต่างจดจำความทุกข์ทรมานที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการของจักรวรรดิออสทีนได้เป็นอย่างดี หวนนึกถึงมันอย่างสุดซึ้ง หากมีวิธีล่ะก็ พวกเขาก็พร้อมที่จะทำลายจักรวรรดิออสทีนทันทีที่สบโอกาส
นี่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างน่าสนใจ
ทางด้านการทูต แม้ว่าเมืองโรซ่าจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับจักรวรรดิออสทีนเป็นพิเศษ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์เชิงการค้าทั่ว ๆ ไป
อย่างไรก็ตามด้านการทหาร พวกเขามักจะทำการจำลองการต่อสู้กับจักรวรรดิออสทีนเป็นการฝึก และมักจะจัด ‘วันรำลึก’ ต่าง ๆ นา ๆ เพื่อย้ำเตือนเหล่าทหารเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่บรรพบุรุษของพวกเขาต้องเผชิญ ถึงขั้นผลิตหุ่นจำลองเป้าหมายจำนวนมากตามแบบนายพลของจักรวรรดิออสทีน ให้ทหารได้ใช้ฝึกฝนวิชาดาบของพวกเขา เพื่อเป็นการ ‘สร้างแรงผลักดันให้กับเหล่าทหาร’
อูกินผู้เป็นเสนาธิการทหารชาวโรซ่า จึงพยายามลากชื่อของชาร์ล็อตลงสู่โคลนตลอดเวลา ทำให้ความทุกข์ยากของเด็กสาวไม่ได้มีเพียงการดูถูกดูแคลนจากมารดาแม่ของเธอเท่านั้น แต่รวมถึงการที่ต้องถูกผู้อาวุโสของตระกูลโซโรฟยาเกลียดชังอีกด้วย
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
ชาร์ล็อตกำลังจะแต่งงานกับผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลแอสคาร์ด แต่มันไม่ใช่เพียงแค่การแต่งงานทางการเมืองธรรมดา ๆ เด็กสาวนั้นถึงขั้นลักพาตัวและลากเขากลับมาที่เมืองโรซ่าเลยทีเดียว! ด้วยคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความภักดีของตระกูลโซโรฟยา เรียกได้ว่าเธอหลงรักเขาแบบไม่มีวันหวนกลับ
สิ่งนี้ได้เปลี่ยนมุมมองทั้งหมดของอูกินเกี่ยวกับชาร์ล็อตในทันที
เขตการปกครองแอสคาร์ดเป็นพันธมิตรทางทหารที่เข้มแข็งของสมาคมพ่อค้าโรซ่ามายาวนาน และ จักรวรรดิเซนต์เมซิทที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเองก็ไม่ลงรอยกับจักรวรรดิออสทีนเช่นกัน การเลือกของชาร์ล็อตจึงเปรียบเสมือนกับการดับอนาคตของเมืองโรซ่าที่จะติดต่อกับจักรวรรดิออสทีนให้แตกสลายไปเลยทีเดียว
หากให้สรุปง่าย ๆ ล่ะก็ : แต่งงานกับฝั่งจักรวรรดิออสทีน = ไม่!
แต่งงานกับตระกูลแอสคาร์ด = ใช่!
ในห้องประชุม จอมพลอูกินตบไหล่ชาร์ล็อตพลางมองไปที่เด็กสาวด้วยสายตาที่เอ็นดูเป็นครั้งแรก รอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันเคร่งขรึม ทำให้ทุกคนสงสัยว่าชายชราคนนี้เป็นคนเดิมกับชายชราคนที่มีสีหน้าไม่พอใจก่อนหน้านี้จริง ๆ รึเปล่า
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนงุนงง เว้นเสียแต่บรูซที่คิดเอาไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เขารู้ดีว่าสิ่งต่าง ๆ จะต้องพัฒนาไปในทิศทางนี้
สิ่งแรกที่ชาร์ล็อตทำหลังจากพาโรเอลกลับมาที่เมืองโรซ่า ก็คือการเข้าพบบรูซ ผู้เป็นบิดา และขอความช่วยเหลือจากเขา เด็กสาวต้องการให้บรูซ ผู้ปกครองเมืองโรซ่าโดยพฤตินัยอยู่ข้างเดียวกับเธอ เพื่อที่เธอจะสามารถยืนหยัดต่อต้านแรงกดดันอันบ้าคลั่งในที่ประชุมได้
เมื่อบรูซเห็นลูกสาวของตนก้มศีรษะลงต่อหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ต่าง ๆ ปะปนอยู่ในใจ
เนื่องจากพลังเวท อัตราการเติบโตของมนุษย์ในทวีปเซียจึงค่อนข้างไว โดยวัยผู้ใหญ่จะเริ่มต้นที่อายุ 14 ปี ซึ่งในปีนี้ชาร์ล็อตก็มีอายุได้13 ปีแล้ว หรือก็คือเธอกำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการในปีหน้าที่จะถึง ตามปกติแล้ว ชนชั้นขุนนางมักจะชะลอการแต่งงานของพวกเขาออกไปราว ๆ สองถึงสี่ปีหลังจากบรรลุนิติภาวะ แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางพวกเขาจากการหาคนที่พวกเขาต้องการ
ในฐานะพ่อ บรูซทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นลูกสาวแต่งงานกับเด็กชายที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ทว่า เมื่อเขาคิดถึงการใช้ชีวิตของชาร์ล็อตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรูซก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความเสียใจและสำนึกผิด
อเดลิเซียไม่ใช่แม่ที่ดี ส่วนเขาเองก็ไม่ใช่พ่อที่ดีด้วยรึเปล่า?
พอนึกย้อนกลับไป ในช่วงสิบสามปีที่ผ่านมา เวลาที่บรูซใช้ร่วมกับชาร์ล็อตมีค่อนข้างจำกัด แทบจะไม่มีความอบอุ่นใด ๆ เลยระหว่างพวกเขา เขามักจะกดดันลูกสาว หวังว่าเธอจะเติบโตได้เร็วขึ้น โชคดีที่เธอมีความสามารถมากพอที่จะตอบสนองความคาดหวังของเขา เติบโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงที่ดี พึ่งพาตนเองได้ เป็นเวลานานแล้วที่ชาร์ล็อตไม่ได้ขออะไรพ่อของเธอเลย แม้ว่าการพัฒนาดินแดนแห่งความโกลาหลจะพบกับอุปสรรค เด็กสาวก็ยังเลือกที่จะแบกรับแรงกดดันทั้งหมดเพียงลำพังโดยไม่ปริปากอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกสาวขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างแท้จริง แล้วบรูซจะปฏิเสธลงได้ยังไง?
แม้ว่าบรูซจะตระหนักได้ว่าตัวเขาต้องอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่ให้กับอาณาจักร แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางความรับผิดชอบในฐานะพ่อของเขา อย่างน้อย ๆ ในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับลูกสาวเช่นนี้ เขาก็ต้องการที่จะช่วยเหลือ ปกป้องความสุขของเธอ
ดังนั้นบรูซจึงเลือกที่จะจัดการประชุมนี้ เพื่อแสดงผลกำไรมหาศาลของชาร์ล็อตต่อหน้าคนอื่น ๆ
แผนนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยผลงานของชาร์ล็อตที่สามารถสนับสนุนตระกูลได้อย่างมหาศาล ทัศนคติของเหล่าผู้บริหารของตระกูลโซโรฟยาที่มีต่อเธอจึงเปลี่ยนไปในทันที คำพูดของพวกเขาดูสุภาพและเป็นมิตรมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าชาร์ล็อตจะเปิดเผยเรื่องการลักพาตัวโรเอล ที่อาจเป็นปัญหาทางการทูตครั้งใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะรักษาทัศนคติเชิงบวกไว้ แทนที่จะต่อว่าเธอ
แน่นอน การเปลี่ยนทัศนคติ 180 องศาอย่างกะทันหันจากฝ่ายทหารถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แม้บรูซจะคาดเดาถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ถึงกระนั้นการได้เห็นมันกับตาก็น่าดีใจเป็นอย่างมาก เพราะมันหมายความว่าตอนนี้ชาร์ล็อตได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ตามการอธิปรายเพิ่มเติม ได้ข้อสรุปว่าพวกเขาควรจะเก็บเรื่องสัญญาหมั้นระหว่างชาร์ล็อตกับโรเอลเอาไว้เป็นความลับก่อนในขณะนี้
อูกินไม่พอใจกับการตัดสินใจครั้งนี้มาก เพราะในความเห็นของเขา พวกเขาควรจะฉาบป้ายประกาศไปทั่วทุกเขตในเมืองโรซ่า แจ้งให้ประชาชนทราบถึงเรื่องนี้ และหากเป็นไปได้ การแต่งงานก็ควรดำเนินการให้ได้โดยเร็วที่สุด ถึงกับพูดออกมาว่า “ทำไมไม่จัดพรุ่งนี้เลยล่ะ”
หากตระกูลแอสคาร์ดมีข้อโต้แย้งใด ๆ ในภายหลัง อูกินก็พร้อมที่จะออกหน้าเป็นคนเจรจากับอีกฝ่าย ในเรื่องนี้ เขามีเส้นสายมากมายที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หากมันเกิดขึ้นจริง
โชคดีที่แนวคิดสุดโต่งของอูกินถูกบรูซปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ตระกูลโซโรฟยาเพิ่งได้รับมรดกจากบรรพบุรุษมา พวกเขาจึงมีภาระมากมายที่ต้องจัดการ เขารู้สึกว่าในช่วงนี้พวกเขาควรจะหลีกเลี่ยงปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งบรูซก็ได้ส่งทูตไปยังเขตการปกครองแอสคาร์ดแล้ว เพื่อเสนอการเจรจาในเรื่องนี้
ในที่สุดการประชุมก็จบลง และทุกคนก็รีบไปจัดการเรื่องของตัวเอง
เหลือเพียงแค่ชาร์ล็อตยืนอยู่ตรงกลางห้องประชุม เด็กสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าเธอจะสามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ในเมืองโรซ่าได้แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวิกฤตนี้จะจบลง ยังคงมีอุปสรรคมากมายที่เธอต้องเอาชนะ
โดยต่อไปน่าจะเป็นแรงกดดันจากภายนอกที่มาจากเขตการปกครองแอสคาร์ดและจักรวรรดิเซนต์เมซิท ชาร์ล็อตกำหมัดแน่น พลางหวนนึกถึงเด็กสาวทั้งสองคนที่ตนได้พบที่คฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด
…
โรเอล แอสคาร์ด เชื่อมาโดยตลอดว่าเขาเป็นคนใจเย็นรักสงบ และแทบจะไม่มีอะไรทำให้เขารู้สึกโกรธได้
เด็กชายเคยผ่านสถานการณ์อันสิ้นหวังมาแล้วมากมาย แต่เขาก็สามารถแก้ไขมันได้ด้วยความสงบเสมอ ๆ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเขามีจิตใจที่เข้มแข็ง และสามารถทนรับต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ แน่นอนว่ามีหลายครั้งที่โรเอลตกอยู่ในความตื่นตระหนก เช่น ในตอนที่เขาฟื้นความทรงจำจากอดีตชาติกลับมาเป็นครั้งแรก และค้นพบเกี่ยวกับอนาคตอันมืดมิดของตน แต่ช่วงเวลาแห่งความตื่นตระหนกเหล่านั้นก็ไม่เคยส่งผลต่อแผนการของเขา
เมื่อใดก็ตามที่โรเอลลงมือ เขาก็จะพร้อมเต็มที่ถึง 120% อยู่เสมอ
ทว่า แม้ว่าโรเอลจะมีความสงบและความยืดหยุ่นทางจิตใจ แต่เขาก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลยกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
บ้าที่สุด! ใครมันจะไปสงบสติอารมณ์ตอนถูกลักพาตัวได้กันเล่า!
เมื่อมองไปที่เพดานแปลกตาที่อยู่เหนือศีรษะ โรเอลก็สามารถคาดเดาสถานการณ์คร่าว ๆ ได้ แม้จะผ่านมาเพียงแค่ห้านาทีนับจากที่เขาได้สติ แต่เด็กชายก็ใช้เวลานี้อย่างเต็มที่ เพื่อประเมินสภาพแวดล้อมของตน และในไม่ช้าเขาก็ได้ข้อสรุป
เรากำลังอยู่ในเมืองโรซ่า หรือก็คือ บ้านของชาร์ล็อต หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนก็… ห้องนอนของเธอ
หลักฐานก็คือกลุ่มดาวอัญมณีบนเพดานนั้นเหมือนกันกับที่โรเอลเคยเห็นในสายธารแห่งอัญมณี แต่เพดานของที่นี่ละเอียดซับซ้อน และทำให้รู้สึกอ่อนโยนกว่ามาก นอกจากนี้ยังมีแสงสีทองส่องออกมาจากขวดข้างหมอนอีกด้วย
สิ่งของในขวดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในยุคนี้ เพราะมันคือเทคโนโลยีที่หายสาบสูญไปแล้วนับตั้งแต่การล่มสลายของอาณาจักรโซเฟีย อุปกรณ์เวทมนตร์ที่เป็นมรดกตกทองของสายเลือดไฮเอลฟ์ จิตวิญญาณแห่งทองคำ
คนเดียวบนโลกนี้ที่สามารถสร้างจิตวิญญาณแห่งทองคำได้ มีเพียงเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงที่ได้เข้าร่วมการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของกองเรือทองคำร่วมกันกับเขา และฝึกปรือภายใต้คำแนะนำของจักรพรรดินีอิซาเบลลา หรือก็คือชาร์ล็อตนั่นเอง
นอกจากนี้ คำพูดสองสามคำสุดท้ายที่ชาร์ล็อตพูดก่อนที่โรเอลจะหมดสติ ก็สื่อออกมาได้ค่อนข้างตรงไปตรงมาเช่นกัน
“นี่สินะ ความผิดที่เธอพูดถึง”
โรเอลพึมพำพร้อมกับถอนหายใจ
เด็กชายไม่คิดเลยว่าชาร์ล็อตจะมีเจตนาแบบนี้ เพื่อที่จะไม่ทำให้ตนเองรู้สึกผิดมากเกินไป เด็กสาวจึงขอโทษเขาก่อนจะลักพาตัวมาที่นี่
ถ้าเรารู้ก่อนล่วงหน้าล่ะก็ เราคงจะบอกว่า ฉันจะไม่ยกโทษให้เธอ ไปแล้ว… แต่นั่นก็คงไม่ได้ผลอยู่ดีล่ะมั้ง เอ๊ะ?
เมื่อนึกย้อนกลับไป โรเอลก็สังเกตเห็นจุดผิดปกติหลายอย่างระหว่างการเดินทาง ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ที่ไม่มีหัวคิด แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนนึงเป็นเพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนหลับพักฟื้นตลอดการเดินทาง แม้กระทั่งตอนที่โรเอลตื่น ชาร์ล็อตก็พยายามทำให้เขายุ่งอยู่ตลอด ไม่ปล่อยให้เขาได้สนใจเรื่องอื่นเลย ไม่อย่างนั้นเขาควรจะฉุกคิดถึงเรื่องนี้ได้นานแล้ว
บนยอดเขาโวรุนก่อนหน้านี้ ชาร์ล็อตได้ขอโทษโรเอลล่วงหน้า เพื่อที่เด็กชายจะได้ไม่สามารถโกรธเธอได้ในภายหลัง ต่อให้โรเอลจะฉุกคิดได้ในตอนนั้น และพยายามใช้คำพูดโน้มน้าวชาร์ล็อต… เขาก็คิดว่าตนเองคงจะไม่สามารถห้ามปรามเธอได้อยู่ดี
หลังจากทบทวนข้อผิดพลาดแล้ว โรเอลก็หยิบขวดที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา พร้อมไตร่ตรองถึงคำถามอื่น ตอนนี้ชาร์ล็อตกำลังทำอะไรอยู่?
แม้ว่าการพูดแบบนี้อาจจะฟังดูหลงตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วโรเอลนั้นถือเป็นบุคคลสำคัญในจักรวรรดิเซนต์เมซิท แม้ว่าเด็กชายจะไม่ได้มีอำนาจมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขายังไม่ได้รับสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลมา แต่ตัวตนของเขาก็มีผลอย่างมากในการรักษาสมดุลอำนาจภายในจักรวรรดิเซนต์เมซิท
การที่ทายาทของหนึ่งในห้าตระกูลขุนนางชั้นสูงถูกลักพาตัวไปยังอีกอาณาจักร ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญระดับนานาชาติ พ่อของเขาจะต้องรีบมาที่นี่แน่ … และนอร่าก็คงตามมาด้วยเช่นกัน
ต่อให้ตัดเรื่องความรู้สึกส่วนตัวทั้งหมดไป นอร่าก็ยังเป็นผู้พิทักษ์ของโรเอลอย่างเป็นทางการ การกระทำเช่นนี้จึงเปรียบได้ว่า ตระกูลโซโรฟยานั้นกำลังท้าทายอำนาจของจักรวรรดิเซนต์เมซิทอยู่ โดยการลักพาตัวโรเอลไป อีกทั้งยังเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีของนอร่าที่เป็นผู้พิทักษ์
แค่คิดถึงความรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้โรเอลปวดหัว เขาไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าชาร์ล็อตกำลังคิดอะไรอยู่
ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูน่าหัวเราะ ที่คนที่ถูกลักพาตัวอย่างโรเอลกำลังกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของผู้ที่ลักพาตัวเขา ราวกับกำลังทุกข์ทรมานจากโรคสตอกโฮล์ม
อันที่จริงแล้วโรเอลไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสภาพของตัวเองเลยสักนิด
เด็กชายไม่คิดว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม เมื่ออยู่ที่นี่ เขานั้นได้รับการรักษาขั้นสูงสุด ดังนั้นโรเอลจึงไม่มีอะไรต้องกังวล ส่วนเรื่องของชาร์ล็อตนั้น…
พวกเราผ่านสถานการณ์ความเป็นและความตายร่วมกันมาแล้ว เธอจะทำอะไรเราได้
“…”
นี่คือความคิดที่ทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้สินะ ฮ่า ๆๆ…
รอยยิ้มบนใบหน้าของโรเอลเริ่มตึงเครียด เขามองไปที่เพดานด้านบน พลางพึมพำเบา ๆ
“เฮ้อ ก็หวังว่าเรื่องต่าง ๆ จะไม่วุ่นวายจนเกินไปล่ะนะ”